เรื่องเล่าของหนูนิ ลำดับที่ ๒๕ ตอน สุดสายรุ้ง
.
จากวิกิพีเดีย
.
รุ้งกินน้ำ(rainbow) คือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เรามักจะพบเห็นได้หลังช่วงเวลาฝนตก เนื่องจากเป็นปรากฏการณ์ ที่เกิดจากการหักเหของแสงอาทิตย์เข้าสู่แนวสายตาผ่านละอองน้ำในอากาศ ทำให้เกิดแถบสเปกตรัม ปรากฏเป็นเส้นโค้งสีรุ้งขึ้นบนท้องฟ้า โดยจะมีแถบสีจากล่างขึ้นบนเรียงตามลำดับ คือ
.
>>>Violet(ม่วง)
>>>Indigo(คราม)
>>>Blue(น้ำเงิน)
>>>Green(เขียว)
>>>Yellow(เหลือง)
>>>Orange (แสดหรือส้ม)
>>>Red (แดง)
.
นอกจากนี้ในบางครั้งเรายังสามารถเห็นรุ้งกินน้ำได้สองแถบพร้อมกัน คือ รุ้งกินน้ำปฐมภูมิ และรุ้งกินน้ำทุติยภูมิ ซึ่งรุ้งกินน้ำตัวแรกที่อยู่ด้านล่าง หรือรุ้งกินน้ำปฐมภูมิ คือ รุ้งที่มีแถบสีแดงอยู่บนสุด แถบสีม่วงอยู่ล่างสุด
.
รุ้งกินน้ำตัวที่สองจะอยู่ด้านบน หรือรุ้งกินน้ำทุติยภูมิ จะเรียงลำดับสีกลับกัน คือจากสีแดงไปยังสีม่วงจากข้างล่างขึ้นข้างบน โดยรุ้งกินน้ำทุติยภูมิเกิดจากการหักเหแสงภายในหยดน้ำสองครั้ง
.
เคยมีคำกล่าวว่า "เมื่อเห็นรุ้งกินน้ำ ๒ ตัว ให้รีบอธิษฐานขอพร เช่นเดียวกับการเห็นดาวตก ก็ให้รีบขอพรเช่นกัน"
.
ข้าพเจ้าเคยขอพรแล้วจากทั้ง ๒ สิ่งนี้ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ข้าพเจ้าขอให้ได้เรียนแพทย์ดังความฝัน เอ หรือข้าพเจ้าขอมากไป นะ
.
หรือเป็นความโชคดีของคนไข้ เพราะความเฟอะฟะที่เป็นนิสัยของข้าพเจ้า อาจทำให้หมอนิลืมเครื่องมือแพทย์ในท้องคนไข้ตอนผ่าตัดก็ได้ อิ ๆๆๆ
.
เราสามารถมองเห็นรุ้งกินน้ำได้ เมื่อมีละอองน้ำในอากาศ และมีแสงอาทิตย์ส่องมาจากด้านหลังของผู้สังเกตการณ์ในมุมที่สูงจากพื้นไม่มากนัก โดยส่วนใหญ่รุ้งกินน้ำจะปรากฏให้เห็นชัดเจนเมื่อท้องฟ้าส่วนมากค่อนข้างมืดครึ้มด้วยเมฆฝน
.
ปรากฏการณ์รุ้งกินน้ำยังอาจพบเห็นได้ในบริเวณใกล้กับน้ำตกและน้ำพุ หรืออาจสร้างขึ้นเองได้โดยการพ่นละอองน้ำไปในอากาศกลางแสงแดด รุ้งกินน้ำยังอาจเกิดจากแสงอื่นนอกจากแสงอาทิตย์ ในคืนที่แสงจันทร์มีความสว่างมาก ๆ อาจทำให้เกิดรุ้งกินน้ำก็ได้ เรียกว่า "รุ้งจันทรา"(พระจันทร์ทรงกลด) แต่ภาพรุ้งที่เกิดขึ้นจะค่อนข้างจางมองเห็นได้ไม่ชัด และมักมองเห็นเป็นสีขาวมากกว่าจะเห็นเป็นเจ็ดสี
.
