Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
The Thinker Man
•
ติดตาม
14 เม.ย. 2021 เวลา 16:00 • ประวัติศาสตร์
14 เมษายน 1450 วันนี้ในอดีต...วันแรกที่โลกประจักษ์กับการพิมพ์ยุคใหม่
หลายคนคงแปลกใจเมื่อหน้าฟีดของ google ในวันนี้ ที่แสดงภาพไอคอนเพื่อลำลึกถึงชายผู้หนึ่งที่ชื่อว่า "โยฮันน์ กูเทนแบร์ก (Johann Gutenberg)" แน่นอนว่าหลายคนอาจไม่รู้จักว่าเขาคือใคร เขาทำอะไรให้โลกใบนี้บ้างเราจะมาทำความรู้จักกันครับ
โยฮันน์ กูเทนแบร์ก (Johann Gutenberg) เป็นช่างเหล็ก ช่างทอง และนักประดิษฐ์ชาวเยอรมันผู้พัฒนาเทคโนโลยีการพิมพ์ซึ่งนำไปสู่การปฏิวัติการพิมพ์อันเป็นก้าวสำคัญของการเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ของมนุษย์ กูเทนแบร์กไม่ได้เพียงแค่ประดิษฐ์แท่นพิมพ์แบบกดรุ่นใหม่ซึ่งพัฒนามาจากแท่นกดแบบเกลียวที่ใช้ทำเหล้าองุ่น แต่เค้ายังคิดค้นเทคนิคการนำโลหะผสมมาหล่อเป็นตัวพิมพ์แบบถอด หรือที่เรียกกันว่า แท่นพิมพ์ที่ใช้ระบบตัวเรียง (movable-type printing press)
ด้วยความที่ระบบตัวพิมพ์แบบถอดนี้มี ต้นทุนต่ำ และทนทาน ทำให้การผลิตตัวพิมพ์ทำได้รวดเร็วแม่นยำ อีกทั้งเขายังเป็นคนแรกที่พัฒนาหมึกพิมพ์แบบผสมน้ำมันมาใช้ในการพิมพ์หนังสืออีกด้วย แม้ตัวกูเทนแบร์กเองจะล้มละลายจากสิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้แต่นวัตกรรมที่เขาสร้างขึ้นก็สร้างผลกระทบวงกว้างต่อผู้คนทั้งโลก ทำให้เกิดยุคสมัยแห่งภูมิปัญญานำไปสู่การปฏิวัติรูปแบบการเผยแพร่ความรู้และข่าวสารอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว แบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นในห่วงประวัติศาสตร์
ช่วงแรกของชีวิตของนายช่างผู้สนใจในเทคโนโลยีการพิมพ์
โยฮันน์ กูเทนแบร์ก เป็นชาวเยอรมัน เกิดเมื่อราวปี 1400 ที่เมืองไมนซ์ (Mainz) ประเทศเยอรมัน พ่อและแม่ของเขาต่างก็มาจากชนชั้นสูง โดยเฉพาะพ่อที่เป็นช่างทองและผู้บริหารโรงกษาปณ์ของคณะสงฆ์คาทอลิกเมืองไมนซ์ พ่อของเขาได้ถ่ายทอดความรู้และเทคนิคช่างทองให้กูเทนแบร์กตั้งแต่วัยเด็ก อย่างไรก็ตามในปี 1419 หลังจากพ่อของเขาเสียชีวิตลง กูเทนแบร์กจึงย้ายไปทำงานเป็นช่างทองและช่างผลิตเหรียญกษาปณ์ในกองทหารอาสาสมัครของเมืองสตราสบูร์ก (Strasbourg) ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาเริ่มพัฒนาแท่นพิมพ์ขึ้นอย่างจริงจัง
