11 เม.ย. 2021 เวลา 16:43 • ธุรกิจ
ผมฟันธงให้เลย สำหรับ Free Version
"Google Meet" ใช้งานง่ายและ collaboration ดีที่สุด ทั้งระบบ doc app, email, caledar, storage
"Zoom" ใช้งานง่าย แต่ขาดเรื่อง collbaroation แต่มีจุดเด่นที่แตกต่างคือ "Feature" ในห้องประชุมมีลูกเล่นเยอะมาก เพราะเป็นเจ้าตลาดมาก่อนมีความชำนาญเรื่องนี้ สามารถส่ง link ผ่าน sms ได้ทันที สะดวกมาก
"Team" มีข้อจำกัดใหญ่ๆ ที่แก้ไม่ได้ และ cust. exp. ที่ได้ยินมาจากลูกค้าหลายที่ในเรื่องความยุ่งยากในการใช้งานมีพอสมควร ซึ่งก็ตรงกับที่ผมได้ทดลองใช้เองด้วย
#หมวดหมู่ - Sales tips - Online Conference App
#เหมาะสำหรับ - บุคคลทั่วไป, นักขาย, เจ้าของกิจการ
บทความในวันนี้จะต่อเนื่องจากบทความที่ผ่านมาในเรื่องของการเลือกเครื่องมือใช้งานสำหรับการทำประชุมออนไลน์ เนื่องจากการกลับมาระบาดอย่างหนักอีกครั้งของ COVID-19 คาดว่ากว่าจะสงบในรอบนี้ต้องใช้เวลาอีกไม่ต่ำกว่า 1 เดือน ดังนั้นใน 1 เดือนนี้การนัดหมายลูกค้าแทบจะต้องผ่านการประชุมแบบ video conference 100%
ทีนี้ความหนักใจสำหรับ “นักขาย” หลายๆ คน คือ แล้วเราจะเลือก platform ไหนดี สำหรับเอาไว้ใช้ประชุมกับลูกค้า โดยเฉพาะ free version ที่ไม่ต้องเสียเงินใช้ฟรีได้ ผมขอคัดเลือกเฉพาะ features ที่มีความจำเป็นต่อการใช้งานของ “นักขาย” ส่วนเสปกรายละเอียดอื่นๆ ลองดูตามไฟล์รูปภาพเลยครับ
================================
1.)#ระยะเวลาสูงสุดในการประชุมต่อครั้งหรือการโทร (Meeting period per session)
ในการ set up online meeting นั้นสิ่งที่ “นักขาย” มักจะกังวลคือ “เรื่องระยะเวลาในการประชุม” เพราะบางทีไม่อาจคาดเดาได้ว่าการประชุมจะสั้นหรือจะยาว แน่นอนว่าการประชุมส่วนมากจะนัดหมายที่ 1 ชั่วโมง แต่บางครั้งจะเลยออกไปบ้าง โดยเฉพาะการ pitching ที่บางทีอาจจะต้องทำกันแบบออนไลน์นี่แหละ หรือว่าการทำ POC ผ่านระบบ video ก็เช่นเดียวกัน ทีนี้ลองมาดูกันครับว่าทั้ง 3 app นั้นจะมีระยะเวลาในการประชุมต่อครั้่งเป็นอย่างไรบ้าง
✔️Microsoft Team มีระยะเวลาสูงสุดต่อการประชุม 1 ครั้ง หรือการโทร 1 ครั้งที่ 60 นาที
✔️Google Meet มีระยะเวลาสูงสุดต่อการประชุม 1 ครั้ง หรือการโทร 1 ครั้งที่ 60 นาที
❌Zoom มีระยะเวลาสูงสุดต่อการประชุม 1 ครั้ง หรือการโทร 1 ครั้งที่ 40 นาที
✅#"นักขาย"ฟันธง
เพื่อให้การประชุมมีประสิทธิภาพสูงสุดโดยเฉพาะความต่อเนื่องในการประชุม ผมแนะนำให้ใช้ Microsoft team หรือ Google meet จะดีกว่าครับ
*ระยะเวลาที่ใช้ในการประชุมกับลูกค้าโดยเฉลี่ยของ “นักขาย” จะอยู่ที่ 50 นาที (ข้อมูลจาก paceproductivity.com)
