11 เม.ย. 2021 เวลา 15:45 • ดนตรี เพลง
[รีวิวอัลบั้ม] Chemtrails Over The Country Club - Lana Del Rey
ภายใต้เมฆเทียม
-เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ชีวิตของ Elizabeth Woolridge Grant (a.k.a Lana Del Rey) เริ่มค้นพบความเรียบง่ายในชีวิตมากขึ้นหลังจากที่ผ่านช่วงชีวิตสุดหวือหวาต่างๆนาๆมากมายอย่างที่ทราบกันดีในผลงานยุคแรกๆ เธอคือผู้วิพากษ์สังคม Hollywood ให้มีหน้าตาชวนฝันแต่ก็แอบแฝงไปด้วยความไม่ชอบมาพากล ร้ายกาจจนสังเกตได้เช่นกัน มันคือเสน่ห์ที่ทำให้เธอเป็นที่จดจำในฐานะแม่มดในคราบคุณหนูไฮโซผู้หลงใหลกับเพลงสตริงดีๆนี่เอง ถัดมาตั้งแต่ Norman Fucking Rockwell! สร้างความประหลาดใจให้แฟนเพลงพอสมควร จากสาวที่มองอะไรค่อนข้าง negative กลายเป็นสาวติดดินที่มีมุมสบายๆขี้เล่น และค้นพบความสุขในรูปแบบนึงได้ มันเป็นความสบายใจที่ไม่ว่าคนที่เป็น core fan ของเธอตั้งแต่ต้น หรือเป็นแฟนเพลงหน้าใหม่ที่เคยตีตัวหนีห่างจากเพลงของเธอด้วยความหม่นเศร้าเทปยานของท่วงทำนอง น่าจะมีมุมมองที่เปลี่ยนไปบ้าง แฟนเก่าและใหม่ไปด้วยกันอย่างเบิกบาน นับว่าเป็นความเก่งกาจเหมือนกันที่ทำเพลงออกมาย่อยง่ายขึ้นโดยไม่ละทิ้งสไตล์ดั้งเดิมของตน
-ไม่รู้เหมือนกันว่า Jack Antonoff แกมีทริคอะไรมิทราบถึงปลดล็อกอะไรบางอย่างในตัวเจ๊ลานาให้ออกมาเป็นสาวชิวล์น่าเข้าหามากกว่าเดิมถึงเพียงนี้ ความถูกชะตากันของทั้งคู่นำพาซึ่งงานเพลงที่มีแนวโน้มสบายอารมณ์ขึ้นเรื่อยๆ สำหรับงานชุด Chemtrails over the Country Club ยังคง compromise ต่อคนฟังอย่างที่ NFR วางท่ามาตั้งแต่ต้น ถ้าลองสังเกตปกอัลบั้มรูปหมู่ระหว่างเธอและผองเพื่อนที่เธอมักคุ้น สีหน้ายิ้มระรื่น happy ยิ่งกว่า Lust For Life ที่ดูยังไงหล่อนก็มีเล่ห์นัยมากกว่าจะมอบความหอมหวานให้กันจริง เจตนาของเธอคงไม่มีอะไรไปมากกว่าการพยายามใส่มุมสวยๆงามๆมาแต่งแต้มในเพลงของเธอบ้าง ถ้าตัดสินกันตามปกที่ดูเฟรนด์ลี่ พอเข้าไปสัมผัสจริงก็เข้าหาง่ายจริงแหละ แต่ใช่ว่าโทนของเพลงจะไปทางสดใสราวกับเดินทุ่งลาเวนเดอร์เสมอไป ความเป็นภาพฟิล์มขาวดำก็พอบรรยายมู้ดในอัลบั้มได้โดยไม่สวนทางกัน มันเป็นความหม่นที่เธอพยายามบาลานซ์ระหว่างความเป็นจริงและแสงแห่งความหวังในชีวิต มันเลยเป็นงานเพลงที่หม่นแต่ไม่ toxic จนเกินกว่าเราจะดาวน์ อันนี้สบายใจได้
ด้านซ้าย Jack Antonoff
