10 เม.ย. 2021 เวลา 05:52 • กีฬา
ทำไมสองทีมใหญ่ในสเปน บาร์เซโลน่า กับ เรอัล มาดริด ถึงเกลียดกันขนาดนั้น จุดเริ่มต้นคืออะไร วิเคราะห์บอลจริงจังจะย้อนอดีตให้อ่านกัน
1
เรอัล มาดริด กับบาร์เซโลน่า เป็นสองสโมสรที่มีความเกลียดชังกันมากที่สุด การเจอกันของ 2 ทีมนี้ ต้องอยู่หรือไม่ก็ตายกันไปข้าง
สำหรับแฟนๆ ฮาร์ดคอร์บางคน ไม่ได้แชมป์ไม่เป็นไร ขอให้ได้อัดอีกฝ่ายให้เละถือเป็นอันพอใจ แบบนี้ก็มี
ความคับแค้นของ 2 สโมสรนี้ มีแบ็กกราวน์ มาจากเรื่องการเมืองเป็นหลัก อธิบายคือในอดีตประเทศสเปน มีการปกครองแบบสาธารณรัฐ กล่าวคือ รัฐบาลกลางจะยอมให้แคว้นคาตาลุนย่ามีอิสระในการปกครองตัวเองบางส่วน และอนุญาตให้ใช้ภาษาของตัวเองได้ อย่างพวกป้ายโฆษณาตามท้องถนน ใช้ภาษาคาตาลันได้เลย ไม่จำเป็นต้องใช้ภาษาสเปนกลาง รัฐบาลยินดีให้คุณสามารถคงอัตลักษณ์ของคุณไว้ได้
2
ในยุคนั้น รัฐบาลสเปนทราบดีว่า คาตาลันมีความแตกต่างทางวัฒนธรรม ดังนั้นจึงใช้การปกครองด้วยความเข้าอกเข้าใจ นั่นทำให้ชาวสเปน กับชาวคาตาลัน ใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุขมาเรื่อยๆ จริงอยู่ว่ามีกลุ่ม movement อยากเรียกร้องขอเอกราชบ้าง แต่ยังไม่รุนแรงอะไร เพราะคนส่วนใหญ่ยังแฮปปี้ในการรวมประเทศกับสเปนอยู่
แต่จุดเปลี่ยนสำคัญอยู่ในปี 1936 เมื่อนายพลฟรังโก้ยึดอำนาจ เปลี่ยนสเปนกลายเป็นรัฐเผด็จการ และเขาได้นำแนวคิด "ขวาจัด" เข้ามาด้วย คือการลดทอนพลังของความหลากหลายทางวัฒนธรรม แต่พยายามรวมทุกคนให้กลืนกลาย เป็นสเปนทั้งหมด
นายพลฟรังโก้ เพิกถอนสิทธิ์การปกครองตนเองชาวคาตาลัน สั่งห้ามใช้ภาษาท้องถิ่น มีกฎหมายบีบบังคับเพิ่มขึ้นหลายข้อ จุดประสงค์เพื่อให้ชาวคาตาลันเปลี่ยนตัวเองมาเป็นคนสเปนโดยสมบูรณ์
การกระทำแบบนั้น ทำให้ชาวคาตาลัน สั่งสมความไม่พอใจ จากเดิมที่ "อยู่ในประเทศเดียวกันได้ ด้วย 2 วัฒนธรรม" แต่พอมาโดนบังคับแบบนี้ พวกเขาไม่สามารถทนได้อีกต่อไป
ถ้านึกภาพแบบเข้าใจง่าย ถ้าวันหนึ่งอังกฤษ สั่งให้สกอตแลนด์ เลิกคิดว่าตัวเองเป็นสกอตติช แล้วให้เปลี่ยนตัวเองมาเป็นอังกฤษซะ ถามว่าคนสกอตติชจะรับได้ไหม? ซึ่งอังกฤษก็ไม่ได้ทำแบบนั้น แต่พวกเขาเลือกใช้การปกครองแบบสหราชอาณาจักรแทน คือวางระบบปกครองแบบหลวมๆ มี 4 ประเทศ (อังกฤษ สกอตแลนด์ เวลส์ และ ไอร์แลนด์เหนือ) อยู่ใน 1 อาณาจักร
