9 เม.ย. 2021 เวลา 04:34 • ปรัชญา
เพราะเขียน จึงรอดตาย - ยินดีต้อนรับเข้าสู่ Blockdit
บทความนี้มีการพยายามตัดสินสิ่งต่างๆ
ตามความเชื่อส่วนบุคคลของผู้เขียน
เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนบุคคลเท่านั้น
โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน .
ขอขอบคุณเซ็ตภาพจาก  Twitter : @akinecoco987 https://twitter.com/akinecoco987/status/1380100291559747584
ถ้าได้เล่าเรื่องสำคัญอะไรบางอย่างให้ใครสักคนที่ไว้ใจได้ฟัง ก็คงจะดีไม่น้อย แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่อยากมัวแต่มานั่งฟังเรื่องของคนอื่น ไม่เว้นแม้แต่ตัวผมเอง ที่ก็ไม่ได้อยากมานั่งฟังเรื่องของคนอื่นมากขนาดนั้น ยกเว้นถ้าเป็นการขอความช่วยเหลือ หรือการฟังที่ทำให้รู้สึกว่าได้ช่วยเหลือใครสักคน เพราะเวลาที่เราได้เล่าอะไรบางอย่างให้ใครสักคนฟัง มันก็เป็นความรู้สึกผ่อนคลายและเบาใจลงมาก
ด้วยความรู้สึกนั้นเองที่ทำให้เราอยากจะรับฟัง (ผู้อื่น) บ้าง คงเพราะก็เคยเจอผู้ฟังที่ดีมาก่อน ก็เลยอยากจะเป็นผู้ฟังที่ดีบ้าง เพราะรู้สึกว่าการที่มีใครสักคนรับฟังเรื่องราวของเราเนี่ยมันดีจริงๆ
เพราะเคยได้รับ จึงรู้จักให้
ขอบคุณผู้รับฟังทุกท่าน
เพราะท่านเองผู้อื่นจึงมีศรัทธา
ไปช่วยเหลือผู้อื่นต่อๆไป
1
จบ .
แล้วกับคนที่ไม่เคยคิดจะบอกเรื่องราวของตัวเองกับคนอื่นล่ะ ?
พวกเค้าอยู่ที่ไหนของมุมโลก ?
ถ้าไม่มีใครรับฟังเลยล่ะ การบอกเล่ามันจำเป็นด้วยหรอ ?
- เพราะเขียน จึงรอดตาย -
1. การระบายอารมณ์เป็นเรื่องของพื้นฐานจิตวิทยา
ขอโทษด้วยที่ต้องพูดแบบนี้แต่
ก่อนอื่นอยากพูดถึงความไม่ประเสริฐของมนุษย์แบบง่ายๆก่อน
มีหนังสือหลายเล่มที่จะบอกคุณว่าจริงๆ คุณจำเรื่องราวอดีตของตัวเองได้แย่มากๆและมีแนวโน้มที่จะจำอดีตเหล่านั้นผิด เพราะคุณจะเลือกจำเฉพาะรู้สึกที่คุณพึงพอใจในช่วงเวลานั้น หรือไม่ก็ประเด็นที่ว่า การชี้ตัวคนร้ายมักชี้ผิดตัว 90% เพราะจริงๆแล้วคนเราไม่ได้แม่นยำกับความทรงจำขนาดนั้นและมีแนวโน้มจะตัดสินเรื่องต่างๆตามความเชื่อมากกว่าความจริงทางวิทยาศาสตร์และตัวเลขทางเศรษฐศาสตร์
(ถ้าอยากศึกษาเรื่องนี้เพิ่มเติมแนะนำหนังสือ Think like a freak (หนังสือที่จะบอกว่าวิธีคิดแบบพวกแปลกๆคือคิดตามหลักเศรษศาสตร์) หรือหนังสือเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมเล่มอื่นๆครับ)
มนุษย์มันมีความผิดเพี้ยนของความทรงจำ, จิตวิทยาการสืบพันธ์, การระบายอารมณ์
ผมแค่จะสื่อว่า การระบายอารมณ์มันไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจครับ มันเป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้เรายังคงเป็นคน การไม่ระบายอารมณ์ออกมา เปรียบเทียบก็เหมือนการหลีกเลี่ยงจิตวิทยาสืบพันธุ์ที่คุณก็อาจไม่รู้ตัวอยู่ว่าทุกวันนี้ ภาพลักษณ์ของฉันก็เพื่อดึงดูดเพศตรงข้าม คนที่ชอบ ไม่ก็เป็นจิตวิทยาสังคมอะไรสักอย่าง ที่ทำไปโดยไม่รู้ตัว
เราหนีการใช้อารมณ์ไม่พ้น ถึงหนีพ้นมันก็จะทำให้บุคลิกของเรากลายเป็นอะไรบางอย่าง เราอาจจะมีคุณสมบัติบางอย่างที่คนอื่นไม่มี