2.)#ระดับความยากง่ายในการสร้างห้องประชุมและเชิญคนเข้าประชุม (Level of difficulty of creating & invitation of meeting room)
ก่อนที่เราจะวิเคราะห์เรื่องนี้เรามาดูวิธีการสร้าง link หรือ เชิญการประชุมของแต่ละ app กัน
📌 Microsoft Team & Google Meet & Zoom
“นักขาย” จำเป็นต้องมีอีเมลของ Microsoft ก่อน ไม่ว่าจะเป็น hotmail, outlook ถ้าเป็นของ Google ก็คือ Gmail หรืออีเมลของบริษัทที่ใช้งาน Microsoft 365 หรือ Google Workspace (ชื่อเดิมคือ Google Gsuite) มิเช่นนั้นจะสมัคร Microsoft team หรือ Google meet ไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตามการสมัครอีเมลนั้นก็ทำได้ไม่ยาก และไม่มีค่าใช้จ่าย ในส่วนของ Zoom นั้นคุณสามารถสมัครหรือ sign up ด้วยการใส่อีเมลอะไรก็ได้และใส่ข้อมูลต่างๆ ที่กำหนดและหลังจากนั้นระบบจะให้คุณ activate account ผ่านทางอีเมลที่ส่งไปให้ และหลังจากนั้นคุณก็ต้องใส่ password ที่ต้องกำหนดเอง ก็เป็นอันเสร็จสิ้น เหมือนการสร้าง ID นั้นเอง หลังจากนี้ สำหรับการเชิญคนเข้าประชุมนั้นจะแบ่งเป็นสองส่วน
1.#การสร้างห้องประชุมผ่าน Application - Microsoft team, Google meet, Zoom
Microsoft Team อันนี้ง่ายมากครับคุณสามารถกดไปที่รูปกล้องวีดีโอ ที่มีชื่อว่า Meet เมื่อกดไปแล้วจะมีให้เลือกว่าจะใส่ Email อะไรหรือจะคัดลอก Link ไปส่งให้ใคร หรือถ้าเป็นการนัดหมายประชุมผ่าน calendar ของ microsoft team แค่กดไปที่ calendar และกดเครื่องหมาย + จะเห็นว่ามีให้เลือกเป็น online meeting ซึ่งก็เป็นการประชุมออนไลน์แบบ auto ทันที เราก็ใส่อีเมลที่ต้องการเชิญเข้าประชุมก็เรียบร้อย
Google meet อันนี้ก็ไม่ยากเช่นกันครับ คุณสามารถเข้าโปรแกรม กดเลือก new meeting หลังจากนั้นจะมีให้เลือก ว่าจะสร้างห้องประชุมแบบไหน ด้วยการทำเป็น link to share คือ เราสามารถส่ง link ไปให้คนอื่นที่จะเข้าประชุมด้วยได้ กดเข้าห้อง instant meeting เลย และค่อยเอา link ในห้องไปแชร์หรือจะส่ง invitation ด้วยอีเมลก็เลือกได้
ตั้งกำหนดเวลาการประชุมผ่าน Google calendar
Zoom อันนี้ก็จะมี app ให้คุณไปโหลดมาเมื่อคุณได้สมัครจนมี ID เรียบร้อย (ID ก็คือ อีเมลที่คุณใส่และ password ที่คุณตั้งขึ้นมาใหม่นั่นเอง) หลังจากนั้นพอเข้าไปแล้วก็จะมีหน้าจอให้เลือก Meet & chat ซึ่งสามารถเลือก new meeting ได้ที่นี่หรือเลือก Join meeting ก็ได้ หรือสามารถทำ scheduling นัดผ่าน calendar ได้แต่ก็เป็น calendar ที่มีใน zoom เท่านั้น ไม่เชื่อมกับระบบอีเมลแต่อย่างใด