แต่ทำไมต้องพัฒนาระบบแท่นพิมพ์ใหม่ เป็นที่ทราบกันมานานแล้วว่าการพิมพ์หมึกลงบนกระดาษนั้นเริ่มมีมาก่อนยุคของกูเทนแบร์กนับพันปี โดยมันถูกพัฒนาขึ้นครั้งแรกในประเทศจีนราวศตวรรษที่ 3 ต่อมาในราวศตวรรษที่ 11 ปี่ เฉิง (Bi Sheng) นักประดิษฐ์ชาวจีนได้พัฒนาระบบการพิมพ์แบบถอดเปลี่ยนตัวอักษรได้โดยใช้ตัวพิมพ์ทำจากดินเหนียวเผาไฟ กว่าเทคโนโลยีการพิมพ์ด้วยแม่พิมพ์ดินเหนียวนี้จะถูกถ่ายทอดไปสู่ยุโรปก็เกือบช่วงศตวรรษที่ 15 แล้ว
ในทวีปยุโรปนั้นการทำซ้ำหนังสือหรือสิ่งพิมพ์สักอย่างตั้งแต่สมัยยุคกลางจะใช้วิธีคัดลอกด้วยมือซึ่งทำได้ช้า ผิดพลาดง่าย ทำให้หนังสือมีอยู่จำนวนน้อยมาก จนกระทั่งล่วงเข้าสู่ศตวรรษที่ 15 ชาวยุโรปจึงเริ่มพิมพ์หนังสือด้วยเทคนิคภาพพิมพ์แกะไม้ที่รับมาจากจีนและอาหรับอีกที ซึ่งการผลิตหนังสือก็ยังทำได้ช้าและมีราคาแพงอยู่ดี แต่ก็ยังดีกว่าการคัดลอกด้วยมือ
ด้วยเหตุนี้การคิดค้นเทคโนโลยีการพิมพ์แบบใหม่ที่ผลิตหนังสือได้เร็วและมีราคาถูกจึงเป็นกลายเป็นเป้าหมายสำคัญที่นักประดิษฐ์ทุกคนต้องการ ไม่เว้นแม้แต่กูเทนแบร์กที่หันมาประดิษฐ์แท่นพิมพ์เพราะธุรกิจที่เขาทำอยู่ล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า
นักประดิษฐ์ผู้อับโชดและความฝันอันยิ่งใหญ่
เรื่องราวเริ่มต้นในปี 1439 เมื่อมีการจัดงานแสวงบุญครั้งสำคัญที่วิหาร Aachen ใกล้ๆกับเมืองสตราสบูร์ก ตามธรรมเนียมของงานแสวงบุญนี้ ผุ้แสวงบุญนิยมพกกระจกโลหะขัดเงาติดตัวไว้ ทำให้กูเทนแบร์กเกิดไอเดียว่าจะผลิตกระจกนี้ขายให้ผู้แสวงบุญเรือนหมื่นที่จะมาในงาน แต่ติดตรงที่เขาไม่มีเงินทุนมากพอจะผลิตกระจกมากขนาดนั้น เขาจึงหันไปหาเงินกู้จากนายทุนจนผลิตกระจกได้ในที่สุด
แต่โชคร้ายมาเยือนเมื่อในปีนั้นเกิดเหตุน้ำท่วมใหญ่จนงานแสวงบุญถูกเลื่อนออกไปในปีหน้าแทน กระจกที่กูเทนแบร์กผลิตจึงขายไม่ออกและขาดทุนย่อยยับ เมื่อไม่มีทางเลือกเขาจึงเสนอทางเลือกใหม่เพื่อใช้หนี้ให้กับนายทุน ด้วยการเสนอไอเดียว่าจะสร้างแท่นพิมพ์แบบใหม่ที่พัฒนามาจากเครื่องอัดแบบเกลียวที่ใช้ทำเหล้าองุ่น ซึ่งเขาเชื่อว่ามันจะทำเงินได้อย่างมหาศาลเพราะสามารถพิมพ์หนังสือออกมาได้มากๆ โดยกูเทนแบร์กเสนอว่าจะขอยืมเงินเพื่อมาพัฒนาแท่นพิมพ์นี้ต่อ โดยแลกกับผลกำไรและให้นายทุนเป็นหุ้นส่วนของสิ่งประดิษฐ์ใหม่นี้ด้วย
นอกจากระบบแท่นพิมพ์แบบใหม่แล้วอีกสิ่งหนึ่งที่กูเทนแบร์กพัฒนาขึ้นคือระบบตัวพิมพ์อักษรแบบโลหะผสม ที่ทนทาน ต้นทุนต่ำ และมีประสิทธิภาพสูง
