2 เม.ย. 2021 เวลา 01:00 • ความคิดเห็น
ตัวเลข VAT 10% คงยากที่เราจะได้เห็น
นอกเสียจากว่ามันเป็นเรื่อง "จำเป็น" จริง ๆ
VAT 10%
ประเด็นร้อนเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่มที่มักจะเห็นอยู่เสมอ คือ
1. มีการเสนอไอเดียให้ขึ้น VAT หลังเก็บรายได้ต่ำเป้า
2. คลังออกมาตอบว่า ยังไม่ขึ้น VAT หรอก และออกกฎหมายต่ออายุอัตรา 7% ไปอีก 1 ปี
3. มีข่าวคราวเรื่องการศึกษาการปรับเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม
เรื่องราวมักจะวนซ้ำ ๆ อยู่แบบนี้ ในช่วงที่รัฐบาลมองว่าเก็บภาษีไม่ได้ตามเป้า หรือ ไม่ก็เข้าใกล้ช่วงที่กฎหมายต่ออายุอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มกำลังจะหมดลง
1
แต่เคยสงสัยไหมครับว่า แล้วสิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจจริง ๆ สำหรับเรื่องนี้ มีอะไรบ้าง ?
1. อัตรา VAT ของไทย ตามกฎหมาย คือ 10% แต่มีการออกกฎหมายต่ออายุมาให้ลดเหลือ 7% โดยตลอด ซึ่งอัตรา 7% มาจากภาษีมูลค่าเพิ่ม 6.3% + ภาษีท้องถิ่นอีก 0.7%
1
2. ปัจจุบันยังมีการขยายเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7 ออกไปถึง 30 กันยายน 2564 (พรฎ 715) และจากข่าวข้างต้น คาดว่าจะมีการต่ออายุไปอีก 1 ปีหลังจากนี้
3. ดังนั้นในช่วงเวลานี้ น่าจะยังไม่มีการขึ้น VAT ไปจนถึงปี 2565 แต่หลังจากนั้นจะมีโอกาสไหม อันนี้ก็ต้องติดตามผลการศึกษาต่อไปในอนาคตอีกที
4. ที่ผ่านมามีแค่ตอนปี 2540 ที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง มีการกลับมาใช้อัตรา VAT 10% อยู่ระยะหนึ่ง แต่เป็นเวลาสั้น ๆ ก่อนจะกลับมาใช้ 7% เหมือนเดิม
5. การเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจะมีผลกระทบหลายอย่าง ตั้งแต่ การจัดการเอกสารใบกำกับภาษี การทำงานของนักบัญชี ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ราคา และอื่น ๆ อีกมากมาย ดังนั้นหากรัฐบาลไหนคิดจะขึ้นจริง ๆ คงต้องพิจารณาให้ดีครับ
แต่ถ้าหากมีการปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มขึ้นจริง ๆ มันจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ?
พรี่หนอมฟันธงเองละกันครับว่า ถ้าหากขึ้น VAT มากกว่า 7% เมื่อไร แปลว่าปัญหาเรื่องการบริหารจัดการรายได้ของประเทศไทยนั้นลำบากมากเสียจนต้องยอมเลือกใช้วิธีนี้
สมมติว่า รัฐบาล A ขึ้น VAT แค่เพียง 1% แม้ว่าจะได้เงินมาหลักหลายหมื่นหรือแสนล้านบาทก็ตาม แต่การที่รัฐบาล A จะได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกนั้น คงจะยากมาก ๆ ดังนั้นมีผลกระทบต่อฐานเสียงแน่นอน
หรือต่อให้คนพอใจผลงานของรัฐบาล A ระดับหนึ่ง จนเกือบจะเลือกซ้ำ แต่ถ้าเลือกตั้งครั้งหน้า ทีมงานของพรรค B ประกาศนโยบายหาเสียงสั้นๆว่า ถ้าได้รับเลือกตั้งจะกลับไปใช้ VAT อัตรา 7% เหมือนเดิม เพียงแค่นี้โอกาสที่รัฐบาล A จะได้กลับมาใหม่ก็คงเป็นแค่ฝัน หรือไม่ก็ต้องพยายามจะลดกันให้ทั่วทุกฝ่าย ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่ A จะรับปากแบบนั้น เพราะดันเป็นคนเปลี่ยนอัตราเสียเอง
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่ใครจะกล้าปล่อยให้กลับไปเท่าเดิม ตราบใดที่เรื่องของภาษียังเป็นสิ่งที่อ่อนไหวต่อความรู้สึกในสังคมไทย และถูกใช้เป็นแรงจูงใจในการกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่แบบนี้
นอกจากนั้น หากขึ้นมาจริง ๆ ผลกระทบคงไม่จบแค่นี้ แต่ยังมีเรื่องของราคาสินค้าและบริการอีก นั่นคือ ...