ในวัยเด็กยายพ.เคยบอกกับข้าพเจ้า ให้เดินตามสายรุ้งไปจนสุดทาง ที่ปลายของสายรุ้งจะมีไหทองคำ ข้าพเจ้าและเพื่อนๆจึงวิ่งแข่งกันไปหาปลายของสายรุ้ง แต่สายรุ้งก็สลายไปก่อนทุกครั้ง
.
ข้าพเจ้าไม่ทราบว่ายาย พ. ไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน เพราะมันช่างพ้องกับตำนานของชาวไอร์แลนด์ที่เชื่อว่า เลปริคอน (leprechaun) ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตตัวจิ๋ว มีเครา สามเสื้อคลุม สวมหมวก มีชีวิตสันโดษ ใช้เวลาส่วนใหญ่ซ่อมรองเท้าและเชื่อกันว่า
.
มีหม้อที่เต็มไปด้วยทองคำ ซ่อนอยู่ที่ปลายสายรุ้ง หากถูกคนจับได้ เลปริคอนจะใช้อำนาจวิเศษ บันดาลให้คำอธิษฐานเป็นจริง ๓ ข้อ แลกกับการปล่อยตัวมัน
.
จะสูตรไหนก็ช่างเถอะ ทุกครั้งที่ฝนตกตอนเด็ก ๆ ข้าพเจ้ากับน้องชายและเพื่อน ๆ ก็จะวิ่งเล่นน้ำฝนกันสนุกสนาน วิ่งไปทางท่าข้ามเรือบ้าง วิ่งกันไปตามริมถนนบ้าง
.
ที่ท่าข้ามเรือนี้ ตอนบ่ายในหน้าร้อนน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาจะลดลงจนถึงพื้น ห่างจากตลิ่งสิบกว่าเมตร พวกเราเด็ก ๆ ก็จะหิ้วถังมีหูหิ้วลงไปเก็บหอยขมมาทำกับข้าวเสมอ ถ้าน้ำขึ้นสูงก็ตกปลา ปลาที่ตกได้ส่วนมากก็ปลาตะเพียนเป็นหลัก
.
สมัยนั้นรถยนต์มีไม่มาก พอฝนตกพวกเราจะวิ่งไปเรื่อย ๆ จนกว่าฝนจะหยุด พอฝนหยุดก็เกิดรุ้งกินน้ำ พวกเราก็ตามล่าหาทองคำที่สุดสายรุ้งต่อ และล้มเหลวทุกครั้ง แม้บางครั้งจะวิ่งจากวัดดังไปถึงพรานนกก็ตาม
.
ข้อมูลจากหนังสือสาระความรู้ฉบับพกพา รู้ไว้ไม่เสียหลาย บอกให้ข้าพเจ้าได้ทราบในภายหลัง ถึงสิ่งที่ไม่เคยทราบมาก่อนว่า ความจริงแล้วรุ้งกินน้ำเกิดเป็นวง แต่ที่เราเห็นรุ้งกินน้ำเพียงส่วนหนึ่งของวงกลมเท่านั้นก็เพราะขอบโลกบังแสงอาทิตย์เสีย
.
อย่างไรก็ตามผู้โดยสารบนเครื่องบิน อาจจะเคยเห็นรุ้งกินน้ำครบทั้งวงแผ่กระจายบนก้อนเมฆ โดยมีเงาของเครื่องบินที่โดยสารไปนั้นเป็นจุดศูนย์กลาง
.
ซึ่งหมายความว่า สุดสายรุ้ง ไม่มีทองคำอยู่จริง เป็นเรื่องหลอกเด็ก และ หลอกผู้ใหญ่ที่หัวใจเป็นเด็กด้วย(วาทะของน้าต๋อยเซ็มเบ้)