แม้จะมีไอเดียบรรเจิดขนาดนี้ แต่การประดิษฐ์แท่นพิมพ์ตามแนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย กูเทนแบร์กใช้เวลาพัฒนาแท่นพิมพ์อยู่หลายปี จนหุ้นส่วนบางคนเสียชีวิตและมีคดีฟ้องร้องกับทายาทของพวกเขา จนกระทั่งปี 1448 เขาจึงกลับไปที่เมืองไมนซ์อีกครั้งและขอเงินทุนจากพี่เขย
ถึงตอนนี้แท่นพิมพ์ของเขาก็พัฒนาจนพิมพ์ได้ดีแล้วในระดับหนึ่ง เพื่อต่อยอดสิ่งประดิษฐ์เขาจึงขอทุนสนับสนุนเพิ่มจากนายทุนชื่อ Johann Fust หลังจากปรับแต่งเขาจึงพัฒนาแท่นพิมพ์แบบใหม่ที่ใช้ระบบตัวพิมพ์อักษรโลหะที่ถูกหล่อขี้นจากโลหะผสมระหว่างตะกั่วดีบุกและพลวงได้สำเร็จ รวมทั้งยังพัฒนาหมึกพิมพ์ชนิดผสมน้ำมันซึ่งมีความทนทานกว่าหมึกชนิดอื่นที่มีในขณะนั้นด้วย
คัมภีร์ไบเบิลฉบับเรียงพิมพ์ครั้งแรกของโลก
หลังจากพัฒนาแท่นพิมพ์กว่าอีก 2 ปี จนเสร็จสมบูรณ์ในที่สุด กูเทนแบร์กก็หาโอกาสแสดงศักยภาพของสิ่งประดิษฐใหม่นี้ เขาไปขอทุนเพิ่มจาก Johann Fust เพื่อพิมพ์หนังสือเล่มประวัติศาสตร์เล่มแรกของโลกอย่าง "คัมภีร์ไบเบิล" เนื่องจากในยุคนั้นไบเบิลมักถูกคัดลอกต่อกันมาด้วยมือ มันจึงมีราคาแพงและมีจำนวนน้อย กูเทนแบร์กเห็นโอกาสทางธุรกิจ เขาจึงคิดที่จะพิมพ์ไบเบิลออกมาขายเพื่อใช้หนี้
โดยไบเบิลของกูเทนแบร์กแบ่งเป็น 2 เล่ม มีทั้งหมด 1,268 หน้า แบ่งออกเป็นหน้าละ 2 คอลัมม์ แต่ละหน้ามี 42 บรรทัด ซึ่งปัจจุบันมันถูกเรียกว่า "42-line Bible” โดยถูกพิมพ์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 เมษายน 1450 แม้ว่าแท่นพิมพ์แบบใหม่จะพิมพ์ได้อย่างรวดเร็วก็จริง แต่กว่าจะจัดรูปเล่มจนเสร็จสิ้นก็ต้องใช้เวลาถึง 2 ปี ไบเบิลชุดแรกของเขามีทั้งหมด 180 เล่ม
42-line Bible คือหนังสือเล่มแรกในประวัติศาสตร์ที่ถูกพิมพ์ด้วยเทคนิคแท่นพิมพ์ที่ใช้ระบบตัวเรียงโลหะ
ซึ่งไบเบิลชุดนี้ได้รับการยกย่องจากพระสันตปาปา Pius II ว่า “พระคัมภีร์เป็นระเบียบเรียบร้อยอ่านง่ายไม่ยากที่จะติดตาม สามารถอ่านได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามและไม่ต้องใส่แว่น” ด้วยคุณภาพการพิมพ์ตัวอักษรที่ยอดเยี่ยม ทำให้มันเป็นที่ต้องการในตลาดอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันไบเบิลฉบับ 42-line Bible เหลือตกทอดมาถึงปัจจุบันแค่ 49 ชุดเท่านั้นและชุดที่สมบูรณ์ก็มีอยู่แค่ 21 ชุด มันกลายเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ของโลกและเป็นหนึ่งในชุดหนังสือที่แพงที่สุดในโลกด้วย
ปลายทางของความฝันคือการล้มละลาย