นายพลฟรังโก้กดดันหนักมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เกิดขบวนการปลดแอกคาตาลันขึ้น คราวนี้ฝั่งคาตาลันไม่ขออยู่ร่วมกันแล้ว แต่ต้องการแยกประเทศไปเลย ซึ่งแน่นอนว่าฝั่งสเปนยอมไม่ได้ ใครจะยอมให้ประเทศโดนตัดแบ่งออกไปแบบนั้น นั่นทำให้เกิดการประท้วง และการปะทะอยู่เรื่อยๆ ระหว่าง 2 ฝ่าย ติดต่อกันมาหลายปี
1
ความบาดหมางในโลกการเมือง ซึมซับเข้ามาในโลกฟุตบอลด้วย นั่นเพราะสโมสรเรอัล มาดริด เป็นทีมจากเมืองหลวง เป็นสัญลักษณ์ของประเทศสเปน แต่สโมสรบาร์เซโลน่า คือทีมจากแคว้นคาตาลัน นี่คือความภูมิใจของชาวเมืองเช่นกัน และในเมื่อทั้งสองฝ่ายไม่สามารถถือปืนมาไล่ยิงอีกฝ่ายได้ ก็ใช้ "ฟุตบอล" เป็นการปลดปล่อยความก้าวร้าวที่มีในใจออกไป
1
มันหมายความว่า นักเตะเรอัล มาดริด และนักเตะบาร์เซโลน่า เปรียบเสมือนทหาร ที่เหล่าชาวเมืองคาดหวังว่าจะทำลายอีกฝ่ายให้ราบเป็นหน้ากลองนั่นเอง
10
ปัญหาที่สั่งสมความแค้นให้บาร์เซโลน่าในอดีตคือ นายพลฟรังโก้ ต้องการให้เรอัล มาดริดชนะทุกปี เพื่อแสดงอำนาจว่า สเปนยิ่งใหญ่กว่าคาตาลันเสมอ และเขาต้องการให้พวกคาตาลันสำนึกถึงความต่ำต้อยของตัวเอง ไม่กล้าหืออือกับรัฐบาลกลางอีก
4
หลายสิ่งที่นายพลฟรังโก้ ใช้อำนาจบีบฝั่งสโมสรบาร์เซโลน่า ไม่ว่าจะเป็น
- การสั่งห้ามใช้ภาษาคาตาลันในสนามฟุตบอล
- การสั่งห้ามเลือกตั้งประธานสโมสร แต่จะส่งคนของรัฐบาลสเปน ไปปกครองเป็นประธานสโมสรเอง
- บังคับให้นักเตะในทีมก่อนแข่ง ชูมือทำท่าฟาสซิสต์เพื่อทำความเคารพนายพลฟรังโก้
- บังคับให้เอาธงคาตาลัน ออกจากทุกสัญลักษณ์ที่มีในสโมสร
รวมไปถึงเหตุการณ์อัปยศที่สุด ในวันที่ 19 มิถุนายน 1943 การแข่งขันฟุตบอลรายการโกปา เดล เจเนราลิซิโม่ รอบรองชนะเลิศ เลกที่ 2 ที่สนามเอสตาดิโอ ชามาร์ติน บ้านของเรอัล มาดริด
ในเลกแรกบาร์ซ่าเล่นที่บ้านตัวเอง เอาชนะสบายๆ 3-0 กุมความได้เปรียบเยอะ ใครๆก็คิดว่าพวกเขาคงผ่านเข้าชิงสบายๆ ยังไงก็ไม่แพ้ห่าง 3 ลูกหรอก แต่ก่อนเกมฟุตบอลจะเริ่มขึ้น นายพลฟรังโก้ ได้ส่งผู้อำนวยการฝ่ายความมั่นคงของประเทศ เข้าไปหานักเตะบาร์เซโลน่าที่ห้องแต่งตัว แล้วพูดว่า การที่รัฐบาลสเปนอนุญาตให้มีแคว้นคาตาลุนย่าอยู่ในประเทศ นับว่าเป็นความกรุณาขนาดไหนแล้ว สำนึกในความโชคดีของตัวเองบ้าง และถ้าเกมนี้จบลงโดยเรอัล มาดริดตกรอบ ก็ไม่รับรองว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนักเตะบาร์ซ่า