-สิ่งที่ยังคงไม่จางหายไปคือการพยายามตามหานิยามของความสุขที่สุมอยู่ในเนื้อเพลงอย่างไม่จางหาย ถึงแม้ว่าเธอจะเคยค้นพบถึงการมีความสุขโดยไม่ต้องไปไขว่คว้าแบบที่เคยกล่าวไว้ใน Happiness is a butterfly เพลงในอัลบั้มชุดก่อน มันก็ไม่ได้แปลว่าเธอจะค้นพบนิยามความสุขได้ตายตัว ซึ่งก็สอดคล้องตามชื่ออัลบั้มที่มีหลายคนแอบตั้งข้อสังเกตไปไกลถึง “ละอองไอพ่นเครื่องบิน” ที่อาจไม่ได้มีไว้เพื่อลดโลกร้อนตามเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ แต่เป็นการทดลองปล่อยสารเคมีเพื่อควบคุมจิตใจหรือการก่อการร้ายทางชีวภาพตามทฤษฎีสมคบคิดที่ต่างถกเถียงกันมาโดยตลอด แต่ Lana เองคงไม่ถกเรื่องนี้อย่างเป็นเรื่องเป็นราวอย่างแน่นอน การพยายามตามหาความสุขของเธอถูกห้อมล้อมไปด้วยภาพมายาที่แยกไม่ออกว่าอะไรจริงแท้
-เห็นกันตั้งแต่เพลงแรกอย่าง White Dress ที่เธอตัดพ้อปนความเสียดายที่ว่าการมีชื่อเสียงทำให้ชีวิตเธอดีขึ้นจริงหรือ? ซึ่งเธอเองก็ท้าวความชีวิตก่อนชื่อเสียงของเธอที่เคยเป็นพนักงานเสิร์ฟอาหารใน Long Island หลงใหลในเพลงแจ๊สเพลงร็อค จนต้องเรียนกีตาร์กับคุณลุงเพื่ออยากเป็นศิลปินเสียเอง ตามมาด้วยการหกระเหินเป็นนักร้องกลางคืนที่ใช้ a.k.a หลายชื่อมากมาย แต่งเพลงจนมีอีพีอัลบั้มเป็นเรื่องเป็นราวตั้งแต่อายุ 19 ซึ่ง ณ ตอนนั้นเธอใช้ชื่อศิลปินในนามของ Lizzy Grant การที่เธอก้าวเข้ามาสู่วิถีศิลปิน เธอทำไปด้วยความชอบด้วยใจบริสุทธิ์เท่านั้น ไม่คิดว่าจะมีค่างวดตามมาตอนที่เธอไปได้ไกล
-ความน่าสนใจของแทร็คเปิดอัลบั้มไม่ได้อยู่ที่การท้าวความชีวิตก่อนชื่อเสียง ลูกเล่นของเพลงนี้ซุกซ่อนเยอะจนน่าค้นหา ไม่ว่าจะเป็น เทคนิคการร้องเสียงหลบแบบแหบพร่า นานๆทีผมจะเห็นอะไรพรรค์นี้เหมือนกัน การเล่นคำ white dress/waitress คล้องจองทั้งคำและอดีตชีวิตของเธอ อีกทั้งเธอยังใช้สีขาวเป็นสีหลักในการสื่อสารถึงความบริสุทธิ์ผุดผ่องตั้งแต่แรกจนปนเปื้อนประสบการณ์ชีวิตมากมาย สุทธิ์ผุดผ่องตั้งแต่แรกจนปนเปื้อนประสบการณ์เพลงเธอมาแล้วหลายเพลง ถ้าลองสังเกตดีๆ white ดันไปลิ้งค์กับวงร็อคดูโอ้ The White Stripes ได้อย่างประจวบเหมาะจนต้องยกตัวอย่าง เบื้องหลังเพลงนี้ก็น่าสนใจ มันเป็นความสดใหม่ที่เธอรีบจะบอก Jack Antonoff ทันทีหลังจากที่เธอค้นพบความคล้องจองของคำดังที่กล่าวไปขั้นต้น
-Dark But Just A Game ก็มีจุด spark idea อันเป็นที่มาของเพลงนี้เช่นกัน เธอดันได้ quote จาก Jack ที่พูดคุยกันเรื่องสังคมเซเลปบริตี้ที่ไม่ได้สวยหรูตามที่นำเสนอ แต่เต็มไปด้วยความมุมมืดที่เผยธาตุแท้อันไม่พึงประสงค์จนย้อนแย้งกับภาพลักษณ์อันแสนวิเศษที่ทุกคนต่างสรรเสริญ ด้านมืดของชื่อเสียงที่เต็มไปด้วยสิ่งยั่วยุจนมีคนตกเป็นเหยื่อแล้วจบชีวิตอย่างน่าเศร้าแบบที่ Whitney Houston และ Amy Winehouse เคยเป็น Lana เลยพยายามหยิ่งในศักดิ์ศรีถึงความไม่ยอมให้ชื่อเสียงกลืนกินตัวตนที่เคยเป็น เพลงนี้มีการเหยาะแทร็ปบีทให้โทนเพลงมีความ tense แล้วตบด้วยโทนสว่างในท่อนฮุกราวกับเจ้าตัวเจอแสงสว่างแห่งธรรม ต่อให้มีสองโทนในเพลงเดียวกัน แต่ฟังแล้วกลมกลืน ไม่ถึงขั้นปรับอารมณ์ไม่ทันแต่อย่างใด Wild At Heart