Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
วิเคราะห์บอลจริงจัง
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
2 เม.ย. 2021 เวลา 05:34 • กีฬา
ดีลซื้อขายบันลือโลก จอห์น โอบี มิเกล ชูเสื้อแมนฯยูไนเต็ดแล้ว แต่สุดท้ายย้ายไปเชลซีเฉยเลย วิเคราะห์บอลจริงจังจะอธิบายที่มาที่ไปให้ฟัง
เคยมีคำกล่าวว่า ในตลาดซื้อขาย อย่าเพิ่งหลงเชื่ออะไรง่ายๆ ถ้าอยากมั่นใจว่านักเตะคนไหนจะย้ายทีม ต้องได้เห็นเขาชูเสื้อแข่งของทีมใหม่ซะก่อน
แต่มีหนึ่งกรณี ที่ฉีกกฎเกณฑ์ทั้งหมด นั่นคือเรื่องของจอห์น โอบี มิเกล กองกลางทีมชาติไนจีเรีย ที่ "ชูเสื้อ" กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเรียบร้อยแล้ว พร้อมหยอดคำหวานว่า ทีมปีศาจแดงคือสโมสรในฝัน แต่สุดท้ายเขากลับทำในเรื่องที่ใครๆก็คาดไม่ถึง ด้วยการย้ายไปอยู่กับเชลซีเฉยเลย ทีมในฝง ในฝันอะไรที่เคยพูด ไม่มีความหมายทั้งสิ้น
เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นได้อย่างไร เราจะย้อนกลับไปดู การแย่งชิงผู้เล่นอันคลาสสิคกันอีกครั้ง
ก่อนอื่นเลย ถ้าเราพูดถึงจอห์น โอบี มิเกล เราจะคิดถึงภาพของมิดฟิลด์ตัวกลาง ที่คอยเชื่อมเกม แปะบอลออกซ้ายขวา ไม่ได้เล่นแย่ แต่ก็ไม่ได้เด่นที่สุด เป็นลักษณะตัวเชื่อมเกม
แต่ถ้าย้อนกลับไปไกลกว่านั้น สมัยเป็นเยาวชนเขาเล่นมิดฟิลด์ตัวรุก เป็นผู้เล่นประเภทที่พร้อมกระชากขึ้นไปยิงประตู จินตนาการถึงริคาร์โด้ กาก้าของบราซิล นั่นแหละสไตล์ของมิเกลเลย
จุดเริ่มต้นอาชีพของเขา ตอนอายุ 12 ไปคัดตัวเข้าเป๊ปซี่ ฟุตบอล อะคาเดมี่ ร่วมกับเด็กๆไนจีเรียมากกว่า 3,000 คน ซึ่งมิเกลได้รับเลือก ก่อนจะได้ย้ายไปอยู่กับสโมสรพลาโต ยูไนเต็ด ทีมอันดับ 1 ในลีกไนจีเรีย ก่อนจะกรุยทางขึ้นสู่ทีมชาติชุดเยาวชน และติดทีมชาติไนจีเรียชุด u-17 ได้อย่างสวยงาม
1
สโมสรยุโรป ทีมแรกสุดที่เล็งเห็นถึงศักยภาพของมิเกล คือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยในปี 2003 ทีมปีศาจแดงส่งจดหมายเชิญ ทีมชาติไนจีเรียรุ่น u-17 มาร่วมซ้อมกันที่แคร์ริงตัน ซึ่งมิเกลก็มาด้วย และฟอร์มของเขาก็ไปเตะตาเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันอย่างจัง