2.#การสร้างห้องประชุมผ่านระบบอีเมลและปฏิทินในอีเมล (Email and Calendar in email system)
ในส่วนของ Microsoft Team และ Google Meet นั้น คุณสามารถนัดหมายประชุมออนไลน์ผ่านทาง Calendar ได้ทั้งใน Microsoft 365 และ Google Workspace แต่เป็นที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งคือ ถ้าเราใช้ Outlook calendar และต้องการสร้าง Online meeting ในนั้นจะเป็น Skype เท่านั้น (Skype เป็น application สำหรับการประชุมทางไกลตัวหนึ่งซึ่ง microsoft ซื้อกิจการมานานแล้ว) ซึ่งมีข้อจำกัดคือ ปลายทางต้องมี application skype ลงในเครื่องด้วยเท่านั้น แทนที่จะเป็น Microsoft team ซึ่งผมคาดว่าในอนาคตน่าจะถูกยุบให้เหลืออันใดๆ อันหนึ่งเท่านั้นระหว่าง Microsoft Team และ Skype ในขณะที่หากใช้ Google Workspace นั้น ใน calendar จะเป็นระบบการประชุมแบบ Google Meet นั่นเอง ซึ่งข้อนี้แสดงให้เห็นว่าระบบของ Google นั้นมีความเป็น Collaboration ที่เอื้อกับการทำงานธุรกิจมากกว่าของ Microsoft
ในส่วนของ Zoom นั้น เป็นระบบ calendar ที่อยู่ใน app ของตัวเองไม่มีระบบอีเมลของตัวเองรองรับ เวลาใช้งานเข้าไปกำหนดในส่วน calendar และเมื่อทำเสร็จจะมีให้เลือกว่า เราจะเลือกใช้อีเมลของ Google Workspace หรือ Microsoft 365 (Outlook) ดังนั้นในจุดนี้ Zoom ก็สามารถเคลมได้ว่าสามารถนัดหมายผ่านระบบฐานข้อมูลได้ทั้งระบบอีเมลของทั้งสองค่าย นอกจากนี้ยังสามารถทำนัดหมายผ่านเบอร์โทรศัพท์ได้อีกด้วย โดยจะส่งเป็น link ผ่านทาง contact list ในมือถือ ซึ่งต้องเชื่อมระบบเข้ากับ Zoom ก่อน (ไม่ยาก)
✅#"นักขาย"ฟันธง
ในหัวเรื่องการสร้างห้องประชุมนั้น อันดับ 1 ผมให้ ✔️✔️✔️Google Meet และ ✔️✔️✔️Zoom เพียงแต่จะมีจุดเด่นคนละแบบ ถ้าในแง่ของ Collaboration นั้น Google Meet จะดีที่สุด เพราะทั้งหมดสามารถทำงานในหน้าจอเดียวตั้งแต่การสร้างห้องประชุมจะสามารถทำผ่าน app - Google Meet หรือ ทำผ่านระบบอีเมลใน Calendar ได้ทันที ดูง่ายไม่ต้องเปลี่ยนหน้าต่างไปมา ในขณะที่ Zoom มีข้อจำกัดในส่วนนี้ที่ต้องเปิดระบบ 2 ส่วน ทั้งระบบอีเมลและ app ของ Zoom ถึงแม้ว่าเมื่อเข้า Zoom แล้วจะมีลิ้งค์อัตโนมัติไปยังระบบอีเมลก็ตาม แต่ตอนใช้งานก็ต้องมาเปิด 2 หน้าจอเป็นอย่างน้อย แต่ในแง่ของ ความหลากหลายในการใช้งานและ Features ที่ support หรือลูกเล่นนั้น Zoom จะมีความหลากหลายมากกว่าทั้งในแง่ของการเลือกอีเมลได้ว่าจะส่งจากไหนก็ได้ไม่ยึดติดกับระบบอีเมล และมี feature ในการ set ให้กับห้องประชุมมากมาย เช่น waiting room, การตั้งค่าเปิดปิด mic หรือ video ทั้งส่วนของ host หรือ participant ก่อนเข้าห้องประชุม, การเชื่อมต่อกับระบบ contact ในโทรศัพท์ทำให้ส่ง link ผ่าน sms ได้ทันที ฯลฯ