ถ้าสินค้าราคา 10,000 บาท การขึ้น VAT 1% จะทำให้ราคาเปลี่ยนจาก 10,700 บาท เป็น 10,800 บาท ซึ่ง 100 บาทที่เพิ่มขึ้นนั้น จะคิดเป็นอัตราส่วนต่อภาษีที่ต้องเสียเดิมถึง 14.28% (คิดจาก 100/700)
แต่อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะเป็นการขึ้น VAT ในอัตรา 1% หรือไม่ก็ตาม คนที่ต้องรับภาระนั้นมันคือ "ผู้บริโภค" หรือคนธรรมดาอย่างเราๆ ที่ต้องควักกระเป๋าจ่ายเงินเพิ่มขึ้นไปด้วย
เพราะถ้าหากใครเป็นผู้ประกอบการ หรือเจ้าของธุรกิจที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่สามารถผลักภาระให้กับผู้บริโภค โดยการเพิ่มราคาสินค้าหรือบริการได้ เพียงแค่นี้ก็ไม่ได้มีปัญหาอย่างไร เพราะตัวเองไม่มีหน้าที่ต้องจ่าย และสามารถนำภาษีซื้อที่จ่ายไปมาหักออกจากภาษีขายได้อีกด้วย
1
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากบริษัท A ซื้อของจากบริษัท B ในราคา 100 บาท ซึ่งมีภาษี VAT อยู่ 7 บาท ทำให้ต้องจ่ายเงิน 107 บาทไป บริษัท A จะเรียกเงิน 7 บาทนี้ว่าภาษีซื้อ
2
ต่อมาบริษัท A เอาของชิ้นนี้ขายให้พรี่หนอมในราคา 300 บาท ก็ต้องเรียกเก็บ VAT จากพรี่หนอมอีก 21 บาท ทำให้พรี่หนอมต้องควักกระเป๋า 321 บาทแน่ะ
ส่วนบริษัท A ก็เอาภาษีขายที่เก็บจากพรี่หนอม 21 บาท ไปหักออกจากภาษีซื้อที่จ่ายให้บริษัท B จำนวน 7 บาท เหลือ 14 บาทไปส่งพี่สรรพากร เป็นอันจบเกมส์
ถ้ามีการขึ้น VAT เป็น 8% ก็จะทำให้ บริษัท A มีภาษีซื้อ 8 บาท ภาษีขาย 24 บาท ส่งสรรพากรจำนวน 16 บาท ส่วนพรี่หนอมคนเดิมคือคนซวย ต้องช่วยจ่าย VAT เพิ่มขึ้นอีก 3 บาทนั่นเอง (จ่ายเงินไป 324 บาท เพิ่มจากเดิม 321 บาท)
มาถึงตรงนี้ บทสรุปของเรื่องนี้กำลังบอกอะไรเรา ?
สำหรับผม บทสรุปของเรื่องนี้ คือ เราควรตั้งคำถามในจุดที่ยืนอยู่ว่ามีผลกระทบอย่างไร ? และเราจะแก้ไขมันอย่างไรดี ?
1. ถ้าเราเป็นรัฐบาล การเลือกทางนี้คือสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ง่าย แต่ผลกระทบที่เสียหายอาจจะมหาศาลกว่าที่คิดไว้
2. ถ้าเราเป็นผู้ประกอบการ เราคงต้องมั่นใจว่า เรามีอำนาจในการขึ้นราคาสินค้าหรือบริการ เพื่อที่จะผลักภาระส่วนต่างที่เกิดขึ้นให้กับผู้ซื้อได้หรือไม่ หากมีการปรับอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มขึ้นมาจริง ๆ
3. ถ้าเราเป็นประชาชนหรือผู้บริโภค น่าจะเป็นที่แน่นอนว่า เราจะต้องเสียเงินมากขึ้นหากมีการปรับขึ้นราคาสินค้าหรือบริการ ซึ่งเราจะปรับตัวตามสภาวการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร ซึ่งก็มีตั้งแต่ลดการบริโภค หาทางสร้างรายได้เพิ่มขึ้น หรือ ถามตัวเองว่า เลือกตั้งครั้งหน้าเราควรจะเลือกใคร
แต่ที่น่าเศร้าก็คือ ถึงแม้จะได้คำตอบแบบไหนก็ตาม หากมีการเปลี่ยนแปลง % ของภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างที่ว่ามา เราก็อาจจะได้แต่ตั้งคำถามขึ้นมา
...แต่ก็ยังไม่พบว่าจะแก้ปัญหาที่ว่านี้ได้อย่างไร?
โฆษณา