คุณอาจจะเป็นคนที่อดทนกับสิ่งต่างๆมากขึ้น แต่มองสิ่งต่างๆด้วยความรู้สึกน้อยลง
คุณอาจจะเย็นชาเพราะมันปกป้องคุณได้ แต่มันก็ทำให้ความสดใสของคุณหายไปด้วย
ถ้าสมมุติเราตัดสินกันว่า เราหนีการระบายอารมณ์ไม่พ้น ล่ะ คราวนี้เราจะทำยังไงกันดี ถ้าต้องมานั่งหาวิธีแก้ปัญหากันจริงๆ เพื่อเติบโตด้านอารมณ์อย่างมีประสิทธิภาพล่ะ
จริงๆการแก้ปัญหาที่ดีมากๆ (ระดับ 5 ดาว) เลยถ้าไม่นับการต้องระบายใส่ใครสักคน ซึ่งบ้างครั้งเราก็ทำเหมือนคนอื่นเป็นถังขยะ คือ
2. การระบายอารมณ์ด้วยการเขียน แต่ ! เขียนอะไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องระบายอารมณ์
ใช่แล้วครับ ไม่จำเป็นต้องเขียนระบายอารมณ์ พอใช้คำว่าระบายอารมณ์แล้วมันก็ดูเป็นภาระของสังคม ของคนอื่นยังไงไม่รู้ เพราะจริงๆการเขียนมันคือการระบายอารมณ์อยู่แล้วครับ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตามที่เขียนออกมา
2.1 การเขียนสร้างความรู้สึกพึงพอใจ จากการได้ทำให้ผู้อื่นมีความสุข (ฉันได้สร้างประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น)
ในกรณีที่การเขียนนั้นมีการให้ความรู้ มีการส่งต่อความรู้ หรือเรื่องที่เราอยากเล่า การได้เล่าเรื่องบางอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเอง แล้วมันสนุกๆ พอเขียนออกมาให้ผู้คนได้ฟัง มีคนขำกับสิ่งเหล่านี้ เราก็จะรู้สึกดีกับตัวเองไปโดยไม่รู้ตัว (จริงๆเรื่องนี้ต้องพูดกันยาว แต่เอาเป็นว่าจริงๆแล้วการช่วยคนอื่น ก็คือการช่วยเหลือจิตใจของตัวเราเองนี่แหละ เหมือนที่คนบอกว่า คนที่ด่าออกมา ก็เหมือนด่าตัวเอง มันคือความคิดที่มีต่อตัวเองแต่สะท้อนออกมา แนวคิดคล้ายๆกัน)
2.2 ไม่ว่าคุณจะเขียนอะไรออกมา คุณก็จะรู้สึกดีขึ้นอยู่ดี เพราะมันหมายความว่า คุณมีตัวตน คุณดำรงอยู่ (ฉันมีความสำคัญ)
ถึงแม้จะมีบางครั้งที่คุณอาจจะประหม่าในความคิดเห็นของตัวเอง แต่ถ้าโพสต์ออกไปแล้ว ก็หมายความว่า ฉันมีความคิดเห็นของตัวเองนะ และฉันเชื่อแบบนี้ คนอื่นๆคิดยังไงกันบ้างล่ะ
2.3 การระบายอารมณ์ สิ่งแย่ๆทั้งหลายที่ออกมา จากงานเขียน (ฉันต้องการความเห็นอกเห็นใจ)
คุณเคยได้ยินคำนี้ไหมครับที่คนชอบบอกว่า
ปัญหาของเรา ถ้าเทียบกับคนอื่น มันก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย
สำหรับผมแล้ว เรื่องนี้มีความจริงทางเศรษฐศาสตร์
แต่อาจจะไม่จริงทางด้านจิตวิทยา
ผมขอแนะนำกลุ่มๆนึงใน Facebook ครับ มันคือกลุ่มที่เชื่อว่า
"กลุ่มที่ไม่ว่าพิมพ์อะไรเราก็ให้กำลังใจในทุกเรื่องแบบงงๆอิหยังวะ"
กลุ่มนี้มีสมาชิกอยู่ประมาณ 3 แสนคน ผมไม่ได้แนะนำให้คุณลองเข้าไปให้กำลังใจนะครับ แต่ผมอยากให้ลองเข้าไปเช็คดูว่า มีปัญหาไหนบ้างที่คุณเจอแล้วหนักกว่า ที่คนมาโพสต์ (ซึ่งต้องขอโทษด้วยถ้าปัญหาของคุณผู้อ่านบางคนอาจจะหนักจริงๆ) แต่เชื่อเถอะ ส่วนมากปัญหาของคนที่มาเล่าในนั้นหนักกว่าคุณทั้งนั้น
เสียคนรัก, รักซ้อน, ตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์, ตกงาน, การเงินติดลบไม่มีจะกิน, จิตใจตายด้าน