ที่บริบทฟังดูสบาย พลางนึกถึงความงดงามแบบเพลง Love Song ผสมผสานกับความชิลแบบเพลง Mariners Apartment Complex ในขณะเดียวกันเธอก็อ้างอิงถึงโศกนาฏกรรมของเจ้าหญิงไดอาน่าที่พยายามจะหลบหนีปาปารัสซี่จนเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต การที่เธอยกเคสแบบนี้ต้องการสื่อว่า การที่จะให้ใจเธอจริง สื่อหรือใครก็แล้วแต่ก็ควรจะมอบความอิสระส่วนตัวให้เธอด้วย
-ไตเติ้ลแทร็กประจำอัลบั้มนี้ Chemtrails over the Country Club ถือเป็นแทร็คที่บอกตีมของอัลบั้มได้เป็นอย่างดี ทั้งการกลับไป represent ความแพงที่ reference ถึงเครื่องเพชร รถสปอร์ตสีแดง วิถีชีวิตคนรวยที่มักจะชอบไปสโมสรกีฬา เหมือนเป็นการวาดภาพฝัน American Dream กลายๆ แต่โทนเพลงยังมีความติดภวังค์บางอย่าง มันไม่ใช่ความสุข ไม่ใช่ความทุกข์ แต่มันคือความกังวลของสิ่งที่เรียกไม่ถูกว่าไอ้ตัวไอพ่นบนเมฆนั้น มันคือความสวยงามหรือภัยคุกคามตามที่กลุ่มทฤษฎีสมคบคิดได้อ้างไว้หรือไม่?
-นอกจากการพยายามตั้งคำถามกับความสุขแล้ว ความรักความสัมพันธ์กับคนรักก็ถูกนำเสนอได้หลากหลายมุม Tulsa Jesus Freak ที่ยังคงคาแรคเตอร์ความเป็นสาวคลั่งรักแบบแต่ก่อนมากที่สุด นำเสนอความวาบหวามในความสัมพันธ์ภายใต้ความเคร่งครัดทางศาสนาจนรู้สึกเกรงกลัวที่จะพรอดรักกัน มันมีจุดนึงที่น่าฉงนสนเท่ห์มากๆในท่อนฮุกที่มีแสงฟึดฟัดเบาๆแค่นี้ก็โชว์ความสยิวซาบซ่านได้โดยไม่ต้องพยายามเค้นความยั่วยวน Let Me Love You Like A Woman ดูมีความหนักแน่นและอ่อนโยนมากที่สุดด้วย ถ้าตัดสินจากเนื้อหาที่ไม่ได้มีเรื่องเพศวาบหวามแบบแทร็คที่แล้ว ไม่มีความหวือหวาเสียจนเรียบเกินไปเมื่อเทียบกับเพลงอื่นๆ Not All Who Wander Are Lost มาแบบโฟล์คเบาๆสุดชิวล์สอดคล้องกับการพยายามอยากให้ทุกๆอย่างในชีวิตค่อยเป็นค่อยไป
-Yosemite บรรยากาศโฟล์คซองฟังดูเหงาหงอยหน่อยๆ จริงๆแล้วไม่มีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลแต่อย่างใด ซาวนด์ลมที่พัดโชยอ่อนในท่อนฮุกเป็นการ relate กับสิ่งที่เธอได้แชร์นิยามรักอุดมคติที่ว่า รักที่ดีมันไม่ใช่แค่ทำเพื่อเอาสนุก ปลดปล่อยจิตอันเป็นอิสระอย่างเดียว มันต้องมีปัจจัยในการปรับสมดุลเข้าหากัน มีความมั่นคงต่อฤดูกาล เหตุการณ์ต่างๆที่แปรเปลี่ยนด้วย เข้าสู่โหมดขมขื่นของจริงในเพลงถัดไป Breaking Up Slowly ที่ได้เจ้าแม่เพลงคันทรี่ตัวจริงอย่าง Nikki Lane มาร่วมแชร์ความรักที่ไม่ใช่และจำเป็นต้องตีจาก นี่มันเพลงบาร์เหล้าตะวันแดงชัดๆ
-สองเพลงสุดท้ายเริ่มเข้าสู่โหมด tribute ศิลปินระดับครู ราวกับว่าเธอไม่ได้ทำเล่นๆ อ้างอิงพวกเขาเหล่านั้นแบบประเดี๋ยวประด๋าว ตั้งแต่ Dance Till We Die ที่เธอได้ทำการ tribute ไอดอลตลอดกาลของเธอที่ตอนนี้ได้เป็นมิตรของเธอในชีวิตจริง ตั้งแต่ Joan Baez, Joni Mitchell, Stevie Nicks และ Courtney Love ซึ่งพวกเขาเหล่านี้คือบุคคลสำคัญที่จุดประกายให้เธอได้เป็นศิลปินจนถึงทุกวันนี้ element ของเพลงเต็มไปด้วยความหอมหวานแบบที่ดูออกเลยว่า Lana เข้าสู่โหมดสาวเปี่ยมสุขแบบที่เราได้เห็นกันมาแล้วในอัลบั้มที่แล้ว เพิ่มเติมคือความภาคภูมิใจที่บุคคลที่เธอเคยสรรเสริญกลับเห็นคุณค่าในตัวเธอ แน่นอนว่าเป็นความปลื้มปิติที่เธอได้รับการเติมเต็มจนสามารถเต้นรำไปกับมันจนวันตายได้ ท่อนแยกที่เธอตบเข้าแจ๊สกลายเป็นโมเมนต์เล็กๆที่น่าจดจำสำหรับเพลงนี้ ปิดท้ายด้วยเพลง cover ของจริงอย่าง For Free ถ้าสังเกตจากแทร็คที่แล้วจะมีท่อนแรกที่เธอร้องเกริ่นว่า I’m coverin' Joni จุดนี้เหมือนเป็นการส่งไม้ต่อให้กับแทร็คปิดท้ายนี่เอง เหนือสิ่งอื่นใดการที่เธอยอมปิดด้วยเพลงที่ cover เพลงเก่าอีกทีนึงเพื่อต้องการสื่อสารถึงความต้องการอิสรภาพอันหอมหวานมากกว่าชื่อเสียงที่เธอได้รับมันมากพอแล้ว ร่วมด้วยสองสาว Weyes Blood และ Zella Day ที่ร่วมประสานเสียงกันอย่างไพเราะจนคนฟังต้องมนต์สะกดไปพร้อมๆกับบัลลาดเปียโนสุดพริ้มชวนฝันได้ไม่ยากเย็น
-ไม่ว่าเธอจะเชื่อทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับ “ไอพิษจากเครื่องบิน” เกิดมาเพื่อควบคุมจิตใจคนใต้ฟ้าหรือไม่ ? ที่แน่ๆเธอก็ทำให้คนฟังเห็นถึงส่วนผสมที่สวยงามของคนเบื้องล่างได้ชัดเจนเด่นชัดเสียจนเราอยากยินดีไปพร้อมๆกับเธอ ยอมรับว่างานเพลงชุดนี้มีโทนเพลงที่ไม่วาไรตี้เท่ากับ NFR! ที่กลายเป็นงานระดับขึ้นหิ้งในใจของใครหลายคนไปแล้ว แต่เราก็สัมผัสถึงระดับจิตใจที่เป็นบวกและสุขขึ้นของเจ้าของผลงานที่ผ่านมุมมืดมามากมายเสียจนอดห่วงไม่ได้ เหมือนเราเห็นเพื่อนคนนึงที่ทำหน้าบูดบึ้งตลอดเวลาแล้วดันอารมณ์ดีขึ้นมาด้วยวิถีชีวิตที่อยู่กับร่องกับรอยขึ้น เป็นใครก็อยากเข้าหา การเข้าหางานเพลงของเธอก็เช่นกัน Chemtrails เป็นการตอกย้ำความสบายใจอีกครั้งว่า ความคิดชีวิตของเธอเริ่มไปทางสุกสว่างมากขึ้น เพิ่มเติมคือเรียนรู้ที่จะอยู่เป็นในวงการนี้ ความสงบสุขที่ก่อเกิดในจิตใจกลายเป็นสิ่งที่ง่ายพอจะนำเข้ามา และที่สำคัญเห็นความสำคัญกับคนรอบข้างตัวเธอมากกว่าตัวเองแบบแต่ก่อน ทั้งหน้าปกอัลบั้มหรือบุคคลเบื้องหลังที่ดันไม่ได้อยู่บนปกกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้แม่นาง Lana มูฟออนชีวิตได้อย่างมั่นคงและราบเรียบขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนผสมที่สวยงามในที่นี้คงเป็นมิตรภาพอันหอมหวานนั่นเอง
Top Tracks: White Dress, Chemtrails Over The Country Club, Tulsa Jesus Freak, Wild At Heart, Dark But Just A Game, Not All Who Wander Are Lost, Dance Till We Die
Give 8/10
Thx 4 Readin’
See Y’all
โฆษณา