ยังไม่ทันที่จะได้ชื่นชมความสำเร็จ กูเทนแบร์กก็ต้องเจอเคราะห์หนัก เมื่อนายทุนปล่อยกู้อย่าง Johann Fust ยื่นฟ้องต่อศาลอาร์คบิชอปแห่งเมืองไมนซ์ว่ากูเทนแบร์กนำเงินที่กู้ยืมไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ในสัญญากู้ พร้อมกับเรียกร้องให้กูเทนแบร์กคืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย ซึ่งแน่นอนว่ากูเทนแบร์กไม่สามารถชำระคืนได้ ศาลจึงสั่งให้เขากลายเป็นบุคคลล้มละลายในทันที เขาจึงต้องก้มหน้ารับชะตากรรมอย่างสิ้นหวัง
วันที่ 14 เมษายน 1450 คือวันแรกที่กูเทนแบร์กเริ่มพิมพ์หนังสือ 42-line Bible
หลังจากชนะคดี Johann Fust ยึดแท่นพิมพ์และไบเบิลของกูเทนแบร์ก เขาใช้มันพิมพ์หนังสือออกขายทำเงินมากมายอย่างสบายใจ โดยไม่ได้กล่าวถึงหรือให้เครดิตกับกูเทนแบร์กเลยแม้แต่น้อย หลังจากต้องระหกระเหินเพื่อหาทางทำมาหากินอยู่หลายปี โชคยังเข้าข้างกูเทนแบร์กอยู่บ้าง เมื่อในปี 1465 อาร์คบิชอปผู้ปกครองเมืองไมนซ์ตัดสินใจกลับคำพิพากษาและยอมรับในผลงานของกูเทนแบร์ก
เพื่อเป็นการชดเชยต่อกูเทนแบร์ก อาร์คบิชอปจึงแต่งตั้งกูเทนแบร์กให้รับตำแหน่ง Hofmann ซึ่งได้รับทั้งชื่อเสียง เกียรติยศ และเงินเดือนประจำและสามารถใช้ชีวิตวัยเกษียณอย่างสงบสุข จนกระทั่งเสียชีวิตอย่างสงบในปี 1468 ผลงานและสิ่งประดิษฐ์ที่กูเทนแบร์กได้เปลี่ยนโฉมหน้าสังคมไปตลอดกาล ก่อนที่จะมีแท่นพิมพ์แบบใหม่ ในยุโรปศตวรรษที่ 15 เองมีสิ่งพิมพ์แค่ราว 20,000 เล่ม แต่หลังจากนั้นปริมาณสิ่งพิมพืก็พุ่งพรวดไปมากถึง 200 ล้านเล่ม ในศตวรรษที่ 16
หลังจากแท่นพิมพ์ของกูเทนแบร์กถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย มันทำให้เกิดการผลิตสิ่งพิมพ์จำนวนมากในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนในหน้าประวัติศาสตร์ของยุโรป
ความรู้ทุกแขนงถูกถ่ายทอดเผยแพร่อย่างกว้างขวางและรวดเร็ว คล้ายกับที่อินเทอร์เน๊ตปฏิวัติโลกยุคปัจจุบัน มันได้ก่อเเรงกระเพื่อมทางสังคมจนก่อให้เกิดโลกแบบทุกวันนี้ เราต้องขอบคุณสิ่งประดิษฐของกูเทนแบร์ก ชายผู้มีความฝันอันยิ่งใหญ่และปลดปล่อยมนุษยชาติออกจากเงามืดของการผูกขาดความรู้
อ้างอิง
[1]
https://goterrestrial.com/2020/11/10/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81-johann-gutenberg-%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87/
[2]
https://www.takieng.com/stories/20201
[3]
https://en.wikipedia.org/wiki/Johannes_Gutenberg
[4]
https://en.wikipedia.org/wiki/Printing#/media/File:Chodowiecki_Basedow_Tafel_21_c_Z.jpg
บันทึก
1
1
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย