10 เม.ย. 2021 เวลา 11:00 • การตลาด
ส่องกลยุทธ์แบบ Co-branding strategy
ทำไมแบรนด์ดังถึงชอบคอลแลป (Collab) กัน 💛
หากพูดถึงกลยุทธ์แบบ Co-branding หลายคนอาจจะสงสัยว่าคืออะไร แต่ถ้าถามว่า เคยเห็นมั้ยคะ เวลาที่แบรนด์ดังๆ ไป collab กับแบรนด์อื่นๆ เพื่อสร้างสินค้า/บริการ หรือแคมเปญใหม่ที่พิเศษและยังคงบ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของทั้งสองแบรนด์นั้นออกมาในท้องตลาด หลายคนอาจจะ อ๋อ กันมากขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น..
Supreme X Louis Vuitton เมื่อแบรนด์แฟชั่นสายสปอร์ตมาจับมือกับสายหรู คอลเล็กชั่นสุดพิเศษที่เน้นสีแดงซึ่งเป็นสัญลักษณืของ Supreme และลวดลายสุดคลาสสิกอย่าง Louis Vuitton ไว้อย่างลงตัว ซึ่งการรวมตัวของ 2 แบรนด์ดังก็ช่วยดึงให้ผลกำไรของ Louis Vuitton เพิ่มขึ้นถึง 23%
Uber & Spotify ก่อนหน้านี้ Uber ได้ร่วมมือกับผู้ให้บริการสตรีมเพลงอย่าง Spotify สร้างประสบการณ์สุนทรียภาพในระหว่างการเดินทางไปจุดหมายบน Uber ด้วยการฟังเพลงได้บน Spotify นับว่าเป็นหนึ่งในความร่วมมือของ 2 แบรนด์ที่มอบประสบการณ์อันน่าตื่นเต้นให้ลูกค้า
และกลับมาที่บ้านเรา
Pizza Hut x Bar B Q Plaza ตัวจริงเรื่องปิ้งย่างและตัวท็อปเรื่องพิซซ่าเคยมาจับมือกันออกเมนูใหม่ที่ผสมผสานความโดนเด่นของทั้งสองแบรนด์จนออกมาเป็นเมนูสุดครีเอทีฟ เช่น พิซซ่าที่ลักษณะเหมือนเตาย่างของ Bar B Q Plaza ที่มีท้อปปิ้งเป็นเนื้อหมูสไสด์ให้เหล่าๆแฟนท้้งสาวกบาบีก้อนและพิซซ่าฮัทได้ฟินกันสุดๆ
และล่าสุด
Select Tuna x After Yum แบรนด์ทูน่าที่เชื่อว่าหลายคนคุ้นเคยกันดี เขย่าวงการทูน่ากระป๋องสั่นสะเทือนเลยทีเดียวเมื่อ Select Tuna ร่วมมือกับร้านยำที่ดังสุดๆในยุคนี้ After Yum ออกเมนูใหม่เป็น Select Tuna สูตรร้าน After Yum ที่คนรักยำต่างบอกกันว่า เด็ดมากๆ ตอนนี้แม้ไม่ได้ไปกินที่ After Yum ก็สามารถกินได้ที่บ้าน เป็นการ collab กันที่ทั้งแซ่บ และน่าสนใจ
ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างของสิ่งที่เราเรียกว่ากลยุทธ์แบบ Co-branding หรือการที่แบรนด์ 2 แบรนด์ไม่ว่าจะเป็นจากสายอุตสาหกรรมเดียวกัน หรือต่างอุตสากรรมที่อาจจะมีสินค้า/บริการแตกต่างกันสิ้นเชิง มาจับมือร่วมกันและออกเป็นสินค้า/บริการพิเศษที่แปลกใหม่ออกมาสู่ตลาด
ที่สำคัญยังคงอัตลักษณ์ของทั้ง 2 แบรนด์ไว้ ซึ่งสินค้า/บริการที่เกิดจากการจับมือกันจะสามารถเข้าถึงฐานแฟนๆ ที่เป็นลูกค้าของทั้ง 2 แบรนด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ช่วยสร้างการรับรู้ของแบรนด์ สร้างภาพลักษณ์ที่ดีขึ้นให้กับแบรนด์ และก็เป็นโอกาสในการสร้างปรากฏการณ์การขายที่มากขึ้นได้
สิ่งที่น่าสนใจคือ มันเป็นกลยุทธ์ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ก็ยังคงเป็นสิ่งที่แบรนด์ต่างๆนำมาใช้ในการสร้างยอดขาย และสร้างปรากฏการณ์สินค้า/บริการใหม่ๆ ออกสู่ท้องตลาดเสมอ
1
===============================
ข้อดีของ Collaborative Marketing ⛳
- ไม่เพียงแต่แบรนด์จะออกสินค้า/บริการใหม่ๆ มาให้ฐานลูกค้าที่เป็นแฟนคลับ แต่เป็นโอกาสในการสร้างธุรกิจใหม่ๆ และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ด้วย
- แบรนด์สามารถสร้างการรับรู้ได้ดียิ่งขึ้น เป็นที่รู้จักได้ดียิ่งขึ้น
- ช่วยส่งเสริมความน่าเชื่อถือและสร้างการยอมรับที่ดียิ่งขึ้นเมื่อร่วมมือกับแบรนด์ที่มีมาตรฐานที่ดี
- โอกาสในการเพิ่มยอดขาย
==================================
จะเริ่มทำ Co-branding ได้อย่างไร? 💎
แม้ว่ากลยุทธ์แบบ Co-branding จะเป็นสิ่งที่ช่วยหลายๆแบรนด์ให้ประสบความสำเร็จมาแล้ว และเกิดปรากฎการณ์สินค้า/บริการใหม่สุดเจ๋งออกมาสู่ท้องตลาด แต่กลยุทธ์แบบนี้ก็ยังมีสิ่งที่ต้องพึงระวังก่อนจะเริ่ม เพราะการร่วมมือระหว่างสองแบรนด์นั้น ย่อมมีเรื่องของค่านิยมมี่แตกต่างกัน มีข้อจำกัด แนวคิดที่อาจไม่เหมือนกัน และเมื่อต้องมาใช้ทรัพยากรร่วมกัน สร้างสินค้าใหม่ร่วมกันนั้น จึงจะเป็นต้องมีการศึกษาและวางทิศทางการทำงานและเป้าหมายร่วมกันให้ชัดเจนเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายตามมา
สำหรับธุรกิจระดับ SME ขนาดเล็กที่อยากมองหาแบรนด์ ทำ Co-branding นั้น อาจต้องศึกษาให้รอบคอบ เราต้องการขยายฐานไปยังลูกค้ากลุ่มไหน แบรนด์ที่เราอยากจับมือด้วยตอบโจทย์สิ่งที่เราต้องการหรือไม่ เค้ามีสิ่งความถนัดในด้านเรายังขาดอยู่หรือไม่และจะมาเติมเต็มส่วนไหนให้เราได้บ้าง
รวมถึงแบรนด์นั้นชื่อเสียงเป็นอย่างไร และเราจะสามารถแชร์เป้าหมายไปในทิศทางเดียวกันได้หรือไม่ สำหรับกลยุทธฺนี้ หากมีการวางแผนที่รอบคอบชัดเจนและมีแบรนด์พาร์ทเนอร์ที่ช่วยสนับสนุนให้การจับมือกันเป็นไปอย่้่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะแบรนด์ขนาดใหญ่ หรือระดับ SME ขนาดเล็กก็สามารถนำกลยุทธ์นี้ไปปรับใช้ให้ประสบความสำเร็จได้ค่ะ
โฆษณา