รอย คีน กับ พอล สโคลส์ ยอมรับว่า มิเกลเป็นกองกลางที่ดี ขณะที่เฟอร์กี้ก็ประทับใจ ดังนั้นจึงส่งจดหมายเชิญให้มิเกลมาทดสอบฝีเท้าอีก 2 ครั้ง
เฟอร์กี้ต้องการให้มิเกลเซ็นสัญญาทันที แล้วย้ายมาอยู่กับทีมอะคาเดมี่ของแมนฯยูไนเต็ด สาเหตุเพราะมิเกล เพิ่งมีอายุ 16 ปี โดยแผนของฝั่งแมนฯยูไนเต็ด ก็อยากให้นักเตะค่อยๆปรับตัว ค่อยๆทำความรู้จักกับสไตล์ของฟุตบอลอังกฤษไปก่อน จากนั้นเมื่อทุกอย่างเข้าที่ พออายุ 18-19 ก็ค่อยถูกดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ต่อไป
2
อย่างไรก็ตาม เอเยนต์ส่วนตัวของมิเกล ชื่อ จอห์น ชิตตู แนะนำว่า การย้ายจากลีกไนจีเรีย มาเล่นทวีปยุโรป เป็นการดีกว่า ถ้าเริ่มต้นจากลีกเล็กๆก่อน โดยมีนักเตะในทวีปแอฟริกาหลายคน ที่เริ่มจากลีกเล็กๆ เช่นยาย่า ตูเร่ ก่อนจะดังเปรี้ยงกับโมนาโก และบาร์เซโลน่า เขาเริ่มต้นจากเบเวอเรน ของเบลเยี่ยม เป็นต้น
1
ดังนั้นในเดือนกันยายน 2004 มิเกลในวัย 17 จึงย้ายไปร่วมทีมลิน ออสโล ในลีกนอร์เวย์ โดยเซ็นสัญญาเยาวชน (Youth Contract)
3
ตามแผนของเอเยนต์คือให้มิเกลได้ปรับจูนกับลีกเล็กๆของยุโรปสัก 1 ปี จากนั้นพอเขาอายุครบ 18 ปี ก็ค่อยหาช่องทางย้ายไปเล่นในลีกที่ใหญ่ขึ้น
1
หลังจากที่มิเกลปฏิเสธแมนฯยูไนเต็ด ทีมปีศาจแดงก็ขาดหายการติดต่อไปเลย และในขณะนั้นเอง เชลซี ก็เข้ามาซัพพอร์ทมิเกล มีการให้เงินสนับสนุนกินเปล่า เพื่อให้มิเกลเอาไปดูแลครอบครัว รวมถึงในเดือนธันวาคม 2004 เชลซียังเชิญมิเกล มาซ้อมร่วมกับทีมชุดใหญ่อีกด้วย
1
โชเซ่ มูรินโญ่ ผู้จัดการทีมเชลซีขณะนั้นกล่าวถึงมิเกลว่า "ถ้าเขาเติบโตได้อย่างที่เราคาดการณ์ล่ะก็ ผมบอกได้เลยว่า เราเจอทองคำเข้าแล้ว" คนอย่างมูรินโญ่ที่ไม่ค่อยเอ่ยปากชมเยาวชนบ่อยนัก แต่เขายังพูดถึงมิเกลด้วยความยกย่องขนาดนั้น นี่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพ ณ เวลานั้นของมิเกลได้เป็นอย่างดี
1
เชลซี หว่านล้อมมิเกลมาเรื่อยๆ จนใจของมิเกล เอนเอียงไปทางฝั่งเชลซีแล้ว เพราะสโมสรดูแลเทกแคร์ทั้งครอบครัวเป็นอย่างดี ไม่เพียงแค่นั้น ณ เวลานั้นมีนักเตะเยาวชนไนจีเรียอีก 3 คน ที่ย้ายมาเล่นให้ลิน ออสโล ประกอบไปด้วย ชิเนดู โอบาซี่, เอ็มมานูเอล ซาร์กี้ และ เอเซกีล บาล่า ซึ่งเชลซี ช่วยออกเงินซัพพอร์ทและดูแลครอบครัวให้ทุกคน คือเชลซีซื้อใจพวกดาวรุ่งที่น่าจะมีอนาคตไกลไว้ เผื่ออนาคตจะถ้าหากต้องเลือกย้ายทีม เด็กๆเหล่านี้ จะได้พิจารณาเชลซีเป็นทีมแรก
4
สำหรับกรณีของมิเกล แผนของเชลซีคือ ดูแล เทกแคร์กันไปเรื่อยๆ พอนักเตะอายุ 18 เมื่อไหร่ เชลซีก็จะเซ็นฟรีมาเข้าทีมได้ทันที เพราะสัญญาของมิเกลกับลิน ออสโล เป็น Youth Contract อยู่แล้ว ก็เสียแค่ค่าชดเชยนิดหน่อย แต่มูลค่าก็ไม่ได้แพงอะไร
1
แต่สิ่งที่ทำให้เชลซีต้องช็อกมาก และทุกอย่างต้องผิดแผนไปหมด เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2005 เป็นวันเกิดอายุครบ 18 ปี ของมิเกล อยู่ๆเจ้าตัวเซ็นสัญญาอาชีพ (Professional Contract) กับ ลิน ออสโลเฉยเลย โดยเอกสารถูกส่งถึงสหพันธ์ฟุตบอลนอร์เวย์ มีลายเซ็นนักเตะเรียบร้อย
1
มอร์แกน แอนเดอร์เซ่น ผู้อำนวยการกีฬาของลิน ออสโล ให้สัมภาษณ์ว่า ณ เวลานี้ นักเตะมีสัญญาอาชีพกับสโมสรแล้ว ดังนั้นสิทธิ์ขาดในการตัดสินใจว่าจะขายให้ใคร จึงเป็นของลิน ออสโล นักเตะไม่สามารถย้ายทีมได้อย่างอิสระอีกต่อไป เคสนี้ไม่เหมือน Youth Contract แล้ว
เมื่อเหตุการณ์พลิกผันแบบนี้ เชลซีก็งง ว่าอ้าว ทำไมผิดแผนแบบนี้ได้ แล้วเราอุตส่าห์ดูแลครอบครัวของคุณมาเป็นปี แล้วคุณก็เคยบอกว่าจะเลือกย้ายมาอยู่ทีมของเรา ทำไมมาวันนี้ผิดคำพูดแล้วไปเซ็นสัญญาอาชีพกับลิน ออสโลซะอย่างนั้นล่ะ
1
พอข่าวว่ามิเกล เซ็นสัญญาอาชีพแล้วหลุดออกไป แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเดินเกมเร็ว พวกเขาติดต่อหามอร์แกน แอนเดอร์เซ่นทันที และตกลงค่าตัวกันได้ที่ 4 ล้านปอนด์ ลิน ออสโล เคาะขายทันทีให้ทีมปีศาจแดง โดยมิเกลจะได้รับค่าเหนื่อยสัปดาห์ละ 10,000 ปอนด์
1
29 เมษายน 2005 จิมมี่ ไรอัน ผู้อำนวยการอะคาเดมี่ของแมนฯยูไนเต็ด บินไปนอร์เวย์ และไปจับมือกับมอร์แกน แอนเดอร์เซ่น เพื่อทำการเปิดตัวมิเกลอย่างเป็นทางการ
1
แอนเดอร์เซ่น บอกมิเกลว่า 2 สโมสรตกลงกันได้แล้ว ยังไงเขาก็จะขายมิเกลให้แมนฯยูไนเต็ดเท่านั้น โดยฝั่งแมนฯยูไนเต็ดนั้นจะซื้อขาดไว้ก่อน แต่จะปล่อยตัวให้ลินน์ใช้งานจนจบซีซั่น พอทุกอย่างเรียบร้อย ค่อยส่งตัวมิเกลไปแมนเชสเตอร์ ในเดือนมกราคม 2006
3
ในพิธีแถลงข่าวเปิดตัว มิเกลก็มาร่วมงานด้วย แต่มีท่าทีที่สับสนเล็กๆ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ชูเสื้อของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่จิมมี่ ไรอัน เตรียมไว้ให้ ด้านหลังปักชื่อ MIKEL ใส่เบอร์ 21 เรียบร้อย
นักข่าวถามเขาว่ารู้สึกอย่างไรบ้างกับการย้ายไปอยู่แมนฯยูไนเต็ด เจ้าตัวกล่าวเหมือนอ่านสคริปต์ว่า "ผมจะย้ายไปแมนฯยูไนเต็ดในเดือนมกราคมปีหน้า นี่เป็นฝันที่เป็นจริงของผม ผมดีใจมากที่จะได้ย้ายไปอยู่กับหนึ่งในสโมสรที่ใหญ่ที่สุดในโลก"
1
เรื่องราวก็ดูเหมือนจะจบที่ตรงนี้ เหมือนว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หยิบชิ้นปลามันได้สำเร็จ ตัดหน้าเชลซีกันดื้อๆ
แต่เหตุการณ์ก็ไม่จบง่ายๆ เพราะโรมัน อบราโมวิช เจ้าของทีมเชลซีไม่พอใจอย่างรุนแรงที่ทีมซื้อขายไม่สามารถปิดดีลได้สำเร็จ และไปไล่จี้ว่าเกิดอะไรขึ้น ฝั่งเชลซีไปสอบถามมิเกลว่า คุณไปเซ็นสัญญาอาชีพกับลิน ออสโลทำไม ซึ่งจุดนี้ นำมาสู่ปมที่สำคัญที่สุดของเรื่องนี้ นั่นคือ มิเกลบอกว่า เขาไม่ได้เซ็นสัญญาอาชีพกับลิน ออสโลเลย เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย
เรื่องนี้มีบทสรุปออกมาโดยชั้นศาลเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่า มอร์แกน แอนเดอร์เซ่น จงใจปลอมลายเซ็นของมิเกล แล้วส่งสัญญาปลอมไปที่สหพันธ์ฟุตบอลนอร์เวย์ เพราะแทนที่ลิน ออสโล จะเสียมิเกลไปแบบฟรีๆ ถ้าทำแบบนี้ สโมสรก็ได้เงินก้อนโตถึง 4 ล้านปอนด์จากแมนฯยูไนเต็ด และตัวแอนเดอร์เซ่นก็ได้ส่วนแบ่งจากดีลนี้ด้วย แต่แน่นอนเรื่องนี้ยังไม่มีใครรู้ ต้องรอผ่านไปอีกหลายปี กว่าที่ตำรวจจะสืบสวนจนความจริงปรากฏ
เท่ากับว่า นาทีนั้นคนที่รู้เรื่องการปลอมลายเซ็น มีแค่แอนเดอร์เซ่นคนเดียวเท่านั้น ตัวมิเกลไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าเขาไปเซ็นสัญญาอาชีพกับลิน ออสโลไปเมื่อไหร่ คือรู้ตัวอีกที ลิน ก็ประกาศขายให้แมนฯยูไนเต็ดไปแล้ว ขณะที่จอห์น ชิตตู เอเยนต์ของนักเตะก็ไม่รู้เรื่อง เขาเองก็งงมาก ที่นักเตะอยู่ๆก็ไปชูเสื้อแมนฯยูไนเต็ดเฉยเลย
1
คือ ณ เวลานั้น ต้องนึกภาพว่ามิเกล เพิ่งเป็นเด็กอายุ 18 ยังไม่เข้าใจสถานการณ์อะไรเลย เมื่อมีคนที่เป็นผู้ใหญ่ระดับผู้บริหารสโมสร เดินมาบอกว่า คุณต้องย้ายไปแมนฯยูไนเต็ด มันเป็นทางเลือกเดียวของคุณ เขาเองก็ทำอะไรไม่ถูก ก็ต้องเออออ ห่อหมกตามสถานการณ์ไป
1
11 พฤษภาคม 2005 ทุกคนเริ่มเห็นภาพชัดเจนขึ้น จอห์น ชิตตู บินไปนอร์เวย์ และมิเกลกล่าวแถลงการณ์ โดยระบุว่า "การเซ็นสัญญาเกิดขึ้นเพราะโดนบังคับ มันไม่ได้เกิดจากความเจตนาหรือตั้งใจของตัวเอง ผมอยากย้ายไปเชลซีมากกว่า"
2
เมื่อสถานการณ์เป็นแบบนี้วันรุ่งขึ้น 12 พฤษภาคม เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บินไปนอร์เวย์ เพื่อไปพูดคุยและโน้มน้าวมิเกลด้วยตัวเอง แต่ปรากฏว่า เฟอร์กี้ไม่เจอใครเลย เพราะมิเกลหายสาบสูญไปแล้ว เขาไม่ร่วมซ้อมกับทีมลิน ออสโลด้วย เขาหายตัวไปดื้อๆ
1
มิเกล บินไปกบดานอยู่ที่โรงแรมในลอนดอนเขาไม่อยากอยู่ลิน ออสโลต่อ ไม่อยากร่วมซ้อมอะไรทั้งนั้น เพราะรู้สึกเหมือนโดนสโมสรหักหลัง จากนั้นวันที่ 20 พฤษภาคม มิเกลให้สัมภาษณ์กับบีบีซี โดยยืนยันว่า เอกสารสัญญาอาชีพที่สหพันธ์ฟุตบอลนอร์เวย์ได้รับ คือเอกสารปลอมแน่นอน
1
ความซับซ้อนอยู่ตรงนี้ เพราะการจะรู้ว่าเอกสารปลอมหรือจริง ต้องใช้เวลาพิสูจน์นานมาก และระหว่างนั้น ถือว่าในทางกฎหมาย มิเกลกลายเป็นนักเตะคนใหม่ของแมนฯยูไนเต็ดไปแล้ว
ระหว่างที่ยังไม่รู้อนาคตของตัวเอง โปรแกรมทีมชาติก็มาถึงพอดี มิเกลในวัย 18 ปี ติดทีมชาติชุด u-20 ไปแข่งขันรายการชิงแชมป์โลกรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปีที่ฮอลแลนด์
ปรากฏว่า ในรายการนี้ มิเกลเล่นได้อย่างเหนือชั้นมากๆ เขาพาไนจีเรีย ทะลุไปถึงรอบชิงชนะเลิศ แต่ไปแพ้อาร์เจนติน่าอย่างฉิวเฉียดด้วยสกอร์ 2-1 คือใครจะไปคิดว่าไนจีเรียทีมนี้จะได้รองแชมป์โลก
4
นักเตะที่ได้รางวัลโกลเด้นบอล หรือ MVP ประจำทัวร์นาเมนต์ ได้แก่ลีโอเนล เมสซี่ ดาวเด่นของอาร์เจนติน่า แน่นอนใครๆ ที่เห็น ก็ฟันธงง่ายๆ ว่าเมสซี่จะก้าวต่อไปเป็นสตาร์ของโลกแน่ๆ ส่วนคนที่ได้รางวัลซิลเวอร์บอล หรือรอง MVP ได้แก่จอห์น โอบี มิเกล
3
ด้วยความสามารถที่เด่นชัดขนาดนั้น มันทำให้เห็นว่า เด็กในเจเนเรชั่นนี้ มิเกลถือว่าเป็นตัวท็อป คือเป็นรองแค่เมสซี่คนเดียว
จุดเด่นของมิเกลคือแม้จะตัวใหญ่ แต่เคลื่อนที่ได้คล่องแคล่ว แถมมีเซนส์เกมบุกที่ร้ายกาจ สื่ออังกฤษตั้งฉายาให้เขาเป็น "นิว เอริค คันโตน่า" ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบที่เข้าใจได้ เพราะทั้งสองคน มีส่วนสูงเท่ากันเป๊ะที่ 188 ซม. และเรื่องเซนส์ในสนามฟุตบอล มิเกลก็ยิงดีจ่ายบอลเยี่ยม คล้ายๆกับคันโตน่าอยู่บ้างเหมือนกัน
1
เมื่อโชว์ฟอร์มเทพ ในฟุตบอลโลก u-20 ยิ่งทำให้สงครามการแย่งชิงตัวมิเกลหนักข้อกว่าเดิม แมนฯยูไนเต็ด ก็จะเก็บไว้ให้ได้ ส่วนเชลซี ก็รู้สึกว่าไม่แฟร์เลยสักนิด ถ้าพวกเขาจะไม่ได้ตัวมิเกลไว้ใช้งานแบบนี้
เรื่องราวก็ยื้อกันไปเรื่อยๆ นานหลายเดือน มิเกลอยู่ในลอนดอนไม่ยอมกลับไปซ้อมกับลิน ออสโล ซึ่งสุดท้ายฟีฟ่าต้องเข้ามาแทรกแซง โดยระบุว่า ระหว่างการสืบสวนมิเกล ถือว่าเป็นนักเตะของแมนฯยูไนเต็ด ที่ปล่อยตัวให้ลิน ออสโล ยืมตัว ดังนั้นต้องกลับไปเล่นให้ต้นสังกัดก่อน 18 สิงหาคม มิเกลจึงต้องกลับไปซ้อมที่นอร์เวย์ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
1
จนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน เมื่อลีกนอร์เวย์ปิด คราวนี้มิเกลย้ายออกจากลิน ออสโล โดยแสดงเจตจำนงอย่างชัดเจนว่า ยังไงก็อยากอยู่แค่กับเชลซีเท่านั้น เขาถึงขนาดโทรไปบอกเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ว่าเขาชอบแมนฯยูไนเต็ดก็จริง แต่ใจของเขาอยากไปเชลซีมากกว่า
1
เรื่องราวมันเลยคาราคาซังอยู่แบบนี้ ฝั่งแมนฯยูไนเต็ด ก็อ้างอิงว่าตามเอกสารแล้ว ยังไงนักเตะก็เป็นผู้เล่นของพวกเขา ส่วนในมุมของตัวมิเกลก็ตอบโต้ว่า เอกสารจะถูกต้องได้อย่างไร ถ้ามันถูกปลอมแปลงขึ้นมา
1
ขณะที่ฝั่งเชลซีก็ได้แต่รอว่าการตรวจเอกสารของศาลนอร์เวย์เมื่อไหร่จะเสร็จสิ้น แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีกำหนด ระยะเวลาถูกยืดออกไปเรื่อยๆ
2
สถานการณ์นี้ ไม่ดีกับใครเลย แมนฯยูไนเต็ดก็ไม่รู้จะเอาไงต่อ จะเสริมทัพกองกลางดีไหม แต่ถ้าซื้อแล้วมิเกลย้ายมาล่ะ มันก็ทับตำแหน่งกันอีก วุ่นวายไปหมด ขณะที่ตัวมิเกลนั้น ยื้อกันแบบนี้ เขาก็ขาดแมตช์ให้ลงสนาม อย่าลืมว่ามิเกลไม่ได้เล่นฟุตบอลอย่างจริงจังมาปีกว่าๆแล้ว เด็กวัยรุ่นถ้าไม่ได้ลงสนามต่อเนื่องล่ะก็ มันจะหยุดพัฒนากันได้เลยทีเดียว
2
10 กุมภาพันธ์ 2006 ปีเตอร์ เคนย่อน ผู้บริหารของเชลซี จึงเข้าไปคุยกับผู้บริหารฝั่งแมนฯยูไนเต็ด ว่าโอเค เพื่อให้ทุกฝ่ายพอใจ งั้นเชลซีจะเป็นฝ่ายจบเรื่องนี้เอง ด้วยการจ่ายเงินให้แมนฯยูไนเต็ด เสมือนเป็นการซื้อต่อละกัน
