16 เม.ย. 2021 เวลา 06:53 • ประวัติศาสตร์
พระพุทธรูปวังหน้า พระปฎิมาแห่งแผ่นดิน: ประวัติและคติการบูชาเพื่อความเป็นสิริมงคล
ในช่วงวันสงกรานต์หรือวันปีใหม่ไทย 2564 ที่ผ่านมา จากการที่มีการระบาดของโควิด-19 ระลอก 3 ทำให้ไม่มีการเล่นน้ำสงกรานต์หรือ การสรงน้ำพระ เช่น ในกรุงเทพมหานคร โดยเกือบทุกปีจะมีการจัดงานวันสงกรานต์ สรงน้ำพระพุทธสิหิงค์ ปีนี้ก็งด เพื่อความปลอดภัย ลดการระบาดของโควิด-19 สำหรับผู้เขียนได้สรงน้ำพระที่บ้าน และรดน้ำขอพรคุณแม่ เพื่อความเป็นสิริมงคล ทำให้จิตใจสบาย
และทำให้นึกถึง ในช่วงเทศกาลขึ้นปีใหม่หลายปีที่ผ่านมา ที่ทางกรมศิลปากร ได้เปิดให้ประชาชนเข้าไปกราบสักการะบูชา พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์วังหน้า ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ผู้เขียนรู้สึกเป็นบุญที่ได้ไปกราบ และคิดว่าพวกเราหลายๆคนคงยังไม่รู้จัก จึงได้นำมาแนะนำ เมื่อมีโอกาสจะได้ไปกราบ เพื่อความเป็นสิริมงคลกันค่ะ
เครดิตภาพ: อ้างอิง 2
พระพุทธรูปวังหน้า พระปฎิมาแห่งแผ่นดิน 9 องค์ มีดังนี้
1. พระพุทธสิหิงค์
พระปฎิมาแบบสุโขทัย - ล้านนา อายุราวพุทธศตวรรษที่ 21 นับถือเป็นพระพุทธปฎิมาศักดิ์สิทธิ์ทรงอานุภาพตามตำนานพระพุทธสิหิงค์ จึงได้รับการอัญเชิญไปประดิษฐานเป็นสิริยังพระนครหลวง และเมืองสำคัญแต่โบราณของไทยของไทยหลายแห่ง คือ นครศรีธรรมราช สุโขทัย กำแพงเพชร เชียงราย เชียงใหม่ พระนครศรีอยุธยา และกรุงเทพมหานคร สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท พระมหาอุปราชในรัชกาลที่ 1 ได้อัญเชิญมาประดิษฐานเป็นพระพุทธรูปสำคัญประจำพระราชวังบวรสถานมงคล
พระพุทธสิหิงค์นับเป็นพระพุทธรูปอำนวยความอุดมสมบูรณ์ ได้รับการอัญเชิญออกให้ประชาชนถวายน้ำสงกรานต์เป็นประจำทุกปี
คติการบูชา เพื่อความเป็นสิริมงคลและความบริบูรณ์ของบ้านเมืองและผู้สักการะ
2. พระชัย
ศิลปะรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ 24 – 25 ตามพระราชประเพณีแต่โบราณ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทรงสร้างพระชัย หรือ พระชัยวัฒน์ ประจำรัชกาลสำหรับบูชาในหอพระ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่พระองค์เอง รวมทั้งอัญเชิญไปในการศึกสงคราม การเสด็จประพาส และตั้งในการพระราชพิธีต่างๆ เพื่ออำนวยสวัสดิมงคล ขจัดอุปสรรคป้องกันภยันอันตรายจากสิ่งชั่วร้ายอัปมงคลต่างๆ พระชัยวัฒน์ของหลวงสมัยรัตนโกสินทร์ นิยมสร้างเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ประทับขัดสมาธิเพชร พระหัตถ์ซ้ายถือพัด
พระชัยวัฒน์องค์นี้ พระรัศมีทองคำลงยาฝังเพชร มีสังวาลทองคำ พัดทองคำฝังพลอย ฐานสิงห์ผ้าทิพย์สลักลายฝังพลอย เป็นพระพุทธรูปบูชาเพื่อชัยชนะ
3. พระพุทธรูปห้ามสมุทร
ศิลปะอยุธยา พุทธศตวรรษที่ 22 – 23 เป็นพระพุทธรูปยืน ทรงเครื่องน้อย แสดงปางประทานอภัยทั้งสองพระหัตถ์ คือ หงายฝ่าพระหัตถ์ทั้งสองตั้งขึ้นยกในระดับเสมอกับพระอุระ มีความหมายถึงการป้องกันอันตราย ตำราพระพุทธรูปไทยใช้แสดงพระพุทธประวัติครั้งทรงทำปาฏิหาริย์ห้ามน้ำหลากท่วม เมื่อเสด็จไปโปรดอุรุเวลกัสสปและเหล่าชฎิลในสำนัก ยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม แคว้นมคธ ยังเหล่าชฎิลให้เลื่อมใสยอมรับในอานุภาพของพระองค์ และขออุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา
พระพุทธรูปห้ามสมุทรปรากฏหลักฐานการสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยา สมัยรัตนโกสินทร์อัญเชิญใช้ในพระราชพิธีไล่เรือ หรือพิธีไล่น้ำในเดือนอ้าย เพื่อให้น้ำลด รวมถึงประดิษฐานเป็นสิริมงคลในพิธีขจัดภัยอันตรายต่างๆ เช่น พิธีอาพาธพินาศ พิธีสัมพัจฉรฉินท์ บูชาเพื่อปกป้องอันตรายทั้งปวง
4. พระหายโศก
ศิลปะล้านนา พุทธศตวรรษที่ 21 เป็นพระพุทธรูปของหลวงพระราชทาน มีนามเป็นมงคลพิเศษ จารึกที่ฐานเรียกพระพุทธรูปองค์นี้ว่า “พระหายโศก” และส่งมาถึงกรุงเทพฯ ในแผ่นดินพระบามสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ. 2399 เดิมคงใช้ในพระราชพิธีหลวง จนกระทั่งกรมพระราชพิธีส่งมาเก็บรักษาในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พ.ศ. 2474 เชื่อกันว่าเป็นพระพุทธรูปบูชาเพื่อความสุข สวัสดี
5. พระโภษัชยคุรุ
ศิลปะลพบุรี พุทธศตวรรษที่ 17 – 18 แสดงปางสมาธินาคปรกทรงเครื่อง มีผอบบรรจุพระโอสถอยู่ในพระหัตถ์ เป็นพระพุทธปฏิมาที่สร้างขึ้นตามคตืพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน นับถือกันว่าเป็นพระพุทธเจ้าแพทย์ผู้ช่วยสัตว์โลกทั้งปวงพ้นทุกข์ที่เกิดจากโรคทางกายและโรคทางใจ เนื่องจากทรงบำเพ็ญพระบารมี โดยอธิษฐานความปราศจากโรคภัยไข้เจ็บของผู้คนที่บังเกิดในกาลสมัยของพระองค์
เชื่อกันว่าผู้ปฏิบัติบูชาพระโภษัชยคุรุ สามารถหายจากอาการเจ็บป่วย ด้วยการสวดบูชาออกพระนาม และสัมผัสรูปพระปฎิมา สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แห่งกรุงกัมพูชา สร้างพระราชทานเป็นพระปฎิมาประธานในสถานพยาบาลที่เรียกว่า “อโรคยาศาล” สำหรับผู้ป่วยและประชาชนบูชาเพื่อพ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ
6. พระพุทธรูปหลวงพ่อนาก
ศิลปะล้านนา พุทธศตวรรษที่ 20 เป็นพระพุทธรูปมงคลด้วยวัตถุพิเศษ พระองค์สีนาก เนื่องจากเนื้อสัมฤทธิ์มีส่วนผสมของทองคำจำนวนมาก พระเนตรฝังนิล ประทับขัดสมาธิเพชร พระบาททั้งสองข้างจำหลักลวดลายมงคล จารึกฐานพระพุทธรูประบุว่า พระยายุธิษฐิระ เจ้าเมืองพะเยา สร้างเมื่อ พ.ศ. 2019 เดิมคนร้ายขุดคันพบในเจดีย์โบราณที่วัดป่าแดงหลวงดอนไชยบุนนาค จังหวัดพะเยา เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมได้พร้อมของกลางที่จังหวัดลำปาง
ต่อมาหลวงอดุลยธารณ์ ปรีชาไวย์ ผู้พิพากษาจังหวัดเชียงราย ได้ทูลเกล้าฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งเสด็จประพาสมณฑลฝ่ายเหนือ พ.ศ. 2469 จึงพระราชทานให้เก็บรักษาในพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร
พระพุทธรูปแสดงปางสมาธิ หมายถึงการตรัสรู้ธรรม บูชาเพื่อความสุขสงบ เป็นสิริมงคล โชคลาภ และความมีทรัพย์
7. พระพุทธรูปทรงเครื่อง
ปางมารวิชัย ศิลปะล้านนา พุทธศตวรรษที่ 21 สร้างขึ้นตามคติเรื่องชมพูบดีสูตร หรือพระพุทธเจ้าทรงทรมานพระยาชมพูบดี โดยทรงบันดาลพระเวฬุวันวิหารประดุจเมืองสวรรค์ และเนรมิตพระองค์ทรงเครื่องพระจักรพรรดิราช แสดงบุญญานุภาพเหนือพระยามหากษัตริย์ทั้งปวงเพื่อคลายทิฐิมานะแห่งพระยามหาชมพูกษัตริย์ผู้ทรงอานุภาพ และทรงแสดงธรรมจนกระทั่งพระยามหาชมพูสิ้นมานะ ขอบวชเป็นพระสาวกในพระพุทธศาสนา
พระพุทธรูปทรงเครื่องพระมหาจักรพรรดิจึงหมายถึง อำนาจและธรรมอันเป็นแก่นสารยิ่งกว่าอำนาจแห่งทรัพย์สมบัติทั้งหลาย พระพุทธรูปทรงเครื่องยังอาจหมายถึง พระโพธิสัตว์ศรีอริยเมตไตรย พระอนาคตพระพุทธเจ้า คือ พระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 5 ในภัทรกัลป์ ที่จะมาบังเกิดเมื่อสิ้นสุดยุคของพระพุทธเจ้าโคตมะ
บูชาเพื่อยศศักดิ์อำนาจ และเพื่อได้พบพระพุทธเจ้าศรีอริยเมตไตรยในอนาคตกาล
8. พระพุทธรูปประทับรอยพระพุทธบาท
ศิลปะล้านนา พุทธศตวรรษที่ 21 พระพุทธเจ้าประทับรอยพระพุทธบาท ปรากฏในตำนานพระเจ้าเลียบโลกของล้านนา กล่าวว่าครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จจาริกประกาศธรรมโดยเหาะมาทางอากาศ ครั้นถึงสถานที่แห่งใดซึ่งจะเกิดบ้านเมืองเป็นที่สถิตสถาวรของพระศาสนารุ่งเรืองในอนาคตกาล ได้ตรัสพยากรณ์ และเหยียบรอยพระบาทไว้ เป็นเครื่องหมายแห่งการรากลงของพระพุทธศาสนา ซึ่งจะประดิษฐานมั่นคงยั่งยืนเป็นแก่นหลักที่ยึดเหนี่ยวของประชุมชนบ้านเมืองแห่งนั้น พระพุทธเจ้าในอดีตและอนาคตทุกพระองค์ทรงบำเพ็ญพระจริยวัตรเป็นพุทธประเพณีอย่างเดียวกันทั้งสิ้น
พระพุทธรูปประทับรอยพระพุทธบาท จึงทำเป็นพระพุทธรูปยืนกดรอยพระบาท ภายในรอยพระบาม 3 รอย รวมเป็นพระบาท 4 รอย หมายถึงรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าที่ทรงถือกำเนิดแล้วในภัทรกัลป์ปัจจุบันนี้ 4 พระองค์ คือ พระกกุสันโธ พระโกนาคม พระกัสสป และพระโคตรมะ การสักการะบูชาพระพุทธรูปประทับรอยพระบาท จึงเสมือนการถวายอภิวาทพระพุทธเจ้าพร้อมกัน 4 พระองค์
คติการบูชาเพื่อความมั่นคงในพระพุทธศาสนา
9. พระพุทธรูปปางโปรดมหิศรเทพบุตร
ศิลปะรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ 25 พระพุทธรูปจงกรมเหนือมหิศรเทพบุตร หรือ พระศิวะ ทรงโคนนที สร้างตามคติพระพุทธองค์ทรงทรมานมหิศรเทพบุตร ซึ่งปรากฏอยู่ในคัมภีร์โลกบัญญัติ คัมภีร์โลกสัณฐานโชตรตนคัณฐี และคัมภีร์ไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา มีความกล่าวว่า มหิศรเทพบุตรมีความไม่พอใจที่เทวดาทั้งหลายไปนบนอบต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงไปท้าประลองฤทธานุภาพด้วยการซ่อนหา มหิศรเทพบุตรไม่อาจซ่อนตนจากพระญาณของพระพุทธองค์ได้
ครั้นพระพุทธเจ้าทรงเนรมิตองค์เป็นปรมาณูประทับยืนใกล้กับทิพยจักษุของมหิศรเทพบุตร มหิศรเทพบุตรหาไม่พบ จึงยอมจำนน พระบรมศาสดาได้ตรัสเทศนาจนมหิศรเทพบุตรบรรลุธรรม
ภายหลังพุทธปรินิพพาน มหิศรเทพบุตรได้เนรมิตพระพุทธปฏิมาเทินไว้เหนือเศียร อัญเชิญไปประดิษฐานยังพระมหาวิหารบนเขามันทคีรี มหิศรเทพบุตรจึงเป็นผู้ทรงพระพุทธองค์ไว้เหนือเศียรเกล้า บูชาเพื่อขจัดมิจฉาทิฐิ หรือความเห็นผิด
เมื่อผู้อ่านได้ทราบถึงประวัติของพระพุทธรูปวังหน้า พระปฎิมาแห่งแผ่นดิน หลายๆท่านคงเห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์ และคิดว่าเราโชคดีที่เกิดในประเทศไทยที่มีพุทธศาสนายึดเหนี่ยวจิตใจ ในการทำความดีเพื่อความสุข สงบ และพ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ โดยเฉพาะโรคโควิด-19 ในขณะนี้ค่ะ
อ้างอิง:
1. เอกสารแจกในการเข้ากราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์วังหน้า ของ กรมศิลปากร
โฆษณา