ส่วน ❌❌❌ Microsoft team นั้นถือว่าทำคะแนนในส่วนนี้ได้น้อยที่สุด ซึ่งก็หนีไม่พ้นจุดอ่อนเรื่อง Skype ใน Outlook และอีกจุดหนึ่งคือ ถ้าเราเชิญคนที่ไม่มี Microsoft account หรือ email นั้นจะทำได้ค่อนข้างยุ่งยากมาก ต่างจากของ Google Meet ที่ผมลองทดสอบส่งอีเมลไปยัง hotmail และกด join เข้าประชุมทำได้ง่ายมากๆ ในขณะเมื่อกด link ของ Microsoft Team และส่งเข้า Gmail มันจะถามเราก่อนว่ามีอีเมลของ Microsoft ไหมและให้สมัครนั่นเอง
3.)#Background Features (ฉากหลัง)
เวลาประชุมกับลูกค้าทางออนไลน์ ผมบอกกับทางผู้เข้าอบรมที่เคยเข้ามาฟังการสอนของผมทุกครั้งว่า คุณจำเป็นต้องมี Background หรือ ฉากหลัง เพื่อไม่ให้คนเห็นฉากหลังของคุณ โดยเฉพาะเมื่อคุณ Work From Home (WFH) รู้ไหมว่าทำไม
📌 คุณจะได้ไม่ต้องกังวลว่า ฉากหลังของคุณจะเป็นอะไร บางทีคุณอยู่บ้านและคนในบ้านเดินมาในขณะที่คุณกำลังประชุมอยู่ เช่น ลูก หรือ ภรรยา หรือ สามี หรือ คุณพ่อ คุณแม่ ก็จะดูไม่เป็นการเหมาะสมหากคุณกำลังประชุมถูกไหมครับ ยิ่งถ้าเกิดเค้าเหล่านั้นแต่งตัวไม่เหมาะสมเช่น เพิ่งอาบน้ำแล้วเดินมาจะเป็นยังไงคิดไม่ลงเลยทีเดียว หรือแม้แต่ว่า คุณเกิดอยู่ข้างนอก การที่จะมีคนเดินมาด้านหลังคุณหรือการที่คุณไปนั่งที่ไหนแล้วเกิดไม่ได้ระวังว่าด้านหลังเป็นอะไร ก็จะทำให้เกิดปัญหาตามมาได้เลย
📌 ไม่ทำให้ผู้เข้าร่วมประชุมไปสนใจ เหตุการณ์ด้านหลังหรือสิ่งสวยงามด้านหลังของคุณ บางคนเลือกวิวเป็นสวนสวยเต็มไปด้วยดอกไม้ บังเอิยมีนกสวยๆ มาเกาะ หรือมีสัตว์เลี้ยงเดินไปมา ผู้เข้าร่วมประชุมก็อาจจะมัวไปสนใจสิ่งเหล่านั้น แทนที่จะได้สนใจกับการนำเสนอของคุณได้
ดังนั้น feature ที่เป็นเรื่องของ “ฉากหลัง” หรือ “Background” นั้นมีความสำคัญมากๆ เลยทีเดียว ซึ่งในส่วนนี้ทั้งสามตัว Microsoft Team, Google Meet, Zoom ก็สามารถทำภาพด้านหลังได้อย่างดี มีรูปภาพหลายรูปให้เลือก สามารถ upload ภาพของเราเองได้ ตลอดจนสามารถทำฉากหลังให้เบลอได้ในกรณีที่ไม่ต้องการโหลดภาพอื่นๆ ขึ้นมา ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ คงต้องไปลองเล่นกันเองนะครับ
=============================
#justasalestory #เรื่องเล่านักขาย
ติดตามบทความดีๆ และพูดคุยกันเกี่ยวกับด้านงานขายได้ที่
https://lin.ee/RkkX1Pp หรือ LINE ID @018uckki
Youtube channel เรื่องเล่านักขาย
#salestraining #salesskills #ทักษะงานขาย #B2B #B2G #B2C
โฆษณา