Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Play Now Thailand
•
ติดตาม
2 เม.ย. 2021 เวลา 08:20 • กีฬา
เสน่ห์ลูกหนังทีมปีศาจแดงยุค 70
โดย เชน ชอนตะวัน
ปี 2020 มีนักเตะซูเปอร์สตาร์ระดับโลกเสียชีวิตถึง 2 คนคือ ดิเอโก มาราโดนา จอมทัพทีมชาติอาร์เจนตินาชุดแชมป์ฟุตบอลโลกปี 1986 และ เปาโล รอสซี ดาวยิงทีมชาติอิตาลีชุดแชมป์ฟุตบอลโลกปี 1982 เป็นข่าวที่ทำให้แฟนบอลทั่วโลกใจหายไม่น้อย เพราะทั้งคู่ถือเป็นนักเตะระดับตำนานที่แฟนบอลรู้จักกันดี โดยเฉพาะแฟนบอลรุ่นอายุ 40 อัพ แต่สำหรับแฟนบอลทีมปีศาจแดง ปีที่ผ่านมายังมีอดีตนักเตะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยุค 60 และอดีตผู้จัดการทีมยุค 70 ที่แฟนบอลปีศาจแดงรุ่นใหญ่คุ้นเคยกันดีเสียชีวิตด้วยอีก 2 คน
คนแรก น็อบบี สไตล์ส เป็นกองกลางตัวรับทีมชาติอังกฤษชุดแชมป์ฟุตบอลโลกปี 1966 และผู้เล่นทีมแมนฯ ยูไนเต็ดชุดสร้างประวัติศาสตร์ เป็นสโมสรอังกฤษทีมแรกที่คว้าแชมป์ยูโรเปียนคัพเมื่อปี 1968 ส่วนอีกหนึ่งคนคือ “เดอะด็อค” ทอมมี ด็อคเคอร์ตี กุนซือสายเลือดสกอต ผู้จัดการทีมแมนฯ ยูไนเต็ดคนสุดท้ายที่พาทีมตกชั้น แต่สามารถพาทีมเลื่อนชั้นได้ในฤดูกาลเดียว ต่อมายังพาทีมคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ฤดูกาล 1976-77 ดับความหวังทำทริปเปิลแชมป์ของทีมหงส์แดง ลิเวอร์พูล เป็นความสำเร็จเพียงครั้งเดียวในยุค 70 ของทีมปีศาจแดง หากไม่นับการคว้าแชมป์ดิวิชัน 2 ในฤดูกาล 1974-75 !
1
ยุค 60 เป็นช่วงที่วัฒนธรรมอังกฤษเฟื่องฟูมาก ทั้งดนตรี แฟชั่น และฟุตบอล วงดนตรีจากเมืองลิเวอร์พูล “สี่เต่าทอง” The Beatles ได้รับความนิยมสูงสุด พร้อมกับแฟชั่นสไตล์ Mod ที่ฮิตกันทั่วโลก การมี บ็อบบี ชาร์ลตัน และ น็อบบี สไตล์ส อยู่ในทีมสิงโตคำรามชุดสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกครั้งแรกและครั้งเดียวในปี 1966 และทั้งคู่ยังเป็นกำลังสำคัญพาทีมปีศาจแดงคว้าแชมป์ยูโรเปียนคัพ 1968 ร่วมกับอีก 2 นักเตะซูเปอร์สตาร์คือ เดนิส ลอว์ กับ จอร์จ เบสต์ ด้วย จึงต้องถือว่ายุค 60 เป็นช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์อย่างแท้จริงยุคแรกของทีมแมนฯ ยูไนเต็ด
1
