5 เม.ย. 2021 เวลา 02:00 • หนังสือ
[สรุปหนังสือ] Quiet - Part one : ทำไมโลกนี้ถึงเอียงไปทาง Extrovert
2
ใครอ่านไม่ออกลองซูมดูนะครับ 🤣
เคยสงสัยกันมั้ยว่าทำไมสังคมต่างๆในชีวิตเรา ถึงดูเหมือนออกแบบมาให้กับ Extroverts ไปซะหมด ทั้งห้องเรียนที่เน้นให้ยกมือตอบคำถามหรือในที่ทำงาน/พ่อแม่ที่บอกให้เรากล้าแสดงออก รวมไปถึง ใครที่พรีเซนต์ตัวเองเก่งก็มักจะมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักมากกว่าคนปกติ
5
นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า Extrovert Ideal - เมื่อโลกนี้ให้ความสำคัญกับความเป็น Extrovert มากกว่า Introvert ส่งผลให้ Introvert หลายๆคนจะรู้สึกไม่ Fit-in กับสังคมและขาดความมั่นใจในตัวเอง
7
ดังนั้น Susan Cain ผู้เขียนจึงเริ่มต้นหนังสือด้วยการพูดถึงเรื่องนี้ก่อน เน้นให้เราเข้าใจถึงธรรมชาติของสังคม และที่มาของมัน เพื่อที่จะได้ปรับตัวให้เข้ากับสังคมแบบนี้ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่ธรรมชาติของ Introvert ซักเท่าไหร่นัก
4
และนี่คือ Part One ของหนังสือ Quiet : The Power of Introverts in a World That Can’t Stop Talking เนื้อหาจะเป็นอย่างไร เดี๋ยวผม”เล่า”ให้ฟังครับ
2
🕺🏻 Mighty Likable Fellow - ทำไมคนถึงให้คุณค่ากับความกล้าแสดงออก
 
เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปในปี 1902 เลยครับ จะมี Dale เด็กน้อยในครอบครัวชาวนาคนนึงจาก Missourri ที่ได้ไปฟังกลุ่ม Chautauqua กลุ่มเคลื่อนไหวในอเมริกาที่เน้นเผยแพร่การพูดต่อหน้าสาธารณชน (Public Speaking) และเกิดความหลงไหลในศาสตร์นี้เป็นอย่างสูง
2
ถัดมาเค้าได้ฝึกฝนจนมีความสามารถในด้านนี้สูง เป็นคนที่คอยสอนเพื่อนในเรื่องนี้ พอจบออกมาทำงานก็อยู่ในช่วงที่ตลาดอเมริกากำลังเติบโตและต้องการอาชีพพนักงานขาย (Saleman) เป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ความสามารถในการพูดของเค้าเหมาะสมกับงานนี้ และทำอาชีพได้ในระดับท็อป
ถัดมาเค้าเริ่มเปิด Workshop เพื่อสอนเกี่ยวกับทักษะด้านนี้ เมื่อได้รับความนิยมมากๆขึ้นก็เริ่มเปิดสถาบันเป็นของตัวเองที่ชื่อว่า Dale Carnegie Institute สถาบันที่สอนเกี่ยวกับทักษะการพูดที่ดังที่สุดในโลกแห่งนึง
1
Dale Carnegie
ใช่ครับเด็กน้อยชาวนาคนนี้คือ Dale Carnegie ตำนานเจ้าของหนังสือชื่อดังอย่าง How to Win Friends and Influence People และหนังสือ Self-Development ชื่อดังอีกหลายเล่ม
การเกิดขึ้นของ Trend การขาย การพูดนี้ ทำให้ช่วงปี 1920-1930 เป็นยุคทองที่สปอตไลท์สาดส่องไปทางเหล่า Extroverts ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญทั้งในทางธุรกิจและทางการค้า และส่งผลให้ Introverts กลายเป็นคนที่ดูไม่มีความสามารถในสายตาคนอื่น ดูเป็นคนเงียบๆที่ไม่กล้าแสดงออก
6
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า Introverts จะไม่มีที่ยืนในสังคม หรือถูกจัดเป็นพลเมืองชั้นสองนะครับ เพราะก็ยังมีสายงานอื่นๆที่ไม่ต้องใช้ Social Skill มากนัก แต่กลับต้องใช้ความเงียบ, สมาธิ, การคิดก่อนพูด, การวางแผนอย่างรอบคอบ อยู่อีกมากมาย ซึ่งจุดนี้ Introverts ทำได้ดีกว่า
10
เพียงแต่งานเหล่านี้มักจะเป็นงานเบื้องหลัง (Back Office) มากกว่าจึงทำให้ไม่ได้เป็นที่จดจำ หรือมีชื่อเสียงมากเท่างานของ Front Office
3
*** เหมือนกรณีของ Steve Jobs ที่มักจะถูกจดจำมากกว่าในฐานะ CEO ของ Apple ในขณะที่ Stephen Wozniak ผู้เป็นเบื้องหลังความสำเร็จด้านด้านเทคโนโลยีและเป็นผู้สร้างคอมพิวเตอร์ Apple เครื่องแรกขึ้นมากลับถูกพูดถึงในปริมาณที่น้อยกว่ามากๆๆๆ
10
⭐️ Case Study ที่น่าสนใจจากในหนังสือ
การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯในปี 1828 ระหว่าง John Quincy, Professor จาก Harvard และ Andrew Jackson, ฮีโร่จากสงคราม
ด้วยความแตกต่างกันสุดขั้วของทั้งสองคนทำให้มีคำพูดติดปากของคนในยุคนั้นว่า “John Quincy Adam who can write, Andrew Jackson who can fight.” ซึ่งเป็นลักษณะของ Introvert และ Extrovert ตามลำดับ
ผลการเลือกตั้งก็ออกมาว่าทางฝ่ายของ Andrew Jackson นั้นชนะไปขาดลอยถึง 178 ต่อ 83 เสียง เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความนิยมใน Extroversion ที่ดีอย่างนึงเช่นกัน
2
👸🏻 Charismatic Leadership - ภาวะผู้นำแบบที่มีลักษณะเฉพาะตัว
ความเชื่อของภาวะผู้นำที่มีลักษณะเฉพาะตัวนั้นเป็นหนึ่งในความเชื่อ และธรรมเนียมปฏิบัติของมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกอย่าง Harvard Business School (HBS) ที่จะสนับสนุนและส่งเสริมให้นักศึกษากล้าแสดงออกและมีส่วนร่วม (Participation) ในห้องเรียน
HBS
โดยความเชื่อดังกล่าวจะให้ความสำคัญและคะแนนความน่าเชื่อถือของแต่ละคนขึ้นอยู่กับความกล้าอสดงออกของแต่ละคน ส่งผลให้ Extroverts ถูกมอบความน่าเชื่อถือในการเป็นผู้นำมากกว่า Introverts และยังทำให้เกิดความเชื่อที่ว่าคนที่เงียบและมีการตัดสินใจที่ช้านั้นไม่เหมาะจะเป็นผู้นำ
แต่ !! นั่นคือความเชื่อที่ผิด สอดคล้องกับเหตุผลของด้านบนเลยครับที่งานบางส่วนนั้นยังจำเป็นที่จะต้องใช้การตัดสินใจอย่างรอบคอบ คำนึงถึงผลกระทบในหลายๆด้าน ซึ่งนั่นเป็นลักษณะของ Introvert มากกว่าเสียอีก
1
ลองคิดดูง่ายๆ ในยุคปัจจุบันที่ข่าวสารเดินทางได้ไวมากๆ ถ้ามี CEO คนไหนที่พูดจาแบบขวานผ่าซากหุนหันผลันแล่น โดยไม่กรองคำพูดดีๆ ก็มีโอกาสที่จะถูกดราม่าหรือการล่าแม่มดเกินขึ้นได้สูงมาก
2
นั่นหมายความว่า ความเป็น Extrovert ก็ไม่ได้เป็นปัจจัยหลักของการเป็นผู้นำเสมอไป Introvert ก็เช่นกัน
คนที่จะเป็นผู้นำที่ดีได้นั้นจำเป็นที่จะต้องมีลักษณะนิสัยทั้งสองอย่างผสมกันอยู่ หรือไม่ก็ต้องรู้ว่าสถานการณ์แบบไหนควรจะใช้บุคลิกภาพแบบใดในการตอบสนองเพื่อให้เกิดประโยชน์มากที่สุดนั่นเอง
4
ดังนั้นเราจะเห็นว่า CEO ของบริษัทชั้นนำนั้นไม่ได้มีแต่ Extrovert เพียงอย่างเดียว เราจะเห็น Introvert หลายคนที่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำองค์กรที่ดีได้ด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น Bill Gates (Microsoft), Charles Schwab (CEO ของ Charles Schwab Corp. บริษัทด้านการเงิน), Brenda Barnes (Sara Lee และ Pepsi Co) และ James Copeland (Deloitte)
2
👨🏼‍🤝‍👨🏻 New Groupthink VS 🧑🏻‍💻 Working Alone
ลักษณะในการทำงานโดยทั่วไปของ Introvert และ Extrovert มักจะแตกต่างกัน ฝ่ายแรกมักชอบที่จะทำงานเงียบๆมีสมาธิคนเดียว และฝ่ายหลังมีกจะชอบการทำงานเป็นทีมเพื่อที่จะ Brainstorm ความคิดดีๆออกมาให้ได้มากที่สุด
แต่เมื่อกระแสของ Extrovert นั้นบูมมากตั้งแต่ยุคของ Dale Carnegie ลากยาวมาจนถึงปัจจุบัน ประกอบกับเหตุผลทางด้านต้นทุนและปริมาณพนักงานที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น ส่งผลให้เกิดความเชื่อที่เรียกว่า New Groupthink ซึ่งเน้นไปที่การทำงานเป็นทีม
ทำให้การทำงานในองค์กรต่างๆมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบมาเป็น Open-Floor Plan ที่พนักงานส่วนใหญ่จะไม่มีห้องส่วนตัวเป็นของตัวเอง แต่จะเป็นโต๊ะทำงานหลายๆโต๊ะรวมกันอยู่ในห้องโถงใหญ่
ทั้งนี้เพื่อเป็นการประหยัดพื้นที่ส่วนตัว และเพิ่มพื้นที่ใช้สอยส่วนรวมแล้วยังทำให้เหมาะกับการสื่อสารและทำงานเป็นทีมที่มากขึ้น เพราะพนักงานทุกคนสามารถเข้าหากันได้โดยไม่มีกำแพงห้องมากั้นเหมือนในอดีต โดยเชื่อว่าการทำแบบนี้จะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมของพนักงานได้มากขึ้น
1
แต่นั่นกลับเป็นการพัฒนาในทางที่ผิด *อย่างน้อยก็ในทางทฤษฎี* เพราะมีงานวิจัยเด่นๆ 2 ชิ้นที่พบว่าการทำงานแบบ Working Alone / Working in Solitude นั้นมีประสิทธิภาพมากกว่าการทำงานเป็นทีม
2
⭐️ งานวิจัยแรกมาจาก Anders Ericsson ที่วิจัยเกี่ยวกับนักไวโอลิน โดยศึกษาเกี่ยวกับผลงานและระยะเวลาของการฝึกซ้อม โดยแต่ละคนมีชั่วโมงการฝึกซ้อมที่เท่ากันแต่แตกต่างกันที่วิธีการฝึก
ผลการเก็บข้อมูลพบว่ากลุ่มของนักไวโอลินที่มีผลงานดีที่สุดนั้นมีจำนวนชั่วโมงในการฝึกซ้อมเดี่ยว (Practice in Solitude) สูงถึงสัปดาห์ละ 24.3 ชั่วโมง ส่วนกลุ่มที่ผลงานแย่มีการฝึกซ้อมเดี่ยวเพียงสัปดาห์ละ 9.3 ชม. เท่านั้น
แสดงให้เห็นว่าการทำงานคนเดียวมีประสิทธิภาพที่สูงกว่า
แต่หลายคนก็คงมองว่ามันคือการฝึกซ้อมดนตรีนะ ไม่ใช่การทำงานบริษัทแบบทั่วไป
⭐️ งานวิจัยต่อมาเป็น Coding War Game ของ Tom DeMarco และ Timothy Lister เป็นการนำเหล่าโปรแกรมเมอร์มาแข่งกันเขียนโค้ด และพบว่ากลุ่มคนที่เขียนดีที่สุดนั้นมี Performance สูงกว่ากลุ่มที่แย่ที่สุดถึง 1000% หรือเขียนได้เร็วกว่า 10 เท่า !!
เมื่อเข้าไปดูในรายละเอียดการทำงานจะพบว่ากลุ่มที่เก่งที่สุดนั้น 62% ทำงานในพื้นที่ส่วนตัว (Private Workspace) ในขณะที่กลุ่มที่แย่ที่สุดนั้นทำงานในพื้นที่ส่วนตัวเพียง 19% เท่านั้น
อีกปัจจัยที่ส่งผลต่อความเร็วของการทำงานคือการถูกรบกวนโดยคนหรือปัจจัยรอบข้าง กลุ่มที่ทำงานช้าที่สุดนั้นถูกรบกวนถึง 76% ในขณะที่กลุ่มที่เร็วที่สุดถูกรบกวนเพียง 38%
Private Office
นั่นยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่าการทำงานบางอย่างนั้นควรที่จะทำในพื้นที่ส่วนตัวมากกว่าจะเป็น Open-Floor Plan ที่นอกจากจะไม่เป็นส่วนตัวแล้วยังถูกรบกวนจากปัจจัยภายนอกได้ง่ายอีกด้วยนั่นเอง
‼️ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าการทำงานคนเดียวจะดีเสมอไปเช่นกัน อาจจะเหมาะสมกับงานบางประเภท เช่น การเขียนโค้ด, การสร้างโมเดล หรือการออกแบบ ส่วนงานบางประเภทก็จะเหมาะกับการทำงานเป็นทีมมากว่า เช่น การจัดแคมเปญการตลาด หรือ Event ส่งเสริมการขาย
1
ดังนั้นการใช้ Open Floor Plan อาจจะไม่ได้ดีที่สุดเสมอไป บางสายงานอาจจะต้องปรับเป็น Private Space ให้มากขึ้น หรือถ้ายังยืนยันจะใช้ Open-Floor เหมือนเดิมก็ควรจะทำให้เฟอร์นิเจอร์ต่างๆนั้นยืดหยุ่นแบะสามารถเคลื่อนย้ายได้ง่าย เพื่อให้เหมาะกับการปรับเปลี่ยนแผนผังให้เหมาะกับงานแต่ละงานนั่นเอง
1
และนั่นก็รวมไปถึงการทำงานเป็นทีม และการทำงานแบบฉายเดี่ยวด้วยเช่นกัน
[แถม] 3️⃣ ปัจจัยหลักที่ทำให้การทำงานเป็นทีมนั้นมีประสิทธิภาพที่แย่ลง ได้แก่
1. Social Loafing - การที่คนบางกลุ่มนั่งเฉยๆและปล่อยให้คนอื่นเสนอความคิดแทน
2. Production Blocking - เวลาคุยงาน จะได้พูดกันแค่ทีละคน ทำให้คนอื่นได้แต่นั่งเฉยๆ
3. Evaluation Apprehension - ความกลัวที่จะถูกตัดสินเมื่อเสนอความคิดออกไป
1
ทั้งสามอย่างนี้คือปัจจัยที่มักจะส่งผลให้การประชุม หรือการทำงานเป็นทีมไม่ค่อยประสบผลสำเร็จเท่าไหร่นัก
2
ทางผู้เขียนจึงแนะนำให้มีการ Brainstorm แบบออนไลน์โดยที่ไอเดียของทุกคนจะถูกนำเสนอในรูปแบบของ Anonymous หรือไม่เปิดเผยชื่อ เพื่อให้ทุกคนสามารถเสนอไอเดียได้พร้อมๆกันและไม่ต้องกลัวที่จะถูกตัดสิน
1
และเมื่อไอเดียที่ดีที่สุดถูกเลือกมาก็จะทำให้งานมีประสิทธิภาพที่มากขึ้นนั่นเอง
1
และทั้งหมดนี้ คือที่มาของสังคมปัจจุบันที่เอนเอียงไปทางของ Extrovert ซะมาก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า Introvert จะเป็นพลเมืองชั้นสองและถูกมองเป็นเพียงคนที่ไม่มีความสามารถ
แต่จริงๆแล้วต่างคนต่างมี Roles เป็นของตัวเอง เหมือนคำเปรียบเทียบที่ว่า
“ต่อให้ Bill Gates จะฝึก Social Skills มากขนาดไหน เค้าก็ไม่มีทางเป็นนักการเมืองที่เก่งแบบ Bill Clinton, และต่อให้ Bill Clinton นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ไปทุกวันเค้าก็ไม่มีทางเป็น Bill Gates ได้เช่นกัน”
4
คุณเพียงแค่หาจุดที่อยู่แล้วจะดึงความสามารถของตัวเองออกมาได้มากที่สุด โดยไม่ต้องฝืนจะเป็นอย่างอื่นที่ไม่เหมาะ แค่นั้นก็พอแล้วครับ
3
Part ต่อไปจะเป็นเรื่องของ ความเป็น Introvert ที่อยู่ในตัวคนเรานั้น เป็น DNA หรือมันสามารถเปลี่ยนได้ ?? มารอหาคำตอบไปพร้อมกันนะครับ ขอเวลาไปปั่นต่อซักครู่ 🤣🤣
*** จะพยายามมาลงทุกวันจันทร์นะครับ ใครชอบก็ติดดาวไว้เล้ยยยยย
แล้วก็แว่วๆมาว่าจะมีแปลไทยใหม่อีกรอบเร็วๆนี้นะครับ แต่ถามไปทางสำนักพิมพ์ OMG แล้วไม่เคยได้คำตอบเลย 🥲🥲
ใครสนใจแบบเต็มๆตอนนี้สามารถหาอ่านแบบภาษาอังกฤษได้นะครับ สรุปผมแค่ 10% ที่ชอบเท่านั้น ส่วนแปลไทยฉบับเก่าคงต้องหามือสองกันไปก่อนครับผม
1
ถ้าใครชอบเนื้อหาเน้นๆตามสไตล์เพจ “เล่า” ของผมก็สามารถกด Like เพจเพื่อติดตามเนื้อหาใหม่ๆของทางเพจได้นะครับ จะมีมาเล่าให้ในหลายๆเรื่องเลย ตามเพจเล่าไม่มีเบื่อแน่นอน เพราะแอดมินขี้โม้ หามาเล่าได้ทุกเรื่องครับ 😂😂
1
อยากให้เล่าเรื่องไหน รีเควสได้ ถ้าไม่นอกเหนือความสามารถก็จะไปหามาให้ครับ 😎😎
ติดตามเรื่อง “เล่า” ผ่านช่องทางต่างๆได้ดังนี้
Clubhouse : @withptns , เล่า’s Bookclub
Facebook “เล่า” : https://www.facebook.com/lao.unfold
Instagram “เล่า” @withptns : https://instagram.com/withptns
Twitter “เล่า” @withptns : https://twitter.com/withptns
ติดต่อโฆษณา ฝากลิ้งค์สั่งหนังสือ หรือ ติดต่อร่วมงานกับเพจ “เล่า” ได้ที่อีเมล์ ptns81@gmail.com ครับ
#เล่า #เล่าหนังสือ #เล่าความรู้ #unfold #ส่งเสริมการอ่าน #ส่งเสริมการเรียนรู้ #Quiet #SusanCain #PowerofIntrovert #Introvert
โฆษณา