27 ก.ย. 2022 เวลา 15:10 • หุ้น & เศรษฐกิจ
การวิเคราะห์กราฟเทคนิคกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
มีความแตกต่างกันอย่างไร❓
การวิเคราะห์ทางกราฟเทคนิค📈
หลักการที่สำคัญ คือ การเชื่อว่าราคาของสินทรัพย์ลงทุนนั้นๆไม่ว่าจะเป็นหุ้น ทองคำ หรือ คริปโต ได้สะท้อนข่าวสารทั้งหมดที่เกิดขึ้นมาหมดแล้ว แม้จะเป็นข่าววงใน หรือ ข่าวทั่วไป แนวคิดนี้เกิดขึ้นเนื่องจาก มีหลายกรณีที่ราคาหุ้นขึ้นไปก่อนมีข่าวดีเกิดขึ้น และ ราคาหุ้นมักตกไปก่อนที่จะมีข่าวร้ายตามมา
จึงมีคนจำนวนมากเชื่อว่าการวิเคราะห์จากตัวเลขงบการเงินซึ่งออกเพียงแค่ไตรมาสละครั้งนั้นไม่ทันต่อการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น การวิเคราะห์เพียงกราฟราคาจึงเพียงพอแล้ว เพราะราคาของหุ้นได้สะท้อนข่าวสารไปหมดแล้ว เพราะข้อมูลข่าวสารในปัจจุบันนั้นทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลพื้นฐานได้เหมือนกันหมดหากตั้งใจจะหาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
โดยการใช้กราฟเทคนิคนั้นหลักจะดูจากรูปแบบของราคา ปริมาณการซื้อขาย และ indicator ต่างๆซึ่งก็ล้วนคำนวณมาจากราคาของหุ้น และปริมาณการซื้อขายในอดีตถึงปัจจุบัน
ถ้าให้พูดโดยเข้าใจง่ายๆก็เปรียบเหมือนถ้าหุ้นมันดี ราคามันต้องขึ้น พอขึ้นไปแล้วเดี๋ยวข่าวดีก็ตามมาเอง การจับจังหวะและโอกาสทางเทคนิคจึงอาจจะทำให้ทำกำไรได้มากกว่าสายปัจจัยพื้นฐานในระยะสั้น
การวิเคราะห์ทางปัจจัยพื้นฐาน✨
คือการวิเคราะห์จากข่าวสารที่เกิดขึ้น รวมถึงการวิเคราะห์งบการเงินที่ออกมาของกิจการ และการคาดการณ์กำไรของกิจการในอนาคตผ่านข่าวสารต่างๆที่ได้รับ หลักการที่สำคัญคือการหาหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น และทำการซื้อและถือจนกว่าจะราคาหุ้นจะขึ้นไปถึงมูลค่าที่ควรจะเป็นที่ได้คำนวณไว้จาก model ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น DCF หรือการใช้ ratio อย่าง PE, PBV ในการหาราคาที่เหมาะสม
แต่การวิเคราะห์ทางปัจจัยพื้นฐาน เนื่องจากข้อมูลงบการเงิน และข่าวสารต่างๆที่เกี่ยวข้องกับบริษัทที่เราลงทุนถูกเปิดเผยออกมาหมด ทำให้เราต้องใช้ความสามารถในการตีความและวิเคราะห์มากกว่าผู้อื่นหากเราต้องการจะได้เปรียบ เช่น
ในกรณีถือยาว เราอาจดูอัตรา ratio ของงบการเงินต่างๆ pe pbv roe roa de เทียบกับเพื่อนในอุตสาหกรรมต้องดีกว่า ดูว่ารายได้ธุรกิจที่มากขึ้นเป็นรายได้จากการดำเนินงาน หรือ รายได้พิเศษ ( ไม่ได้มาจากการดำเนินงานปกติ เป็นรายได้ที่จะมาไม่สม่ำเสมอ)
ดูงบกระแสเงินสด ว่าแต่ละกิจกรรมเป็นไง การดำเนินงาน ควรบวก และการลงทุนเป็นบวกหรือไม่ (เพราะถ้าบวกแปลว่าธุรกิจขายสินทรัพย์ถาวรออกไป เครื่องจักรในการผลิตสินค้าออกไปอาจส่งผลต่อรายได้ในอนาคตที่อาจลดลง)
และที่สำคัญในการถือยาวต้องดูการจ่ายเงินปันผลเติบโตตามกำไรที่เพิ่มขึ้นไหม ถ้ากำไรเพิ่มแต่ปันผลกลับลดต้องดูแล้วว่ากิจการเอาไปลงทุนอะไรและคุ้มรึป่าว เพราะอาจหมายความว่ากิจการกำไรแค่ทางบัญชี อาจจะจากยอดขายสูงขึ้น แต่จริงๆเก็บเงินไม่ได้เลย การตั้ง ecl ของกิจการอาจจะไม่เหมาะสม รวมถึงกระแสเงินสดของกิจการไม่ได้ดีพอที่จะจ่ายเงินปันผลให้มากขึ้น
รวมถึงควรดู nature ธุรกิจของเราว่าเป็นแบบไหน มีปัจจัยภายนอกอะไรที่จะมาเกี่ยวข้องอีกบ้าง มีสัญญาสัมปทานอะไรหรือไม่ ค่าเงินบาทอ่อนและแข็งจะส่งผลยังไงกับหุ้นนั้นๆ
โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าทั้งสองวิธีไม่มีถูกหรือผิด หากคุณลงทุนระยะสั้นต้องการจะผลิต cashflow มาใช้ในชีวิตประจำวันอย่างต่อเนื่อง และไม่ได้มีเงินต้นมากพอที่จะถือยาวเอาปันผลมาใช้ได้อย่างเพียงพอ การเทรดตามกราฟเทคนิคอาจจะตอบโจทย์ของคุณ
หากคุณต้องการความมั่นคั่งในระยะยาว ต้องการจะถือหุ้นยาวๆมากกว่า 3 ปีขึ้นไป การติดตามงบการเงินและ วิเคราะห์หุ้นเชิงปัจจัยพื้นฐานก็เป็นเรื่องที่จำเป็น
เขียนบทความโดย นักลงทุนตัวอ้วน
โฆษณา