บิทคอยน์: ทองคำ เงินตรา หรือสิ่งไร้ค่า ว่าความเชื่อและการเปลี่ยนแปลง
วันนี้ราคา 1 btc = 64,xxx USD หรือราว 2.1 ล้านบาท เป็น New High ใหม่ของบิทคอยน์
....สาวกหลายสำนักมองว่ามันกำลังจะ Higher High อีก เพราะเขามีความเชื่อว่าบิทคอยน์กำลังเข้าสู่ช่วง halving ของปีนี้ พูดง่ายๆ ก็คือลดกำลังการเวิร์ค (Proof of work) ภาษาบ้านเรียกลดกำลังการขุด ส่งผลโหนดคอมพิวเตอร์ที่ขุดจะได้รับผลตอบแทนต่อบล็อคน้อยลง แม้กำลังการขุดเท่าเดิม แต่จะมีบิทคอยน์เกิดขึ้นน้อยลงทุกครั้งที่มีการฮาว์ฟวิ่ง มันถูกคิดไว้ล่วงหน้าเพื่อไม่ให้สมการบิทคอยน์ที่มีอย่างจำกัดแค่ 21 ล้านชุดออกมาเร็วเกินไป
ขอบคุณภาพจาก Bangkok Post ที่มา https://static.bangkokpost.com/media/content/20201204/c1_2029923_201204104332.jpg
ดังนั้น สาวกบิทคอยน์เชื่อว่าทุกครั้งที่เกิดฮาว์ฟวิ่ง มักจะส่งผลให้ราคาของบิทคอยน์วิ่งทำจุดสูงสุดใหม่ เป็นปฏิกิริยาที่น่าสนใจ เพราะชุดตัวเลขเหล่านี้มีมูลค่าเพราะ "ความเชื่อ" ที่จุดระเบิดมัน ตามมาด้วย "ความโลภ" ที่ตามแสงระเบิดนั้นมา
ในปี 2017 หลังจากฮาว์ฟวิ่ง ราคาบิทคอยน์ทำจุดสูงสุดที่ 19000 usd และเมื่อคนแห่เข้าไปรุมมันก็เกิดฟองสบู่อย่างรวดเร็วในปีนั้น จบลงด้วยฟองสบู่แตกหนีตายกันเลิ่กลัก
ช่วงปี 2017-19 จึงเหลือเพียงสาวกกลุ่มเล็กๆ ที่ยังเชื่อมั่นในไอเดียของบิทคอยน์ ว่าสักวันของสิ่งนี้จะเป็นสื่อกลางการเเลกเปลี่ยนของยุคใหม่
ในขณะที่บิทคอยน์ดิ่งเหวสูญสิ้นค่า แต่จักรวาลคริปโตรเคอเรนซี่กลับเบ่งบานหลังจากการเทกระจาดนั้น มันก่อเกิดระบบนิเวศใหม่ๆ เเนวคิดใหม่ๆ ที่วางอยู่บนปรัชญาแบบอนาธิปไตยทางการเงิน คริปโตเคอเรนซี่หรือทรัพย์สินดิจิตัลใหม่เผยให้เห็นคุณค่าที่เเท้จริงของมัน คือ ประสิทธิภาพการทำงานของเทคโนโลยีบล็อคเชนที่หนุนหลังมันอยู่ ประสิทธิภาพของของมันได้เหนือกว่าบิทคอยน์หลายเท่าตัว ที่โดดเด่นสุดเห็นจะเป็น สกุล Ethereum ที่ระบบนิเวศของมันสร้างโลกอินเทอร์เน็ตอีกใบขึ้นมาเลยทีเดียว หรือ XRP ที่มีประสิทธิภาพการชำระเงินดีกว่ารวดเร็วกว่า
วันนี้ราคา BTC ที่วิ่งไปถึง 2.1 ล้าน ทั้งๆ ที่ประสิทธิภาพการใช้งานหรือคุณค่าที่เเท้จริงในเชิงการใช้งานนั้นด้อยกว่าสกุลอื่นๆ มากโข ได้ทำให้เห็นสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงนั่นคือ "ความเชื่อ"