2
เริ่มเกมในสนาม มีแฟนบอลเรอัล มาดริด ขว้างของใส่ผู้รักษาประตูบาร์เซโลน่าเป็นระยะๆ และมีคนวิ่งลงสนามมาขู่นักเตะบาร์ซ่าหลายหน มิงโก้ บัลมันย่า อดีตนักเตะบาร์เซโลน่าที่ลงเล่นในเกมนั้น เล่าว่าตลอดเกม พวกเขาโดนด่าว่า "ไอ้หมาคาตาลัน"
1
แม้บรรยากาศจะรุนแรงแค่ไหน แต่กรรมการตัดสินเกมนั้น ไม่กล้าทำอะไรเลย สุดท้ายก็ปล่อยให้เกมเล่นต่อไปเรื่อยๆ นักเตะบาร์ซ่าเล่นด้วยความหวาดกลัว สุดท้ายจบครึ่งแรก เรอัล มาดริดนำ 8-0
และเมื่อจบ 90 นาที เรอัล มาดริดชนะ 11-1 รวมผลสองนัด มาดริดเข้ารอบด้วยสกอร์รวม 11-4
3
ในวันนั้นบาร์ซ่าเล่นฟุตบอลแบบไม่เป็นตัวเอง พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีชีวิตรอดออกไปจากสนามในวันนั้นหรือไม่ ซึ่งมุมของนายพลฟรังโก้ โทรฟี่มันชื่อว่า โกปา เดล เจเนราลิซิโม่ (ศึกชิงโทรฟี่นายพล) ดังนั้นก็ตามชื่อรายการ เขาคงไม่ยอมให้บาร์เซโลน่ากล้าหาญมาคว้าแชมป์ในโทรฟี่ใบนี้ได้แน่ๆ
"เราจะสังเกตได้ว่า เรอัล มาดริดไม่เคยกล่าวถึงแมตช์นี้เลย นั่นเพราะเกมนั้นมันไม่ใช่ฟุตบอล" โจน บาเรา นักประวัติศาสตร์ชาวสเปนเผย "การที่เรอัล มาดริด พลิกเข้ารอบมันเกิดขึ้นได้ แต่ที่น่าประหลาดใจคือผลการแข่งขัน สิ่งที่ฝั่งเรอัล มาดริดต้องการ คือทำให้บาร์เซโลน่าอับอายมากที่สุด"
"เกมนี้ ถูกเรียกว่าแมตช์แห่งอัปยศ ตามปกติถ้าคุณชนะในเอล กลาสิโก้ขนาดนี้ คุณคงหยิบมาเล่าไม่รู้จบ แต่ฝั่งเรอัล มาดริดก็ไม่ภูมิใจเหมือนกัน ที่อำนาจรัฐเข้ามาแทรกแซง มันแสดงให้เห็นถึงวันที่ประเทศสเปนต้องอยู่อย่างมืดมิดภายใต้เผด็จการ"
2
ทุกสิ่งทุกอย่าง สั่งสมความแค้นใจให้ฝั่งบาร์เซโลน่า ถ้าเล่นกันแฟร์ๆในสนาม พวกเขาไม่กลัว แต่เมื่อเอาอำนาจรัฐ เข้ามายุ่งเรื่อยๆ มันจึงไม่ใช่แค่ฟุตบอลแล้ว แต่เหมือนสโมสรบาร์ซ่าเป็นที่ระบายของนายพล ที่ไม่สามารถลงไม้ลงมือกับประชาชนได้ ก็มาเล่นงานสโมสรฟุตบอลแทน
2
ความขัดแย้งของเรอัล มาดริด กับบาร์เซโลน่ามีมาอย่างต่อเนื่อง และมีอีกหนึ่งเคสที่ถือว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญ นั่นคือการย้ายตัวของ "อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่" กองหน้าอัจฉริยะแห่งยุคชาวอาร์เจนติน่า
ดิ สเตฟาโน่ แจ้งเกิดที่ริเวอร์เพลท ตั้งแต่อายุ 19 ปี ช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ลีกได้ 2 สมัย จากนั้น ตอนอายุ 23 ปี พอหมดสัญญากับริเวอร์เพลท เขาย้ายไปอยู่กับมิลโลนาริออส ในลีกโคลอมเบีย ซึ่งก็ยังมีมาตรฐานดีเหมือนเดิม ยิงประตูกระจุยจนช่วยสโมสรคว้าแชมป์ลีกโคลอมเบีย 3 สมัย ว่ากันง่ายๆ ดิ สเตฟาโน่ คือผู้เล่นที่ร้อนแรงที่สุดในทวีปอเมริกาใต้
1
มีนาคม 1952 เรอัล มาดริด จัดทัวร์นาเมนต์ฉลอง 50 ปีของสโมสร โดยเชิญมิลโลนาริออส และสโมสรนอร์โคปิ้งจากสวีเดน มาแข่งขันฟุตบอลกระชับมิตรสามเส้า ปรากฏว่า มิลโลนาริออส คว้าแชมป์ได้อย่างสวยงาม โดยเกมที่ปะทะกับเรอัล มาดริด ดิ สเตฟาโน่ยิง 2 ลูก ช่วยให้ทีมชนะ 4-2
1
หลังแข่งสามเส้าเสร็จ มิลโลนาริออส ก็เดินสายเวิลด์ทัวร์ ไปแข่งที่ฮังการี ตามด้วยที่อุรุกวัย ซึ่งก็ชนะทุกนัดที่ลงเล่น โดย ดิ สเตฟาโน่ ยิงประตูกระจุยทุกเกม
1
เมื่อฟอร์มเป็นที่ประจักษ์ขนาดนี้ ทำให้ในช่วงซัมเมอร์ 1952 บาร์เซโลน่าเป็นทีมแรกที่ขยับตัวอย่างรวดเร็ว พวกเขาต้องการซื้อตัวดิ สเตฟาโน่ มาเสริมทัพ คือถ้าได้หัวหอกระดับนี้ เอามาเล่นร่วมกับลาซโล คูบาล่า และ หลุยส์ ซัวเรซ ล่ะก็ น่าจะเป็น 3 แนวรุกที่ไร้เทียมทานจนใครก็ต้านไม่อยู่
กฎของสหพันธ์ฟุตบอลสเปนขณะนั้น คือถ้าคุณจะซื้อตัวผู้เล่นต่างชาติ มีเงื่อนไขสำคัญคือ คุณต้องได้รับลายเซ็นยินยอมจากสโมสรต้นสังกัด ที่ได้รับการรับรองจากฟีฟ่า ถ้าสโมสรปัจจุบันยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับฟีฟ่า ก็ต้องไปเอาลายเซ็นจากสโมสร "ล่าสุด" ที่ขึ้นทะเบียนกับฟีฟ่าแล้ว
ประเด็นคือในปี 1952 สโมสรมิลโลนาริออส ไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับฟีฟ่าเอาไว้ ส่งผลให้บาร์เซโลน่าต้องไปขอลายเซ็นจากริเวอร์เพลท ซึ่งเป็นสโมสรล่าสุดของดิ สเตฟาโน่ ที่ขึ้นทะเบียนกับฟีฟ่าแล้ว
บาร์ซ่าได้ลายเซ็นมาเรียบร้อย และตัวดิ สเตฟาโน่ ก็ย้ายมาลงเล่นเกมปรีซีซั่นกับบาร์เซโลน่าในปี 1952-53 แล้วด้วย
อย่างไรก็ตาม ก่อนจะถึงวันลงทะเบียนนักเตะสำหรับฤดูกาลใหม่ รัฐบาลสเปนภายใต้การนำของนายพลฟรังโก้ ได้ออกกฎใหม่ เกี่ยวกับการซื้อตัวต่างชาติ นั่นคือนักเตะที่ย้ายมาสเปน ต้องได้ลายเซ็นจากสโมสรต้นสังกัดที่แท้จริงของนักเตะคนนั้น โดยไม่จำเป็นว่า สโมสรจะอยู่ภายในการรับรองของฟีฟ่าหรือไม่
1
ทันทีที่เปลี่ยนกฎ เรอัล มาดริด เดินหน้ารวดเร็ว ติดต่อขอลายเซ็นจากสโมสรมิลโลนาริออสได้สำเร็จ กลายเป็นว่าเรอัล มาดริด เลยกลายเป็น มีสิทธิ์ได้ตัวดิ สเตฟาโน่ถ้าอ้างอิงจากกฎใหม่
1
เรื่องนี้บาร์เซโลน่าไม่ยอม เพราะพวกเขาดีลทุกอย่างไว้หมดแล้ว เขาทำตามกฎแรกสุดที่บอกให้ไปคุยกับสโมสรล่าสุดที่ฟีฟ่ารับรอง บาร์ซ่าก็เลยไปดีลกับริเวอร์เพลท จนทุกอย่างจบแล้ว เคลียร์แล้ว นักเตะก็ลงเล่นปรีซีซั่นไปแล้วด้วย
แต่ฝั่งเรอัล มาดริด ก็ตอบโต้ว่า ก็กฎล่าสุดมันเป็นแบบนี้ และพวกเขาได้ลายเซ็นจากมิลโลนาริออส ซึ่งเป็นสโมสรที่แท้จริงของนักเตะ แล้วบาร์ซ่าจะมาบ่นอะไร ยอมรับกฎกติกาใหม่ไปสิ
2
การโต้เถียงยืดเยื้อกันเป็นปี ไม่มีใครยอมใคร สุดท้ายสหพันธ์ฟุตบอลสเปน เป็นคนตัดสิน และให้แบ่งกรรมสิทธิ์ดิ สเตฟาโน่ ให้เรอัล มาดริด กับบาร์เซโลน่าสลับใช้งานคนละปี
1
1953-54 : เรอัล มาดริด
1954-55 : บาร์เซโลน่า
1955-56 : เรอัล มาดริด
1956-57 : บาร์เซโลน่า
13
จากนั้นเมื่อหมดสัญญา 4 ปี ตัวนักเตะค่อยตัดสินใจเองว่าจะย้ายไปอยู่สโมสรไหน กฎแบบนี้ ดูเผินๆเหมือนจะยุติธรรม แต่ความจริงเป็นฝั่งเรอัล มาดริด ที่ได้เปรียบมาก เพราะเรอัล มาดริดได้ใช้งานก่อนในปีแรก
ไม่ว่าใครทุกคนบนโลก ล้วนแล้วแต่มี "First Impression" หรือความประทับใจแรกทั้งนั้น ลองคิดดูว่า ดิ สเตฟาโน่ ไม่เคยอยู่ยุโรป แต่พอย้ายมาเรอัล มาดริด ได้รับความรัก ความปรารถนาดี จากผู้บริหารและแฟนบอล แถมยังถูกสั่งสมความเกลียดชังบาร์ซ่าตั้งแต่วันแรกสุดที่ย้ายไป ถามหน่อยว่า เมื่อรู้ถึงความเกลียดกันของสองทีมเอล กลาสิโก้แล้ว ใครมันจะกล้าย้ายกลับไปกลับมา
เมื่อสหพันธ์ฟุตบอลสเปน ตัดสินมาแบบนี้ เรอัล มาดริดจึงได้ใช้งานก่อนทันทีในปีแรก และก็เป็นตามคาด ดิ สเตฟาโน่ ผูกพันกับทีมจนไม่อยากไปบาร์ซ่าอีกแล้ว ในเกมเอล กลาสิโก้ นัดแรกที่เขาลงเล่น ดิ สเตฟาโน่ช่วยมาดริดชนะ 5-0 และเขาซัดคนเดียว 4 ประตู
3
นักเตะไม่มีใจให้บาร์ซ่าแล้ว นั่นทำให้เรอัล มาดริดฉวยจังหวะนี้ ยื่นข้อเสนอจ่ายเงิน 4.5 ล้านเปเซต้า เพื่อครองดิ สเตฟาโน่มาครองแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งบาร์ซ่าก็เห็นๆกันอยู่ว่า นักเตะไร้ใจแล้ว เอามาก็ไม่มีประโยชน์ สุดท้ายจึงยอมขาย ก่อนจะมูฟออน ไปตามหากองหน้าคนอื่นแทน
1
พอได้ตัวกองหน้าระดับโลกแบบนี้เข้ามา เรอัล มาดริดก็เป็นเหมือนเสือติดปีก ดิ สเตฟาโน่ ช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ 5 สมัยติดต่อกัน รวมถึงแชมป์ลาลีกาอีก 8 สมัย
2
ผลงานส่วนตัวของเขาเป็นดาวซัลโวทุกรายการที่ลงเล่น และได้บัลลงดอร์ถึง 2 ครั้ง นี่คือสุดยอดนักเตะแห่งยุคตัวจริง และเป็นคนสร้างรากฐานความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ให้เรอัล มาดริดจนถึงปัจจุบัน
2
เรื่องนี้ แฟนบาร์ซ่าก็ยังหยิบมาพูดถึงอยู่เสมอ ว่าถ้าไม่มีอำนาจรัฐเปลี่ยนกฎซื้อตัวกะทันหันล่ะก็ ป่านนี้บาร์ซ่าได้ดิ สเตฟาโน่ไปแล้ว และแชมป์ยุโรป 5 สมัยซ้อน แทนที่จะเป็นเรอัล มาดริด อาจเป็นบาร์เซโลน่าแทน และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งครั้งที่บาร์ซ่าโดนเล่นงานจากอำนาจมืด
1
ด้วยสิ่งต่างๆที่สั่งสมตั้งแต่ยุคนายพลฟรังโก้ ทั้งเรื่องแมตช์อัปยศ 11-1 ตามด้วยเรื่องดิ สเตฟาโน่ รวมถึงอีกมากมายหลายเหตุการณ์ สั่งสมความแค้นของบาร์เซโลน่าที่มีต่อเรอัล มาดริด อย่างมหาศาล
ในยุคปัจจุบัน หลังจากสเปนเป็นประชาธิปไตยแล้ว การแข่งขันก็เล่นกันอย่างแฟร์ขึ้น แต่ความเกลียดชังโดยรวมยังคงอยู่ มันสั่งสมจนไม่มีวันถอนออกได้แล้ว จนกว่าจะมีสักทีมดับสลายกันไปข้าง
ณ เวลานี้ ศึกเอลกลาสิโก้ จึงเป็นส่วนผสมของเรื่องราวในประวัติศาสตร์ และสงครามที่จะตัดสินว่า ใครคือสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสเปน หรืออาจรวมถึงในโลกด้วย
1
คืนนี้ ศึกเอล กลาสิโก้ จะแข่งขันเวลา 02.00 น. แม้จะแข่งขันแบบสนามปิดเพราะโควิด-19 แต่รับรองได้ว่าเกมเดือดแน่นอน เพราะทั้ง 2 ทีมห่างกันแค่ 2 แต้ม ผลแพ้ชนะจะถีบอีกทีมให้ร่วงทันที
จุดที่น่าสนใจคือ เกมนี้เรอัล มาดริด จะเป็นเจ้าบ้าน ซึ่งตามปกติสังเวียนของสโมสรคือสนามซานติอาโก้ เบร์นาเบว แต่ด้วยความที่ซานติอาโก้ เบร์นาเบว กำลังรีโนเวทอยู่ จึงจะถูกเปลี่ยนไปใช้อีกสนาม ซึ่งเป็นสนามของทีมสำรอง (กาสตีญ่า) ที่มีความจุ 6,000 คน โดยเกมที่ชนะลิเวอร์พูล 3-1 ในแชมเปี้ยนส์ลีกก็ใช้สนามนี้แหละ
"ชื่อของสนาม" คือ อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่ สเตเดี้ยม
นักเตะคนที่เป็นอีกหนึ่งในชนวนของความเกลียดชังระหว่างสองทีมนี้ และจะเป็นชื่อของสนามที่ใช้แข่งเอล กลาสิโก้ นัดชี้ชะตาด้วย ช่างเหมือนสคริปต์อะไรจะขนาดนั้น
#ELCLASICO #LALIGA
โฆษณา