จุดเริ่มต้นแห่งความตกต่ำของทีมแมนฯ ยูไนเต็ด เริ่มจากการที่ แมตต์ บัสบี อำลาตำแหน่งผู้จัดการทีม หลังจากพาทีมคว้าแชมป์ยูโรเปียนคัพ เพราะความสำเร็จที่เขาสร้างไว้มันยากเกินกว่าที่ผู้จัดการทีมรุ่นถัดมาอย่าง วิลฟ์ แม็คกินเนสส์ หรือ แฟรงค์ โอฟาร์เรลล์ จะวัดรอยเท้าได้ แต่ความตกต่ำของทีมอย่างแท้จริงน่าจะเป็นเพราะความร่วงโรยของ บ็อบบี ชาร์ลตัน ที่ประกาศแขวนสตั๊ดในปี 1973 และ “เทพบุตรลูกหนัง” จอร์จ เบสต์ เสียคนเร็วเกินไป อันเนื่องจากฝีเท้าอันเก่งกาจ บวกกับรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาราวเทพบุตร มันนำมาซึ่งชื่อเสียง-เงินตรา-สุรา-นารี ความเป็นมืออาชีพในฐานะนักฟุตบอลจึงค่อยๆ เลือนหายไป
ทอมมี ด็อคเคอร์ตี เข้ามาคุมทีมแมนฯ ยูไนเต็ดในช่วงเวลาที่เบสต์ใกล้อำลาถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ดอย่างถาวร ความจริงเบสต์เคยประกาศแขวนสตั๊ดไปแล้วด้วยซ้ำ เพียงแต่เปลี่ยนใจกลับมาเล่นใหม่ แต่ยังคงไร้วินัยเช่นเดิม หลังจบฤดูกาล 1973-74 ซึ่งเป็นการคุมทีมเต็มฤดูกาลแรกของด็อคเคอร์ตี ทีมปีศาจแดงตกชั้นเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี แต่ฝ่ายบริหารยังคงไว้วางใจให้เขาคุมทีมต่อไป เพราะรู้ดีว่ามันถึงเวลาแห่งความเปลี่ยนแปลงของทีมแมนฯ ยูไนเต็ด แล้ว!
ฟุตบอลอังกฤษในยุค 70 เป็นยุคที่ทีมลีดส์ ยูไนเต็ด, ดาร์บี้ เคาน์ตี้ และลิเวอร์พูล ขับเคี่ยวแย่งชิงความสำเร็จ แม้ด็อคเคอร์ตีจะพาทีมแมนฯ ยูไนเต็ดเลื่อนชั้นกลับขึ้นมาได้ภายในฤดูกาลเดียว แต่สภาพทีมโดยรวมยังไม่แข็งแกร่งเพียงพอที่จะคว้าแชมป์ดิวิชัน 1 แต่มักทำได้ดีในฟุตบอลถ้วย โดยเฉพาะเอฟเอ คัพซึ่งแข่งแบบน็อกเอาต์ แมนฯ ยูไนเต็ดเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ 2 ปีติดต่อกัน และคว้าแชมป์ได้ในปี 1977 โดยเอาชนะลิเวอร์พูล ของ บ็อบ เพสลีย์ ลงได้ นับเป็นการคว้าแชมป์รายการใหญ่ครั้งแรกในรอบ 9 ปีของทีมแมนฯ ยูไนเต็ดอีกด้วย
หลังจากด็อคเคอร์ตีพาทีมเลื่อนชั้นกลับขึ้นมาเล่นในลีกดิวิชัน 1 อีกครั้ง ทีมปีศาจแดงโฉมใหม่ในยุค 70 ที่แทบไร้เงาขุนพลชุดยิ่งใหญ่ในยุค 60 ของ แมตต์ บัสบี ดูมีสีสันมากขึ้น จากที่เคยเน้นแต่ตั้งรับในฤดูกาลที่ตกชั้น เปลี่ยนเป็นทีมพลังหนุ่มที่เน้นเกมรุกมากขึ้น และในช่วงที่มีด็อคเคอร์ตีเป็นผู้จัดการทีมนี้เอง เป็นช่วงที่นักเตะหนุ่มหลายคนแจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัว หนึ่งในนั้นคือเจ้าหนุ่มผมบลอนด์ชื่อ ไบรอัน กรีนฮอฟฟ์ ซึ่งเป็นนักเตะเยาวชนคนสุดท้ายที่เซ็นสัญญากับทีมแมนฯ ยูไนเต็ดในยุค แมตต์ บัสบี ในปี 1968