ความเชื่อเกี่ยวกับอนาธิปไตยทางการเงินที่เป็นไอเดียหลักของการสร้างบิทคอยน์ ได้ย้ายไปอยู่กับระบบนิเวศอีเธอเรียม (Ethereum) ซึ่งได้ให้กำเนิดแอพลิเคชั่นแบบกระจายอำนาจมากมายบนอินเทอร์เน็ตยุคที่สอง โดยเฉพาะการกระจายอำนาจทางการเงินที่เรียกว่า Decentralize Finance นำมาสู่การเเลกเปลี่ยนแบบไร้ตัวกลาง จากบุคคลสู่บุคลล ในภาษาผู้ศึกษาทางวัฒนธรรม สิ่งนี้คือ Barter Trade หรือการค้าต่างตอบแทนด้วยทรัพย์สินดิจิตัลกับทรัพย์สินดิจิตัลโดยไม่ผ่านสถาบันทางการเงิน แม้ว่าวันนี้ทรัพย์สินเหล่านั้นมีมูลค่าอ้างอิงกับเงินรัฐบาล แต่นี่เพิ่งเริ่มเท่านั้น ยังเร็วเกินไปที่จะตัดสินว่า Defi จะบรรลุอุดมการณ์ของมันได้หรือไม่ แต่เหล่าสาวกคริปโตหรือแฟนบอยอีเธอเรียมเชื่อว่า Defi เกิดขึ้นเพื่อทำลายระบบธนาคาร (ผมว่าธนาคารจะนำไปปรับใช้มากกว่า) เพราะมันลดอำนาจการควบคุมของสถาบันโดยสิ้นเชิง เพราะใช้เพียงโค้ดไม่กี่บรรทัดควบคุมระบบทรัพย์สิน
กลไกที่อีเธอเรียมบุกเบิก ได้ยึดกุมอุดมการณ์อนาธิปไตยทางการเงินที่ก่อให้เกิดบิทคอยน์แล้ว
ขณะที่วันนี้ความเชื่อเกี่ยวกับบิทคอยน์ ต้องเปลี่ยนไปสิ้นเชิง จากความเชื่อว่าวันหนึ่งมันจะเป็นสิ่ง "แลกเปลี่ยน" แทนเงิน บิทคอยน์ไม่สามารถทำได้แล้ว เพราะมีทางเลือกอื่นๆ เกิดขึ้นมากมายในจักรวาลคริปโต แต่มูลค่าของมันกลับค้ำจุนจักรวาลคริปโตทั้งมวล นำไปสู่ความเชื่อว่าบิทคอยน์นั้น คือ "ตัวเก็บมูลค่า" หาใช่สื่อกลางการแลกเปลี่ยนไม่ มันอาจเริ่มต้นมาตั้งแต่ปีที่แล้วความเชื่อว่า "ทองคำดิจิตัล" เริ่มเเพร่หลาย หากเกิดความเชื่อเช่นนี้บิทคอยน์จึงไม่ใช่สิ่งที่ควรแก่การแลกเปลี่ยน
การฮาว์ฟวิ่งครั้งนี้เป็นตัวชี้วัดอีกครั้งว่าบิทคอยน์จะกลายเป็น "ทองคำดิจิตัล" ดังที่หวังหรือไม่ เพราะฮาว์ฟวิ่งคราวก่อนในคราวที่บิทคอยน์ถูกเชื่อและคาดหวังว่าเป็น "สื่อกลาง" จบด้วยสภาพศพไม่สวยนัก
ตอนนี้ทุกอย่าง จึงเป็นเรื่องของ "ความเชื่อ" เท่านั้น มนุษย์จะบูชาตัวเลขทั้ง 21 ล้านชุดนี้เป็นทอง เป็นเงิน หรือไม่มีค่าเป็นอะไรเลย
- 2
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