แต่ถึงแม้จะมีปัญหาอะไรหนักๆมากมาย สุดท้ายผมก็ไม่ได้อินกับคำว่า "ปัญหาของเรา ถ้าเทียบกับคนอื่น มันก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย" อยู่ดีเพราะสุดท้ายผมก็มาคิดได้ว่า ในความคิดของเรา เราก็มักจะคิดว่า
ถ้าสิ่งนั้นมันทำให้เราเครียดได้
"ปัญหาของเรามักจะใหญ่และสำคัญที่สุดในโลกอยู่ดี"
ปัญหาของเรามักจะดราม่า โรแมนซ์กว่าของคนอื่นๆ คุณก็กำลังคิดแบบนี้ใช่มั้ย
ใช่ครับ ใครๆก็กำลังคิดแบบนั้นแหละครับ (เหมือนทฤษฏีทางจิตวิทยาที่บอกว่า คุณคิดว่าคนอื่นเค้าสนใจคุณหรอ เปล่าเลย คนอื่นเค้าก็สนใจตัวเองแบบที่คุณสนใจตัวเองนั่นแหละ ในกรณีที่คนอื่นดูสนใจคุณมากกว่าตัวเองก็เพราะ เค้าอาจจะกำลังคาดหวังหรือกำลังต้องการอะไรบางอย่างจากตัวคุณ ไม่ก็ต้องการความช่วยเหลือ) และก็อยากให้คิดแบบนั้นต่อไปแหละครับ เพราะผมไม่อยากให้พวกเรามองข้ามปัญหาของตัวเองเพียงเพราะมันเล็กกว่าของคนอื่น ปัญหาของเรานี่แหละยิ่งใหญ่สำหรับเรา
การระบายอารมณ์ สิ่งแย่ๆทั้งหลายที่ออกมา จากงานเขียน เพราะฉันต้องการความเห็นอกเห็นใจ เพราะใครๆก็ต้องการความเห็นอกเห็นใจทั้งนั้น
และข่าวดีของการเขียนในยุคปี 2000 ก็คือ...
3. ความหวังอันยิ่งใหญ่ !? เพราะการพิมพ์ออกมา ใช้ผู้รับสารแบบคลุมเครือได้ !
ในแง่ของกริยาผมแทบไม่เคยเขียน (ยกเว้นไดอารี่หรือวาดรูป) เลยครับ
แต่ผม "พิมพ์" ครับ ตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้วผมก็พิมพ์ออกมาแล้วครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรต่างๆ
ไม่มีใครรับฟังคุณหรอ ? ไม่ใช่ปัญหา
คุณพอจะมีเพื่อนใน Facebook สักหลัก 100-300 คนไหมล่ะ (ถ้ามากกว่านั้นก็กำไร)
โลกนี้จะมีกลุ่มคนที่เหมือนถูกทอดทิ้ง โพสต์ Facebook ก็มีข้อความ Toxic, ข้อความเชิงลบเต็มไปหมด แต่รู้อะไรไหมครับ คนกลุ่มนี้จะรอดชีวิต
เราโชคดีมากที่ในยุคนี้ผู้คนสามารถออกมาพิมพ์หรือพูดได้
เราสามารถกระจายข้อความหรือถึงขั้นสร้างลัทธิทางความคิดได้ทันที
เรามี Passive ติดตัวให้เลยทันทีที่มีเพื่อนในสื่อ Social Media
นั่นคือไม่ว่าคุณจะพิมพ์อะไรออกมา
"จะมีคนเห็นข้อความของคุณอยู่เสมอ ไม่ต้องห่วงครับ"
จะเห็นด้วยความรู้สึกแบบไหนนั้น อันนี้ก็แล้วแต่เป็นคนๆกันไป แต่จะมีคนเห็นว่าคุณเจ็บปวด คุณต้องการความเห็นอกเห็นใจ นี่คือจุดแข็งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการเขียนกับ Social Media มาเจอกันพอดี
ผมอยากให้คุณลองเขียนระบายอารมณ์เกี่ยวกับปัญหาชีวิตแล้ว โพสต์ลง Social แบบตั้งค่าความเป็นส่วนตัวเห็นแค่ "เฉพาะฉัน" ดูครับ แล้วคราวนี้ลองแก้ความเป็นส่วนตัวเป็น "สาธารณะ" สิครับ
ผมเคยลองแล้ว บอกเลยว่ามันต่างกันมากๆ
เรื่องนี้จะสื่อถึงอะไร ? มันกำลังจะบอกคุณว่า "คุณต้องการผู้รับสารครับ"
และนี่คือชื่อหัวข้อที่ 3 มันคือการมาของคำว่า "ผู้รับสารแบบคลุมเครือ"
ใครสักคนก็ได้ใน 2-3 ร้อยคนที่ได้เห็นข้อความของคุณ
นั่น = ความรู้สึกของคุณได้รับการระบายและส่งออกไปแล้วครับ .
ใช่ครับ คุณจะบอกว่า เพื่อน 2-3 ร้อยคน เห็นไม่ถึงสิบคนเองมั้ง
นั่นแหละครับข้อได้เปรียบของการมีผู้รับสารแบบคลุมเครือ
เพราะคุณไม่มีทางรู้ว่าใครจะเห็นความรู้สึกของคุณบ้าง
มันจึงมีโอกาสที่คุณจะคิดว่าคนอื่นเห็น การคิดไปเองแบบนี้มีข้อดีตรงที่
มันดันให้ผลบวก แทนที่จะรู้ว่าใครเห็นบ้างออกมาเป็นตัวเลข การไม่รู้เลยอาจจะดีกว่า เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมาที่ผมเจอผู้คนออกมาระบายสิ่งต่างๆ
"ผมเห็นทั้งนั้นครับ" และเชื่อว่าจะมีผู้คนที่เห็นข้อความเหล่านั้นอีกมากมายในสื่อ Social Media นั้นๆที่คุณไปเล่น
ผมเห็นทั้งนั้นครับ ข้อความน้อยอกน้อยใจชีวิตของผู้คนใน Twitter
ผมเห็นทั้งนั้นครับ ข้อความไม่พอใจกับชีวิต โพสต์เหล่านั้นดูเหมือนไม่มีคนเห็น ไม่มีคนกดไลค์และผมก็ไม่เคยคิดที่จะกด แต่สุดท้ายผมก็เห็นอยู่ดี
นั่นแปลว่าสิ่งที่คุณพิมพ์ออกมา จะมีผู้รับสารแบบคลุมเครือคอยมองดูคุณอยู่เสมอ
ผู้คนที่มาถึงจุดนี้ อาจแปลว่าไม่มีคนที่ไว้ใจรับฟังเรื่องต่างๆในชีวิตได้
แต่ก็ต้องบอกว่า มีผู้คนอีกมากมายที่ไม่ได้ออกมาพูดเพราะเค้าสามารถใช้ประโยชน์ด้านอื่นๆจากการเขียนได้ ตามข้อ 2.1 2.2 ที่ผมได้กล่าวมา แบบนั้นก็เป็นการเขียนที่ช่วยเหลือพวกเขาไว้เหมือนกัน
มีหนังสือหลายเล่มที่บอกว่า การเก็บปัญหาไว้คนเดียวจะทำให้คุณมีโอกาสเป็นโรคซึมเศร้า โอกาสการฆ่าตัวตายสูงกว่า การบอกเล่าความรู้สึกของตัวเองให้ ผู้รับสารรับรู้ได้รู้จะทำให้คุณมีชีวิตรอดครับ .
+จากหนังสือ Quiet Impact
- การเขียนเป็นหนึ่งในคุณสมบัติของ Introvert
(ซึ่งผู้เขียนไม่จำเป็นต้องเป็น Introvert)
-เมื่อชอบเขียนมากกว่าพูดก็มีแนวโน้มที่จะเป็น Introvert หรือช่วยรักษาสมดุลได้
+อื่นๆ
-การเขียนไดอารี่ถูกใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคซึมเศร้าได้ด้วยเพราะทำให้มีสติมากขึ้น รู้ตัวว่าตัวเองคิดอะไรอยู่บ้าง (เป็นการมอง/สังเกตุตัวเองจากภายนอก เพื่อมองดูข้างใน)
สวัสดีครับผมสตังค์ ยินดีต้อนรับเข้าสู่ Blockdit
แหล่งที่เค้าว่ากันว่าเป็น Platform สำหรับเขียนที่มีจุดแข็งคือเรื่องมีสาระ ?
ซึ่งก็บอกตรงๆว่าจุดแข็งของ Blockdit ทำเอาผมไม่ค่อยอยากเริ่มเขียนสักเท่าไหร่ เพราะกลัวตัวเองจะมาไร้สาระเกินไป (ฮา)
ผมไม่ได้มีชีวิตอยู่ด้วยการเขียน แต่การเขียนก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมดำรงอยู่
ผมมีประสบการณ์ที่เคยถูกการเขียนช่วยชีวิตเอาไว้โดยไม่รู้ตัว
อย่างที่บอก ปัญหาของผม ก็พิเศษที่สุดสำหรับตัวผม
ในช่วงชีวิตวัยรุ่นก็มีช่วงที่ต้องคิดเรื่องต่างๆมากมาย
แต่ก็ไม่รู้จะไปพึ่งพาอะไร มีแค่การเขียนออกมาเท่านั้น
แล้วก็โยนไปให้ผู้รับสารแบบคลุมเครือ มันก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัว
ผมเคยเขียนบทความจำนวนมากใน Exteen (ปัจจุบันเว็บปิดไปแล้ว)
ผมตัดสินโลกไปในแบบต่างๆตามที่ตัวเองเชื่อ (ถึงแม้เดี๋ยวอีก 7-8 ปีให้หลังคุณก็จะมารู้สึกตลกกับตัวเองและคุณก็จะพบว่าคุณไม่เคยเชื่ออะไรแบบนั้นอีกเลย) แต่มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องตัดสินสิ่งต่างๆออกมา ไม่งั้นผมก็คงไม่ได้ข้อสรุป หรือข้อมูลอะไรออกมานำเสนอเลย
ผมยังเขียนอยู่เรื่อยๆ แต่ผมในวันนี้ก็จะมาเขียนเพื่อนำเสนอแนวคิดของตัวเองในวันนี้ ในช่วงอายุนี้ ที่ผมหวังว่าตัวผมในอีก 7-8 ปีข้างหน้า จะมองกลับมาแล้วยิ้มให้ตัวเองเล็กน้อย
ผมอยากให้ตัวเองในอนาคตมองว่า ตัวผมในตอนนี้ตัดสินสิ่งต่างๆผิดไป เพราะนั่นหมายความว่า ผมในอนาคตได้เติบโตขึ้นจริงๆ
ผมพยายามจะไม่ยึดติดกับสิ่งที่ตัดสินออกไป เพราะเรายังต้องมีพื้นที่ให้ตัวเราในอนาคตได้คิด ไตร่ตรองเรื่องต่างๆอีกมาก และการเปลี่ยนแปลงก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้เราอยู่รอด ไม่งั้นเราก็คงไม่เรียนรู้สิ่งต่างๆเพิ่มมากขึ้นไป
และสุดท้ายก็ต้องขอแสดงความยินดีด้วยครับ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปแค่ไหน โลกใบนี้มีพื้นที่ให้คุณเขียนอยู่เสมอ แค่ Platform มันต่างกันออกไปตามแต่ละช่วงเวลา
คุณอยากจะเขียนอะไรล่ะ ?
-นิยาย : Dek-D / Kawebook / Fictionlog /Joylada ฯลฯ
-เรื่องเพ้อฝันที่ไม่มีคนอยากฟัง : Storylog
(คุณคิดว่าคุณจินตนาการล้ำเลิศแล้วหรอ เชื่อเถอะคุณพร่ำเพ้อสู้คนในนี้ไม่ได้หรอก)
-สาระต่างๆ บล็อคทั่วไป : ฺBlockdit / Medium (ส่วนตัวชอบมากๆ) / Blogspot / ฯลฯ
-Social Media ที่จะมีเพื่อนและผู้ฟังแบบคลุมเครือรอคุณอยู่เสมอ : Facebook / Twitter / Line Timeline / Instragram ฯลฯ
และเว็บต่างๆอีกมากมายที่มีให้คุณเลือกที่จะเขียน .
โฆษณา