ไบรอัน กรีนฮอฟฟ์ เกิดที่เมืองบาร์นลีย์ในแคว้นยอร์กเชียร์ และเป็นแฟนทีมแมนฯ ยูไนเต็ด มาตั้งแต่สมัยยังเด็ก จึงเลือกเซ็นสัญญากับทีมแมนฯ ยูไนเต็ด แทนที่จะเลือกเซ็นสัญญากับทีมลีดส์ ยูไนเต็ด ตามจิมมี พี่ชาย ซึ่งเป็นผู้ทำประตูชัยในนัดชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ ปี 1977 แบบไม่เจตนา สมัยที่เริ่มลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่เป็นช่วงแรกๆ ตำแหน่งถนัดของเขาคือกองกลางตัวรับ แต่หลังจาก จิม โฮลตัน เซ็นเตอร์ฮาล์ฟพันธ์ดุขาหัก ด็อคเคอร์ตีก็จับ ไบรอัน กรีนฮอฟฟ์ มายืนเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟจำเป็น ซึ่งเขาก็ทำผลงานได้ดีแม้รูปร่างจะสูงเพียง 175 เซนติเมตร เล็กกว่ามาตรฐานปราการหลังตัวกลางในอังกฤษ
สิ่งที่ทำให้บรรดาเรดอาร์มีหลงรักในตัว ไบรอัน กรีนฮอฟฟ์ คือเขาเป็นแบบฉบับนักเตะแมนฯ ยูไนเต็ดพันธุ์แท้ในสายตาของแฟนบอล สู้ทุ่มเทเต็มที่เพื่อทีม นอกจากจะสามารถเล่นในแดนหลังและแดนกลางได้สารพัดตำแหน่งแล้ว ต้องถือว่า ไบรอัน กรีนฮอฟฟ์ เป็นกองหลังที่ชดเชยเรื่องความเสียเปรียบในการเล่นลูกกลางอากาศ ด้วยการอ่านเกมที่ยอดเยี่ยม ผ่านบอลแม่น และยังมีทักษะในการเลี้ยงบอลที่ดี ไม่เคยหวั่นเกรงที่จะพาบอลลากลุยไปข้างหน้า เมื่อจับคู่กับ มาร์ติน บัคคัน เซ็นเตอร์ฮาล์ฟทีมชาติสกอตแลนด์ จึงถือเป็นคู่ปราการกลางที่ไว้ใจได้ แม้ทั้งคู่จะรูปร่างเล็กพอๆ กันก็ตาม
แม้การจับคู่กันของ ไบรอัน กรีนฮอฟฟ์ กับ มาร์ติน บัคคัน ในฤดูกาลแรกจะลงเอยด้วยการที่ทีมตกชั้น แต่หาใช่ความผิดของทั้งคู่ สภาพของทีมโดยรวมช่วงนั้นเป็นขาลง แม้ตกชั้นแต่ทั้งคู่และกำลังสำคัญของทีมในยุคนั้น เช่น แซมมี แม็คอิลรอย , ลู มาคารี, สจ็วต เพียร์สัน และ สตีฟ คอปเปลล์ ช่วยให้ทีมแมนฯ ยูไนเต็ดทำผลงานร้อนแรงเกินคาด ผู้ชมเฉลี่ยในสนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด ในฤดูกาล 1974-75 สูงกว่าทุกทีมในลีกดิวิชัน 1 ฤดูกาลนั้น บางนัดผู้ชมแห่แหนเข้ามาในสนามกว่า 6 หมื่นคน แม้จะเป็นทีมในดิวิชัน 2 แต่นัดที่แมนฯ ยูไนเต็ดลงเตะได้รับเลือกเป็น Match of the Day ถึง 5 นัด!
หลังจากเลื่อนชั้น แมนฯ ยูไนเต็ดมีผลงานที่น่าพอใจ จบฤดูกาลด้วยอันดับ 3 ในลีก และยังผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ โชคร้ายที่พวกเขาปราชัยทีมเซาแธมป์ตันแบบพลิกความคาดหมาย 0-1 ครั้งนั้น ไบรอัน กรีนฮอฟฟ์ ผิดหวังถึงขนาดไม่ยอมจับมือกับผู้เล่นของทีมคู่แข่งหลังจบเกม และยอมรับว่าแทบจะทนดูภาพบาดตาที่นักเตะเซาแธมป์ตันขึ้นบันได 39 ขั้นของสนามเวมบลีย์ไปรับถ้วยเอฟเอ คัพไม่ได้ เขาผิดหวังถึงขนาดทิ้งเหรียญรองแชมป์เอฟเอ คัพไว้ที่โรงแรม และลั่นวาจากับภรรยาของตัวเองว่าจะรอเหรียญแชมป์เอฟเอ คัพในฤดูกาลหน้า และ ไบรอัน กรีนฮอฟฟ์ ก็ทำได้จริงๆ
ฤดูกาล 1976-77 แมนฯ ยูไนเต็ด ทุ่มเงิน 120,000 ปอนด์ คว้าตัว จิมมี กรีนฮอฟฟ์ พี่ชายของไบรอัน จากทีมสโตก ซิตี้ มาเสริมทีม ทำให้สองพี่น้องมีโอกาสลงเล่นร่วมกันในฐานะนักฟุตบอลอาชีพเป็นครั้งแรก ยุคนั้นแมนฯ ยูไนเต็ดมีลีลาการเล่นที่เร้าใจ มี สตีฟ คอปเปลล์ กับ กอร์ดอน ฮิลล์ เป็นปีกใช้ความเร็วลากเลื้อยทางกราบขวาและซ้าย ก่อนโยนบอลให้ให้คู่กองหน้าคือ สจวร์ต เพียร์สัน กับ จิมมี กรีนฮอฟฟ์ เข้าชาร์จตามสไตล์ฟุตบอลอังกฤษโบราณแท้ๆ ต่างจากลิเวอร์พูล ยอดทีมช่วงปลายยุค 70 ที่เน้นการต่อบอลสั้นบดบี้กดดันทีมคู่แข่งราวกับเป็นเครื่องจักร ในบ้านเรายุคนั้นแฟนบอลรุ่นใหม่ของทั้งสองทีมจึงมีมากพอๆ กัน
เสน่ห์ของทีมแมน ฯ ยูไนเต็ด ยุค 70 ก็เหมือนเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ของฟุตบอลอังกฤษ คือการโจมตีโดยอาศัยความเร็ว เน้นโยนบอลยาวเข้าปากประตูทีมคู่แข่งเป็นหลัก ขณะที่ลิเวอร์พูลนอกจากจะมีนักเตะฝีเท้าเยี่ยมอัดแน่นเต็มทีม ยังมีระบบการเล่นที่ยอดเยี่ยม จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่พวกเขานอกจากจะป้องกันแชมป์ดิวิชัน 1 สำเร็จ ยังมีโอกาสทำทริปเปิลแชมป์เป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์วงการฟุตบอลอังกฤษ เพราะฤดูกาลดังกล่าวพวกเขาผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพและยูโรเปียนคัพด้วย ซึ่งทีมที่โคจรมาพบกับลิเวอร์พูล คือทีมแมนฯ ยูไนเต็ด นั่นเอง
ยุคนั้นลิเวอร์พูลมีกำลังสำคัญหลายคน เรย์ คลีเมนซ์, เอ็มลีน ฮิวจ์ส, ทอมมี สมิธ, สตีฟ ไฮเวย์, เควิน คีแกน, เทอร์รี แม็คเดอร์ม็อตต์ ฯลฯ เทียบฟอร์มกับทีมแมนฯ ยูไนเต็ดในยุคนั้นแล้ว ดูเหนือกว่ามาก อย่างไรก็ตามมันเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีของทีมคู่แข่งบารมีบ้านใกล้เรือนเคียง เกมจึงเป็นไปอย่างสูสี ตัดสินผลแพ้ชนะกันภายในเวลาเพียง 5 นาทีของช่วงครึ่งหลัง หลังจาก สจวร์ต เพียร์สัน หลุดเข้าไปทำประตูให้กับทีมแมนฯ ยูไนเต็ดขึ้นนำก่อนในนาทีที 51 ก่อนที่ จิมมี เคส จะยิงประตูสุดสวยตีเสมอให้ลิเวอร์พูลในอีกเพียง 2 นาทีถัดมา แต่นาทีที่ 55 ลู มาคารี ก็ยิงบอลไปแฉลบตัว จิมมี กรีนฮอฟฟ์ ผ่านมือคลีเมนซ์เข้าไป กลายเป็นประตูชัยของทีมปีศาจแดงในนัดนี้
แต่คนที่ได้รับเลือกให้เป็น แมน ออฟ เดอะ แมตช์ คือ ไบรอัน กรีนฮอฟฟ์ เพราะเขาจับคู่กับ มาร์ติน บัคคัน ต้านทานเกมรุกของทีมลิเวอร์พูลได้อย่างยอดเยี่ยม และเวลาสวนกลับเร็วยังเปิดบอลให้เพื่อนได้อย่างแม่นยำ ภาพที่ไบรอันชูถ้วยเอฟเอ คัพ พร้อมกับจิมมี พี่ชาย ถือเป็นภาพแห่งความทรงจำในยุค 70 ของทีมแมนฯ ยูไนเต็ด เพราะมันคือความสำเร็จรายการใหญ่ครั้งแรกในช่วงหลังยุค แมตต์ บัสบี ทุกคนนึกถึงภาพที่ ไบรอัน กรีนฮอฟฟ์ ปาดน้ำตาหลังจบเกมแพ้เซาแธมป์ตันในรอบชิงชะเลิศปีก่อนหน้านี้ ขณะที่บรรดาเรดอาร์มีมั่นใจว่า ทีมปีศาจแดงกำลังจะหวนคืนกลับมาสู่ยุคเรืองรองอีกครั้ง
แต่ใครเลยจะคาดคิดครับว่าสถานการณ์จะพลิกผัน หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน ทอมมี ด็อคเคอร์ตี ถูกปลดจากตำแหน่งผู้จัดการทีม ด้วยเรื่องอื้อฉาวคาวสวาท แอบเป็นกิ๊กกับภรรยาของ ลอรี บราวน์ นักกายภาพบำบัดประจำสโมสร ทั้งๆ ที่ตนเองก็มีภรรยาอยู่ก่อนแล้ว ด็อคเคอร์ตีถูกกล่าวหาว่าใช้ให้ ลอรี บราวน์ ไปทำหน้าที่แมวมองตามเมืองอื่นๆ เพื่อที่ตนเองจะได้ดอดไปหาแมรี ภรรยาของ ลอรี บราวน์ ได้ แต่ด็อคเคอร์ตียืนยันว่าความสัมพันธ์ของตนเองกับแอกเนส ภรรยา ไม่ดีมา 2-3 ปีแล้ว และสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากความรัก ตนจึงกลายเป็นผู้จัดการทีมคนเดียวที่ถูกไล่ออกเพราะความรัก
สิ่งที่ยืนยันคำพูดของด็อคเคอร์ตีได้ดีคือ จากวันนั้นจนถึงวันที่ด็อคเคอร์ตีเสียชีวิต แมรีอยู่เคียงข้างเขาเสมอ หาใช่เพียงอารมณ์เปลี่ยวเหงาชั่วคราว ว่ากันว่าหากไม่มีเรื่องอื้อเรื่องฉาวจนทำให้ด็อคเคอร์ตีถูกปลด บางทีแมนฯ ยูไนเต็ดอาจจะไม่ต้องรอคอยถ้วยแชมป์ลีกสูงสุดยาวนานจนถึงยุคของ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็เป็นได้!
การจากไปของ ทอมมี ด็อคเคอร์ตี ส่งผลต่ออนาคตในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ดของ ไบรอัน กรีนฮอฟฟ์ เป็นอย่างมาก เพราะ เดฟ เซ็กซ์ตัน ผู้จัดการทีมแมนฯ ยูไนเต็ดคนใหม่ คว้าตัว กอร์ดอน แม็คควีน เซ็นเตอร์ฮาล์ฟทีมชาติสกอตแลนด์เจ้าของความสูง 191 เซ็นติเมตรมายืนเป็นคู่ขาบัคคันแทน ทำให้ไบรอันถูกจับไปยืนเป็นแบ็กขวาบ้าง กลางรับบ้าง และกลายเป็นตัวสำรองถาวรในฤดูกาล 1978-79 ฤดูกาลนั้นแมนฯ ยูไนเต็ดผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้ ไบรอัน กรีนฮอฟฟ์ ได้เพียงนั่งเป็นตัวสำรองดูเพื่อนร่วมทีมไล่จากที่ตามอาร์เซนอล 0-2 กลับมาตีเสมอช่วงท้ายเกม 2-2 ก่อนที่ อลัน ซันเดอร์แลนด์ จะทำประตูชัยให้อาร์เซนอลชนะ 3-2 ในนาทีที่ 89 ความผิดหวังครั้งนั้นทำให้ขอย้ายทีม หลังจากลงเล่นให้กับทีมปีศาจแดงทั้งหมด 271 นัด ทำได้ 17 ประตู เป็นทีมลีดส์ที่ยื่นข้อเสนอ 350,000 ปอนด์ซื้อตัวกรีนฮอฟฟ์ผู้น้อง ถือเป็นค่าตัวในการย้ายจากทีมแมนฯ ยูไนเต็ด ที่สูงเป็นสถิติในยุคนั้น
ไบรอัน กรีนฮอฟฟ์ เล่นให้กับลีดส์ได้เพียง 3 ฤดูกาล ผลงานของเขาตกต่ำลงจากสมัยเล่นให้กับทีมแมนฯ ยูไนเต็ดมาก สภาพร่างกายเริ่มไม่ฟิต น้ำหนักตัวเกิน และบาดเจ็บบ่อย หลังจากลีดส์ตกชั้น ไบรอัน กรีนฮอฟฟ์ ก็ถูกปล่อยตัวออกจากทีมแบบไม่มีค่าตัว!
จากนั้น ไบรอัน กรีนฮอฟฟ์ กลายเป็นนักเตะพเนจร ตระเวนค้าแข้งที่แอฟริกาใต้และฟินแลนด์ และหวนกลับมาเป็นผู้เล่น-โค้ชให้กับทีมรอชเดลในดิวิชัน 4 ที่มีจิมมีพี่ชายเป็นผู้จัดการทีม สังขารที่ไม่เอื้ออำนวยในวัย 39 ปี ไม่อาจช่วยทีมหนีตกชั้นได้ ทั้งจิมมีและไบรอันจึงแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการในปีเดียวกัน แต่ที่น่าเศร้าคือจากนั้นไม่นานพี่น้องที่สนิทกันชนิดแทบแยกจากกันไม่ได้ ก็มีเรื่องหมางใจกันจนไม่พูดจากันอีกเลย ตราบจนวันที่ไบรอันเสียชีวิตเมื่อปี 2013 เพราะเรื่องที่จิมมีไม่เชิญน้องชายไปร่วมงานแต่งงานของลูกสาว หรือแม้แต่แจ้งข่าวดีให้ทราบ
ความบาดหมางของพี่-น้องตระกูลกรีนฮอฟฟ์เพิ่งเปิดเผย หลังจาก ไบรอัน กรีนฮอฟฟ์ เปิดตัวหนังสืออัตชีวประวัติของตนเองในปี 2012 โดยให้เหตุผลว่า เขารู้สึกว่ามันสมควรแก่เวลาที่คนทั่วไปจะได้รับรู้เสียที ทั้งๆ ที่มันเกือบจะเป็นความลับไปตลอดกาล เพราะใน 1 ปีถัดมา ไบรอัน กรีนฮอฟฟ์ ก็เสียชีวิตในวัยเพียง 60 ปี ทำให้เขาหมดโอกาสปรับความเข้าใจกับพี่ชาย แต่ถึงกระนั้นในพิธีศพของไบรอัน พี่ชายของเขาก็มาร่วมงานไว้อาลัยน้องชาย แต่สิ่งหนึ่งที่ไบรอันภูมิใจเสมอมาคือการได้สวมเสื้อสโมสรฟุตบอลที่เขารู้สึกว่าดีที่สุดในโลก และมีชีวิตอยู่ทันเห็นทีมรักทำสถิติคว้าแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 20 เมื่อปี 2013
ยุค 70 อาจเป็นยุคที่แมนฯ ยูไนเต็ดประสบความสำเร็จน้อย แต่ภายใต้การคุมทีมของ ทอมมี ด็อคเคอร์ตี และคู่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟร่างเล็ก ไบรอัน กรีนฮอฟฟ์ กับ มาร์ติน บัคคัน ปีกซ้ายขวาอย่าง กอร์ดอน ฮิลล์ และ สตีฟ คอปเปลล์ และคู่ศูนย์หน้า จิมมี กรีนฮอฟฟ์ กับ สจวร์ต เพียร์สัน พวกเขาไม่ได้สร้างความผิดหวังให้กับแฟนบอลเรดอาร์มีแต่อย่างใด ด้วยสไตล์การเล่นแบบบู๊ล้างผลาญตามสไตล์ฟุตบอลอังกฤษแท้ๆ เป็นเสน่ห์ที่ทำให้พวกเขายังคงมีแฟนบอลติดตามมากมาย แม้ความสำเร็จจะเปรียบเทียบกับลิเวอร์พูล ทีมคู่แข่งบารมี ซึ่งเป็นยอดทีมในยุคนั้นไม่ได้เลยก็ตาม
มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่แฟนบอลทีมแมนฯ ยูไนเต็ดทั่วโลก มักเป็นแฟนบอลทีมชาติอังกฤษด้วย ส่วนแฟนบอลทีม “เครื่องจักรสีแดง” ลิเวอร์พูล จำนวนไม่น้อยมักเชียร์ทีมชาติเยอรมัน ซึ่งมีระบบการเล่นแน่นอนกว่า บางครั้งความสำเร็จในสนามแข่งขันจึงไม่ได้การันตีว่าทีมทีมนั้นจะต้องมีแฟนบอลมากกว่าทีมที่ประสบความสำเร็จน้อยกว่าเสมอไป และฟุตบอลแต่ละยุคสมัยก็มีเสน่ห์และสีสันที่แตกต่างกันไป!
1
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลค์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
#playnowthailand #khelnowthailand #ฟุตบอล #Soccer #football #น็อบบีสไตล์ส #แมนฯยูไนเต็ด #ทอมมีด็อคเคอร์ตี #ไบรอันกรีนฮอฟฟ์ #ทอมมีด็อคเคอร์ตี
2 บันทึก
9
3
2
9
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย