5 เม.ย. 2021 เวลา 07:54 • ปรัชญา
ถ้าการเรียนไม่มีระบบการสอบ นักเรียนจะเก่งน้อยลงไหม
บางทีการสอบอาจจะไม่ได้สำคัญมากเท่าที่เราคิดก็ได้
เมื่อเพื่อนต่างชาติบอกผมว่าตอนเธอเรียนมัธยมไม่เคยมีการสอบ
สิ่งแรกที่ผมคิดเลยคือ ไม่จริงมั้ง!!! มันจะเป็นไปได้ยังไง
ประสบการณ์การเรียนที่ผมมีมาตลอดตั้งแต่ อนุบาล ประถม มัธยม จนถึงอุดมศึกษา
คอยตอกย้ำว่า ตลอดทั้งภาคการศึกษาช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดก็คือเวลาสอบนี่แหละ
ไม่ว่าระหว่างเรียนเราจะรู้เรื่องหรือไม่ หรือเข้าใจหรือเปล่าว่าสิ่งที่เรียนจะเอาไปใช้กับชีวิตจริงอย่างไร แต่ถ้าทำข้อสอบแล้วได้คะแนนดี เกรดออกมาดี ถือว่านักเรียนคนนั้นเก่ง
เมื่อค่านิยมถูกปลูกฝังแบบนี้มาตลอดทั้งสำหรับผู้ปกครองและตัวเด็ก ทำให้ชีวิตวัยเรียนของเด็กส่วนใหญ่ต้องวนเวียนอยู่กับการติว การเรียนพิเศษ การแข่งขันกันในเรื่องคะแนนและเกรด
ซึ่งท้ายที่สุดก็ส่งผลให้เด็กๆแทบไม่มีเวลาเล่นหรือทำกิจกรรมที่เหมาะสมกับวัย และต้องเติบโตมาภายใต้สภาวะแวดล้อมแบบนี้ทั้งๆที่บางทีตัวเด็กอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไปเพื่ออะไร
สมัยผมเป็นเด็กตอนที่เริ่มมีการติวและกวดวิชา คือช่วงตั้งแต่มัธยมต้นขึ้นไป แต่ในปัจจุบันเท่าที่สังเกตจากคนรอบตัว เด็กสมัยนี้เริ่มเข้าโรงเรียนกวดวิชากันตั้งแต่ระดับ อนุบาล!!!
ทำไมเราถึงต้องแข่งขันกันขนาดนั้น ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเวลาเราเห็นคนอื่นส่งลูกๆไปเรียนพิเศษ เราอาจจะเกิดความคิดว่า ถ้าเราไม่ทำแบบเดียวกัน เดี๋ยวลูกเราจะตามไม่ทัน
แต่ค่านิยมพวกนี้ก็ถูกสั่นคลอนเมื่อผมพบว่าเพื่อนร่วมคณะของผมหลายคนแทบไม่เคยเรียนวิชาแคลคูลัส แถมบางคนสมัยเรียนมัธยมกับปริญญาตรีไม่มีการสอบ
สิ่งที่น่าทึ่งก็คือ
ผลสอบวิชาคำนวณ (แคลคูลัส) มีสามคนที่ผ่าน คือ คนไทย จีน และอินเดีย ส่วนเพื่อนฝรั่งนั้นตกหมดทุกคนครับ (เพื่อนฝรั่งหลายๆคนเปลี่ยนสายงานมาจากด้านที่ไม่เกี่ยวข้องกับวิศวกรรม และไม่มีพื้นฐานการคำนวณขั้นสูงมาก่อน)
เห็นได้ชัดว่าการติวเข้มคณิตศาสตร์มาตลอดตั้งแต่สมัยมัธยมต้นทำให้ชาวเอเชียอย่างเราเอาชนะชาวยุโรปไปได้สบายๆครับ
แต่สิ่งที่น่าทึ่งกว่าคือ
หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน โดยมีหัวหน้าภาควิชามาให้คำแนะนำ เพื่อนๆชาวยุโรปของผมจากที่บางคนไม่เคยเรียนแคลคูลัส สามารถเข้าใจคอนเซปต์ ทำข้อสอบคำนวณผ่าน และยังสามารถนำหลักการแคลคูลัสไปใช้ในเรื่องอื่นๆนอกเหนือจากเพียงการทำข้อสอบได้ด้วย!!!!!!
ทั้งๆที่ผมเรียนแคลคูลัสมานานกว่ามากแต่ก็แค่สามารถทำโจทย์คำนวณได้
แต่อาจารย์สามารถใช้เวลา 1 เดือนให้คำแนะนำง่ายๆให้เราสามารถเข้าใจได้ และอธิบายได้ว่าวิชานี้จะนำไปประยุกต์ใช้จริงอย่างไร และสำคัญต่อกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในทุกแขนงแค่ไหน
นอกจากนี้สิ่งที่สังเกตได้คือ เพื่อนต่างชาติทุกคนสนใจและตัดสินใจที่จะเข้ามาเรียนสาขานี้เอง และจะไม่เรียนแบบแข่งขันกัน สิ่งที่เขาต้องการคือ ความเข้าใจ และรู้ว่าวิชาที่เรียนเขาจะสามารถนำไปใช้ได้อย่างไรตอนที่ทำงานจริงๆ
จากวันนั้นถึงวันนี้เพื่อนๆหลายคนก็สามารถทำงานอยู่ในสายงานวิศวกรรมได้สบาย แม้บางคนจะเปลี่ยนสายงานมาจากด้านอื่นๆ
ข้อคิดที่ผมได้รับจากเหตุการณ์นี้คือ
- จะเก่งแคลคูลัสไม่ต้องไปนั่งทำข้อสอบเป็นพันๆข้อ สิ่งสำคัญคือเราต้องเข้าใจหลักการ และนำไปใช้ในงานจริงๆได้ เพื่อนๆผมพิสูจน์มาแล้ว
- การเรียนกวดวิชาเป็นเรื่องที่แปลกสำหรับเพื่อนฝรั่งของผม (มีคนที่รับจ้างติวแต่มักเป็นวิชาเฉพาะและค่าใช้จ่ายจะสูงมาก)
- การสอบได้คะแนนดีๆไม่ใช่ทุกอย่าง การนำไปใช้ได้จริงต่างหากที่สำคัญ
- วัยรุ่นต่างชาติชอบใช้เวลาออกไปสำรวจโลก แบคแพคหาประสบการณ์ มากกว่าที่จะไปติวกวดวิชา
ผมและเพื่อนๆตอนไปออก field work ครับ
สุดท้ายจึงย้อนกลับมาว่าแล้วเราเสียเวลามากมายเข้าเรียนกวดวิชาไปเพื่ออะไร เพื่อเป็นที่ 1 หรือเพื่อเกรดที่ดีกว่าใครๆ หรือจริงๆแล้วเราควรเลือกเรียนในสิ่งที่เราสนใจจริงๆ และใช้เวลาที่มีค่าออกไปหาประสบการณ์ชีวิตและดูโลกกว้างแทนครับ
คราวหน้าผมจะมาเล่าถึงเพื่อนๆชาวเกาหลีที่ต้องเรียน 6 วันต่อสัปดาห์ 0800-2100 บ้าง ว่าการเรียนมากเกินไป เคร่งเครียดเกินไปอาจส่งผลอะไรกับเราได้บ้าง
โฆษณา