2 เม.ย. 2021 เวลา 04:00 • ไลฟ์สไตล์
เรื่องของ “ซอส (Sauce)” แต่กลายเป็นปัญหาใหญ่ บ้านแทบแตกกับสามีฝรั่ง🥺
2
คนไทยเวลาทำอาหาร (อาหารไทยจริงๆ) ในหลายๆเมนู จะมีส่วนผสมหนึ่ง 1 ชนิดที่แทบจะขาดไม่ได้เลย นั่นคือเหล่าบรรดาซอสต่างๆ หลายคนพออ่านมาถึงตรงนี้ คงคิดว่า บ้าหรือเปล่า กะอีแค่เรื่อง “ซอส” จะเป็นปัญหาได้ยังไงกัน... (นั่นน่ะสิคะ)
ขอย้อนจากโพสก่อนหน้านี้ที่ว่า “ฉันย้ายมาอยู่เยอรมันในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด 19 ทำให้การใช้ชีวิตในเยอรมันช่วงแรกนั้นค่อนข้างลำบากสำหรับคนที่ไม่สันทัดการทานอาหารของฝรั่งนัก ไม่ใช่ว่าทานไม่ได้เลย แต่ถ้าพอจะมีทางเลือกอื่นฉันก็จะเลือกทางอื่นก่อน”
พอทางรัฐบาลของเยอรมันประกาศให้ร้านค้าต่างๆสามารถเปิดทำการค้าขายได้ ฉันก็รีบเลยค่ะ รีบลิสรายการวัตถุดิบต่างๆที่ต้องใช้ในการทำอาหารไทย ทั้งถามเพื่อนๆที่ทำอาหารเก่งและเปิดยูทูปดูเมนูอื่นๆเพิ่มเติม และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของปัญหาภายในครอบครัวเราในเรื่อง “ซอส” ค่ะ
“ซอส หรือ Sauce” เป็นเครื่องปรุงรสที่มีลักษณะเหลวหรือค่อนข้างข้น ใช้สำหรับปรุงอาหารให้แต่ละเมนูมีรสชาติดีขึ้น (อิงมาจากเว็บไซต์วิกิพจนานุกรม)
คนไทยเราจะเรียก “ซอส” ในเครื่องปรุงอย่างพวก ซอสพริก ซอสมะเขือเทศ ซอสแม็กกี้ ซอสหอยนางรม อะไรประมาณนี้ใช่มั๊ยคะ เราจะไม่เรียกน้ำปลา น้ำปลาร้า ซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำ ว่าซอส แต่ในมุมของต่างชาติ 3-4 อย่างข้างต้นที่กล่าวมาทั้งหมด มันก็คือซอส (Sauce) นี่แหละค่ะ เพราะถ้าแปลเป็นภาษาอังกฤษอย่าง น้ำปลา (Fish sauce), น้ำปลาร้า (Fermented fish sauce), ซีอิ๊วขาว (Light soy sauce), ซีอิ๊วดำ (Black soy sauce) หรือ (Dark soy sauce) จะเห็นว่ามีแต่คำว่า “ซอส” และนั่นเป็นจุดเกิดปัญหาระหว่างฉันกับสามี (คุณคริสโตส)
1
จากที่ฉันเกริ่นเรื่อง “ซอส” มาข้างต้น ใช่ค่ะ...มันอยู่ในลิสการซื้อวัตถุดิบของฉันทั้งหมดเลย ซึ่งนี่ทำให้คุณสาของอิฉันตกอกตกใจยกใจ เพราะนางคือผู้ที่ถือตะกร้า และนางก็เห็นว่า ไม่ว่าฉันจะหยิบขวดไหนลงตะกร้าก็คือ “ซอส ซอส ซอส” นางจึงอุทานเสียงหลง
“WTF เธอบ้าหรือเปล่านี่ จะซื้อซอสอะไรตั้งเยอะแยะ ถ้าหมดยังไงฉันก็พาเธอมาซื้ออีกครั้งอยู่ดี ไม่จำเป็นต้องกักตุนไว้หรอก หรือเธอจะซื้อไปทดลองก่อน แต่ฉันว่าลองทีละขวดก่อนมั๊ย?”
ซึ่งฉันนั้นก็ได้แต่ทำหน้าแบบ “เอ่ออคือว่าคือ เอ่อคือตัวฉัน เอ่อแบบว่ามัน” (ไม่ร้องเป็นเพลงนะคะ 555)
1
ฉันได้แต่นิ่งทำใจ ตั้งสติและบอกกับนางไปอย่างช้าๆว่า...
“ที่รัก...แต่ละขวดมันใช้แตกต่างกัน เดี๋ยวกลับถึงบ้านฉันจะอธิบายให้เธอฟังนะ”
แต่นางก็ยังคงบ่นงึมงำ ด้วยความที่เรื่อง “ซอส” มันยังคงค้างคาอยู่ในหัวของนาง
1
พอกลับมาถึงบ้าน...
นางก็รื้อ ”ซอส” ทั้งหมด จำนวน 5 ขวด มาตั้งเรียงกัน พร้อมบรรจงอ่านสรรพคุณแต่ละขวด ฉันก็ปล่อยให้นางอ่านไปเรื่อยๆจนครบ และแล้วเหตุการณ์ที่เกือบบ้านแตกก็มาถึง เมื่อคุณคริสได้พูดออกมาว่า...
“ฉันจะเอาทั้งหมดนี่ไปทิ้ง”🙀
ฉันหันมองหน้านางทันที แล้วถามว่า
“ทำไมอ่ะ ฉันยังไม่ได้เปิดใช้อะไรเลยนะ เธออยากอ่านฉันก็ให้อ่าน แล้วอยู่ๆจะมาทิ้งของฉันได้ยังไงกัน”
และจากนี้ก็คือบทสนทนาของเรา 2 คน ที่เรียกได้ว่าตะโกนคุยกันเลยค่ะทุกคน...🗣
‼️(ต้องบอกก่อนนะคะว่า สามีฉันออกแนวรักสุขภาพ น่าจะแค่เรื่องอาหารนะคะ เพราะวัตถุดิบที่ใช้ทำอาหารส่วนใหญ่จะเป็นไบโอ (Bio) แต่นางก็ยังสูบบุหรี่ อันนี้ฉันก็พอจะทำใจได้ คือคนเยอรมันส่วนใหญ่ไม่จะหญิงหรือชายก็จะสูบบุหรี่กันจัดมาก และคุณคริสก็ยังมีติดกินขนมหวานบ้างในตอนกลางคืนอีกด้วย)
สามี : ทุกขวดมันมีแต่ส่วนผสมของโซเดียม เวลาที่เธอซื้อ เธอไม่ได้อ่านดูเลยหรอ ว่ามันผสมอะไรบ้าง เธอรู้จักพวกโค้ดพวกนี้มั๊ย? ว่ามันคืออะไร เธอรู้มั๊ยมันไม่ดีต่อสุขภาพ (นางก็บ่นยาวเลยค่ะ แต่ฉันก็จับประเด็นได้แค่ว่ามีเกลือนะ มีโซเดียมนะ😉)
ฉัน : แต่ฉันก็ไม่ได้ใส่ทั้งหมดในเมนูเดียวซะหน่อย อย่างตัวนี้ฉันก็เอาไว้ใส่กับพวกผัดต่างๆ ขวดนี้ฉันก็ใส่ส้มตำ บลาๆๆๆๆ (ฉันค่อยๆอธิบายการใช้ “ซอส” แต่ละขวดให้นางฟังจนครบ)
สามี : แต่มันก็ยังมีส่วนผสมของพวกโซเดียม เกลือ ที่ค่อนข้างเยอะอยู่ดี และมันไม่ดีต่อสุขภาพเอาซะเลย ไม่รู้ล่ะ ฉันเอาไปทิ้ง พร้อมทั้งหยิบแต่ละขวดลงถุงเพื่อที่จะนำไปทิ้ง
ฉัน : ไม่ได้ (ตะโกนพร้อมดึงถุงจากมือนาง) แล้วจะให้ทำยังไง ก็เมนูอาหารบ้านฉันก็ใส่ซอสพวกนี้ ฉันมาอยู่ที่นี่ฉันก็พยายามปรับตัว ซึ่งมันก็ค่อนข้างยากสำหรับฉัน เพราะวัฒนธรรมการใช้ชีวิตและอาหารของเรามันก็แตกต่างกัน เธอจะไม่ให้เวลาฉันหน่อยเลยหรอ ฉันก็คิดถึงอาหารบ้านฉันเหมือนกันนะ ทำไมต้องทำให้ฉันรู้สึกว่า ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่ กะอีแค่เรื่องซอส มันจะอะไรกันนักกันหนา (อาหารของทางฝรั่งจะเน้นเป็นความสด การปรุงจะน้อยมาก ที่เห็นสามีใช้ปรุงอาหารก็จะมีเกลือกับพริกไทยและน้ำมันมะกอก เพราะเขาจะเน้นรสชาติของวัตถุดิบซะมากกว่า ส่วนคนไทยเราเน้นปรุงค่ะ)
1
สามี : งั้นเธอลองจดพวกโค้ดต่างๆพวกนี้ที่เป็นส่วนผสมแล้วไปค้นหาในเน็ตนะ (พร้อมหยิบกระดาษกับปากกามาให้) แล้วเราค่อยมาคุยกัน
1
ฉัน : (หน้าตาฉันเริ่มไม่สบอารมณ์) ฉันเกลียดเธอแล้ว ฉันไม่รักเธอแล้ว เพราะเธอไม่น่ารักกับฉันเอาซะเลย😭 เธอทำให้ฉันอยากกลับไทย ทำไมคู่อื่นๆ เขาไม่เห็นมีปัญหากันเรื่องอะไรแบบนี้เลย (ในใจนี่คือหงุดหงิด โมโห จนน้ำตาคลอเบ้าพร้อมไหลแล้วค่ะ)
2
รายละเอียดบนขวดซอสแม็กกี้ที่ใช้เยาะไข่ดาว
ฉันจดโค้ดต่างๆข้างขวดและค้นหาอ่านความหมายของโค้ดต่างๆในเน็ต และคือทุกคนค่ะ ‼️สามีของฉันไม่ได้เป็นนักโภชนาการแต่อย่างใด แต่เป็นที่ปรึกษาด้านไอทีของบริษัทในเยอรมัน และนางจะชอบเช็คชอบอ่านไปซะทุกอย่าง ฉันขอยกตัวอย่างโค้ดที่ได้จากขวดซอสแม็กกี้ที่เราใช้เยาะไข่ดาว มาสัก 5 โค้ดนะคะ ดังนี้
1.) E621 เป็น e-number ของวัตถุเจือปนในอาหาร (food additive) ซึ่งใช้เพิ่มรสชาติให้กับอาหาร ที่เรียกว่า Monosodium glutamate หรือเรียกสั้นๆว่า MSG
2.) E627 เป็น e-number ของเกลือโซเดียมของกรดกัวนิลิก (Guanylic acid)ใช้เพิ่มรสชาติให้อาหารเหมือนกัน
3.) E631 เป็น e-number ของ Disodium inosinate หรือ เกลือโซเดียมของกรดไอโนซินิก ส่วนใหญ่จะเจอในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มันฝรั่งทอดและขนมอื่น ๆ
4.) E260 เป็น e-number ของกรดอะซิติก (Acetic Acid) มักพบในพวกหมักดองด้วยแบคทีเรีย ซึ่งจะเป็นกรดที่ได้จากธรรมชาติ และตัวกรดนี้ยังใช้เป็นสารต่อต้านแบคทีเรียและเชื้อราอีกด้วย
5.) E420 เป็น e-number ของซอร์บิทอลแอลกอฮอล์น้ำตาล (หรือโพลีออล) หรือ Sorbitol, a sugar alcohol (or polyol) โดยใช้เป็นสารให้ความหวาน
เมื่ออ่านจบ... ฉันก็ถือกระดาษไปหาสามีและบทสนทนาของเราก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งในบรรยากาศค่อนข้างตึงเครียด (หน้าตาของฉันคือบอกบุญไม่รับมากค่ะ แต่ในใจฉันก็แอบปลื้มที่ได้ผู้ชายคนนี้มาเป็นสามี เพราะฉันเป็นคนที่แบบไม่ค่อยสนใจหรือจะเช็คอะไรสักเท่าไหร่ เลยคิดว่าตัวเองก็ยังเป็นคนที่โชคดีที่มีเขามาอยู่ข้างๆ อย่างน้อยก็มีคนคอยเช็คสิ่งต่างๆให้ :)😁
1
ฉัน : ฉันอ่านแล้ว และขอบคุณนะคะที่เป็นห่วงฉันเรื่องซอส แต่แล้วยังไงอ่ะ ในเมื่อมันก็ใส่ในอาหารได้ ฉันเองก็ใช่ว่าจะใส่ซอสพวกนี้เยอะแยะอะไร และก็ไม่ได้จะปรุงอาหารไทยทุกวัน เข้าใจว่ามันมีส่วนผสมของโซเดียมเยอะ เกลือเยอะ แต่เอางี้มั๊ยที่รัก... ฉันจะทำอาหารไทยแค่สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ไม่เกินนี้ หรืออาจจะน้อยกว่านี้ เธอโอเคมั๊ย? เพราะยังไงฉันก็ไม่ยอมให้เธอทื้งมันไปหรอก หรือเธออยากให้ฉันอึดอัดจนอยากกลับไทยล่ะ ก็เลือกเอา (555 ตบท้ายแบบนี้ เป็นใครก็ต้องยอมล่ะค่ะ)😆
สามี : โอเค แต่เธอต้องสัญญานะว่าจะใช้มันอาหารทำแค่ 2-3 ครั้ง ต่อสัปดาห์ ห้ามเกินนี้นะ เธอรู้ใช่มั๊ย❓ว่าฉันรักเธอนะ พร้อมกับเข้ามากอดและหอม🥰 (เอ๊ะๆ อย่าเพิ่งเลี่ยนกันนะคะ ^^)
ฉัน : ในใจก็ได้แต่คิดว่า แหมมมมมม.... ทำมาเป็นหวาน ทำไมไม่เลิกบุหรี่และพวกขนมหวานๆบ้างล่ะ 555 ได้แต่คิดนะคะ เพราะไม่อยากเริ่มเปิดสงครามทะเลาะกันอีก
1
สามี : เธอ แล้วเมนูอาหารของเธอมันใช้ซอสพวกนี้ยังไง ฉันอยากรู้
ฉัน : งั้นพรุ่งนี้ ฉันจะใช้ทำอาหารจากเมนูไข่เจียว และ ผัดผักให้ดูนะ
สามี : ได้สิ แต่ฉันไม่ทานด้วยนะ เพราะฉันไม่ชอบพวกซอส ฉันแค่อยากรู้ ว่าซอสที่เธอมีตั้งเยอะแยะ แต่ละขวดให้ทำเมนูอะไรบ้าง
เช้าวันต่อมา...
ฉันก็ลงมือทอดไข่เจียวและผัดผัก ทานกับข้าวสวยร้อนๆในแบบที่ฉันชอบ โดยในระหว่างที่ทำอาหาร ไม่ว่าฉันจะหยิบจะจับอะไร สามีของฉันก็ตัวติดฉันตลอดเวลาดั่งเงาติดตามตัว (เบื่อในความอยากรู้อยากเห็นของสามีตัวเองซะจริงจริ้ง ^_^)
ฉันเริ่มทำอาหารเช้าจากตีไข่ 2 ฟอง เยาะน้ำปลาสัก 4-5 หยด และต่อด้วยผัดผัก ซึ่งผัดผักฉันก็ใช้แค่ ซอสหอยนางรมและน้ำปลา (ไม่ขอกล่าวถึงส่วนประกอบอื่นๆนะคะ) แต่บางครั้งฉันก็เห็นบางคนเขาใส่ซอสแม็กกี้ฝาเขียวด้วย แต่ฉันก็ไม่อยากให้มันเยอะเกินไป กลัวจะเกิดสงครามกับสามีอีก เบาได้เบา😁 จึงใส่ไปแค่อยากละ 2 ช้อนชา (พอเป็นพิธี) มื้อแรกของฉันก็ผ่านไปด้วยดี แต่จะมีปัญหากันอีกครั้งตอนที่ต้องไปร้านเอเชียเพื่อซื้อของเพิ่ม และทุกครั้งฉันก็จะมีผู้ปกครองเดินตามคอยคุมอยู่เสมอตลอดเวลา และมีอีกอย่างนะคะ สามีของฉันจะไม่เอาไม่ทานเลยก็คือ พวกเส้นๆทุกอย่าง หรือ Noodle ไม่ว่าจะสปาเก็ตตี้ พาสต้า บะหมี่ นางไม่เอาเลยจริงๆค่ะ
4
จากนั้นนางก็ค่อยๆลดความเกรี้ยวกราดลง เพราะถึงจะบ่นยังไง ฉันก็ต้องใช้พวก “ซอส” ในการทำอาหารไทยอยู่ดี😜 บ่นไปแล้วจะทำไงได้ใช่มั๊ยค่ะ
แล้วทุกคนล่ะคะ มีความคิดเห็นเรื่อง “ซอส” ยังไงบ้าง?
โฆษณา