เชลซี จ่ายเงินถึง 16 ล้านปอนด์ ให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดนแบ่งเป็น 4 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นเงินก้อนแรก ที่แมนฯยูไนเต็ด จ่ายให้ลิน ออสโล ขณะที่อีก 12 ล้านปอนด์ ถือเป็นเงินกินเปล่าที่ให้แมนฯยูไนเต็ดฟรีๆ
ในมุมของทีมปีศาจแดง ต่อให้มิเกลเก่งแค่ไหนก็เถอะ แต่ถ้าสโมสรได้เงินฟรีๆ 12 ล้านปอนด์ จากผู้เล่นที่ไม่เคยใช้งานแม้แต่นัดเดียว ก็ดูคุ้มค่าดี และนับว่าสมเหตุสมผลที่จะปล่อยมิเกลไปจากทีม คือเคสนี้ ยื้อไป นักเตะก็ไม่มีใจอยู่ดี ดังนั้นปล่อยไปแล้วเอาเงินไปใช้จ่ายฟรีๆดีกว่า
ขณะที่เชลซีในยุคโรมัน อบราโมวิช เงินแค่ 16 ล้านปอนด์ พวกเขาจ่ายได้ ไม่มีปัญหา แค่ขอให้เรื่องนี้มันจบๆไปซะที ตัวมิเกล จะได้ย้ายมาอยู่เชลซี แล้วเริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลอีกครั้ง
1 มิถุนายน 2006 เมื่อตลาดซื้อขายซัมเมอร์เปิดขึ้น มิเกล จึงย้ายมาอยู่เชลซีในที่สุด ปิดฉากดราม่าอันยาวนานลงได้เสียที
1
มีนักข่าวไปถามมิเกลภายหลังว่าทำไมถึงต้องเป็นเชลซี จริงๆถ้าเขาย้ายไปอยู่กับแมนฯยูไนเต็ดเลย ไหลตามน้ำไป ทุกอย่างก็จบ แล้วแมนฯยูไนเต็ดก็เป็นทีมที่ดีมาก เขาก็น่าจะประสบความสำเร็จเหมือนกัน
2
มิเกลอธิบายว่า "ผู้คนสองฝั่ง แย่งชิงตัวผม ผมคุยโทรศัพท์สายหนึ่งกับเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน แต่อีกสายผมก็มีโรมัน อบราโมวิช ทุกอย่างมันสับสนไปหมด ผมก็แค่เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งแค่นั้นเอง"
"แต่ผมจำเป็นต้องตัดสินใจ และมันคือการตัดสินใจครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต สาเหตุที่ผมเลือกเชลซี เพราะเชลซี ให้การซัพพอร์ทนักเตะไนจีเรียอีกสามคนพร้อมๆกับผม (โอบาซี่, ซาร์กี้, บาล่า) ชีวิตของพวกเขาทั้ง 3 คน ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผม ถ้าผมไปยูไนเต็ด พวกเขาจะหายไปจากสารบบแน่ แต่ถ้าผมไปเชลซี พวกเขาจะได้รับการสนับสนุนต่อไป และมีเส้นทางอาชีพ ดังนั้นเพื่อให้เพื่อนๆของผม ได้ไปต่อในเส้นทางอาชีพ ผมก็ต้องเลือกเชลซี"
2
จริงๆถ้ามองในแง่ว่าไปทีมไหนมีโอกาสได้เป็นตัวจริงมากกว่า แมนฯยูไนเต็ด อาจเป็นชอยส์ที่ดีกว่า เพราะตอนนั้นรอย คีน อำลาทีมไปแล้ว กองกลางก็จะมีพอล สโคลส์ เป็นตัวยืน แต่ที่เหลือเช่น ไมเคิล คาร์ริก หรือ ดาร์เรน เฟล็ตเชอร์ เอาจริงๆ มิเกลก็น่าจะสอดแทรกได้
2
ตรงข้ามกับเชลซี มิดฟิลด์ที่ขวางหน้าเขาอยู่ มีแฟรงค์ แลมพาร์ด, ไมเคิล เอสเซียง, มิชาเอล บัลลัค, และ โคล้ด มาเกเลเล่ ซึ่งแต่ละคนก็มีชื่อชั้นเหนือกว่าเขาทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม มิเกลขอสู้ แม้จะรู้ว่าไม่สามารถยึดตัวจริงได้ก็ตามที
มิเกลก็ไม่ท้อ ได้เป็นตัวจริงบ้าง สำรองบ้าง แต่จะดีจะร้ายเขาก็ยืนหยัดอยู่กับทีมสิงห์บลูส์ ได้ยาวนานถึง 11 ปีเต็ม และเป็นนักเตะที่แฟนๆชื่นชอบมากที่สุดคนหนึ่งด้วย ถ้ามองในแง่ว่าได้อยู่เชลซีมานานขนาดนี้ การยืนกรานว่าจะไปเชลซี ในปี 2005 อาจเป็นทางเลือกที่ถูกก็ได้
1
สำหรับคดีความเรื่องการปลอมลายเซ็น ศาลนอร์เวย์ตัดสินคดีวันที่ 20 กันยายน 2007 สรุปคือ มอร์แกน แอนเดอร์เซ่น ผู้อำนวยการกีฬาของลิน ออสโล ปลอมเอกสารจริง เขาโดนจำคุก 1 ปี และถูกสั่งห้ามยุ่งเกี่ยวกับวงการฟุตบอลอีก
บทสรุปของเรื่องนี้ จึงไม่มีใครผิด ไม่มีใครถูก แมนฯยูไนเต็ด ก็เข้าตามตรอกออกตามประตู เมื่อได้ข่าวว่าผู้เล่นเซ็นสัญญาอาชีพกับลิน ออสโล ก็ติดต่อไปทางช่องทางปกติ เพียงแต่แมนฯยูไนเต็ด ก็ไม่รู้ว่า เอกสารที่ผู้บริหารลิน ออสโล อ้างอิงถึงนั้นจะเป็นของปลอม
ขณะที่เชลซี ก็ประคบประหงมดูแลมิเกลมาหลายเดือน ว่ากันง่ายๆ คือเซ็นสัญญาใจล่วงหน้ากันแล้ว ใครจะไปคาดคิดว่า จะเจอเล่ห์เหลี่ยมจากฝั่งลิน ออสโลขนาดนั้น
มหากาพย์ การย้ายตัวของมิเกลจึงจบลงด้วยประการฉะนี้ และเหตุการณ์นี้ จึงเกิดภาพคลาสสิคตลอดกาล นั่นคือมิเกลใส่เสื้อแมนฯยูไนเต็ดในงานแถลงข่าว แต่กลับไม่เคยได้ลงเล่นในฐานะนักเตะแมนฯยูไนเต็ด แม้แต่ครั้งเดียว
และสำหรับทฤษฎี "การย้ายตัวแบบชัวร์ๆ คือนักเตะต้องชูเสื้อ" ก็ถูกพิสูจน์จนได้ ว่ามันไม่ใช่ความจริงเสมอไป ชูเสื้อแล้ว มีเบอร์แล้ว การซื้อขายยังล่มได้เลย
ในโลกของฟุตบอล ทุกอย่างพลิกผันได้ตลอด อะไรที่ไม่คิดว่าจะเกิด อย่าเพิ่งมั่นใจนัก เพราะมันอาจมีเซอร์ไพรส์ให้เราได้เห็นโดยไม่ทันตั้งตัวก็เป็นได้ จริงไหม มิเกล!
2
#MIKEL
15 บันทึก
74
1
8
15
74
1
8
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย