17 เม.ย. 2021 เวลา 03:05 • หุ้น & เศรษฐกิจ
📌ย้อนรอยเส้นทาง เงินติดล้อ (TIDLOR)
IPO น้องใหม่กับศึกสายเลือด SAWAD
1
📌ย้อนรอยเส้นทาง เงินติดล้อ (TIDLOR)
บมจ.เงินติดล้อ (TIDLOR) กำลังจะเข้าตลาดหุ้นไทย เป็น IPO ที่ทุกคนจับตา เพราะนอกจากจะจัดสรรหุ้นให้รายย่อยผ่านแบงก์แบบ small lot frist เหมือนหุ้น OR แล้ว ยังเป็นบริษัทที่อยู่ในธุรกิจจำนำทะเบียนรถที่ร้อนแรงในช่วงนี้ แถมยังมีผู้ก่อตั้งกลุ่มเดียวกับ บมจ.ศรีสวัสดิ์(SAWAD) ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อยู่ก่อนแล้ว
3
📌เส้นทางของทั้งสองแบรนด์ ไปแยกทางกันตอนไหน? อะไรทำให้เป็นแบบนั้น? efinanceThai จะสรุปให้ฟัง
1
TIDLOR เกิดขึ้นมาในปี 2523 โดยใช้ชื่อว่า "บริษัท ศรีสวัสดิ์ เพชรบูรณ์ จำกัด" เพื่อดำเนินธุรกิจด้านสินเชื่อในจังหวัดเพชรบูรณ์ โดยมีผู้ก่อตั้งคือ "ครอบครัวแก้วบุตตา" รูปแบบธุรกิจคือใช้ทะเบียนกรรมสิทธิ์รถทุกประเภทมาเป็นหลักประกันในการให้สินเชื่อ หรือที่เรียกกันว่า "จำนำทะเบียนรถ"
โมเดลธุรกิจ "จำนำทะเบียนรถ" ของ "ศรีสวัสดิ์" ในช่วงที่เกิดขึ้นมาใหม่ ตอบโจทย์ลูกค้าในขณะนั้นเข้าพอดี เพราะเป็นช่วงที่ลูกค้ามีความต้องการเงินทุนจำนวนมาก แต่ไม่มีโอกาสรับบริการจากธนาคารและสถาบันการเงิน
4
ด้วยความถูกที่ ถูกเวลา ของธุรกิจนี้ ทำให้ศรีสวัสดิ์ สามารถขยายสาขาไปได้อย่างรวดเร็ว ในปี 2534 หรือจากจุดเริ่มต้นเพียง 11 ปี ศรีสวัสดิ์ขยายสาขาของตัวเองไปแล้วถึง 130 สาขาทั่วประเทศ
4
ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น "บริษัท ศรีสวัสดิ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (1991) จำกัด" สะท้อนถึงตัวธุรกิจที่ไม่ได้อยู่แค่ในจังหวัดเพชรบูรณ์อีกแล้ว
.
3
📌ปี 2550 ในที่สุดจุดพลิกผันของบริษัทก็มาถึง
"อเมริกัน อินเตอร์แนชชั่นแนล กรุป (AIG)" บริษัทประกันภัยสัญชาติอเมริกัน ที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในไทย สนใจธุรกิจจำนำทะเบียนรถของครอบครัวแก้วบุตตา จึงเข้าซื้อธุรกิจ สาขา และเครื่องหมายบริการจาก ครอบครัวแก้วบุตตา ไปทั้งหมด และเปลี่ยนชื่อเป็น "บริษัท ซีเอฟจี เซอร์วิส จำกัด" ทันทีหลังจากเปลี่ยนมือ
4
โชคไม่ดีนักที่ในปี 2551 AIG ต้องเผชิญกับวิกฤติซับไพรม์เข้าพอดี จึงต้องขายธุรกิจศรีสวัสดิ์ ออกมาโดยที่ ครอบครัวแก้วบุตตา เป็นหนึ่งในผู้เจรจาขอซื้อธุรกิจศรีสวัสดิ์กลับคืนมา แต่ผลกลับออกมาว่า "ธนาคารกรุงศรี (BAY)" เป็นผู้ที่ได้ครอบครองกิจการศรีสวัสดิ์ไป และถูกเปลี่ยนชื่อเป็น "ศรีสวัสดิ์เงินติดล้อ" ในปี 2552
2
หลังจากที่ล้มเหลวจากการซื้อธุรกิจกลับมา ครอบครัวแก้วบุตตาตัดสินใจตั้ง "บริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 1979 จำกัด (SAWAD ในปัจจุบัน)" ขึ้นมา เพื่อดำเนินธุรกิจจำนำทะเบียนรถอย่างที่เคยทำอีกครั้ง โดยใช้ชื่อแบรนด์ว่า "ศรีสวัสดิ์" แต่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับ ศรีสวัสดิ์เงินติดล้อเลย
7
📌ตั้งแต่นั้นมา "ศรีสวัสดิ์" และ "ศรีสวัสดิ์เงินติดล้อ" สร้างความสับสนให้กับลูกค้ามาโดยตลอด ซึ่งจากการสำรวจความคิดเห็นในปี 2560 ผู้ใช้สินเชื่อทะเบียนรถถึง 24% ยังมีความเข้าใจผิดอยู่ และกลุ่มลูกค้าของ "ศรีสวัสดิ์" ติดต่อเข้ามาที่ Call Center เงินติดล้อถึง 400 - 500 คน ต่อเดือน
3
จนเงินติดล้อต้องตัดสินใจฟ้องร้อง "ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์" กรณีใช้แบรนด์ "ศรีสวัสดิ์" ซึ่งเครื่องหมายการค้ารูปแบบที่คล้ายกันก่อให้เกิดความสับสน และได้รับผลกระทบจากความสับสนดังกล่าวทั้งในส่วนของผู้ใช้บริการรวมถึงตัวบริษัทเอง
6
แต่สุดท้ายศาลได้ตัดสินยกฟ้องคดี ทำให้ "ศรีสวัสดิ์เงินติดล้อ" ต้องตัดชื่อออกและปรับภาพลักษณ์แบรนด์ครั้งใหญ่ เป็น "เงินติดล้อ(TIDLOR)" ในปัจจุบันนั่นเอง
7
📌แม้ TIDLOR จะเกิดก่อน SAWAD มานาน แต่ปัจจุบันทั้งคู่มีรายได้ใกล้เคียงกันมาก
3
ในปี 63
SAWAD มีรายได้อยู่ที่ 10,993 ล้านบาท มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 4,790 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 43.58%
TIDLOR มีรายได้อยู่ที่ 10,558 ล้านบาท มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,416 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 22.9%
4
ความแตกต่างสุดขั้วของสองบริษัท คือความสามารถในการทำกำไร หากมีรายได้ 100 บาท SAWAD จะมีกำไรสุทธิถึง 43.58 บาท / ขณะที่ TIDLOR จะมีกำไรสุทธิเข้ากระเป๋าเพียง 22.9 บาทเท่านั้น
8
📌สาเหตุก็มาจากทั้งต้นทุนในการขายและบริหาร โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายพนักงานของ TIDLOR ที่สูงกว่า SAWAD ถึง 833 ล้านบาท แต่ที่น่าสนใจคือ TIDLOR กลับมีรายได้ต่อสาขาสูงกว่า SAWAD เกือบ 5 เท่า
4
ตัวเลขสิ้นปี 63
TIDLOR มีสาขา 1,076 สาขา
มีค่าใช้จ่ายพนักงาน เฉลี่ยสาขาละ 2.5 ล้านบาท/ปี
มีรายได้ต่อสาขา 9.8 ล้านบาท/ปี
3
SAWAD มีสาขา 4,750 สาขา
มีค่าใช้จ่ายพนักงานเฉลี่ยสาขาละ 3.9 แสนบาท/ปี มีรายได้ต่อสาขา 2.3 ล้านบาท/ปี
1
สิ่งที่ต้องจับตาก็คือ แผนการระดมทุนจากไอพีโอของ TIDLOR ในครั้งนี้ ส่วนหนึ่งจะนำไปใช้ขยายสาขาเพิ่มขึ้นประมาณ 500 สาขา ภายในปี 2566 เพราะสาขาถือว่าน้อยกว่าคู่แข่งจึงมีโอกาสขยายได้อีก และถ้าหากความสามารถของสาขาใหม่ทำได้ที่สาขาละ 9.8 ล้านบาท/ปี เท่าเดิม ก็เท่ากับว่ารายได้มีโอกาสจะเพิ่มขึ้นมาอีก 4,900 ล้านบาท หรือกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอีก 1,421 ล้านบาท หากใช้อัตรากำไรสุทธิเดิมที่ 22.9%
9
ส่วนต้นทุนทางการเงินก็น่าจะลดลงมาชดเชยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการขยายสาขาได้บ้าง เพราะมีแผนจะชำระหนี้เงินกู้ถึง 5,500 – 6,000 ล้านบาท
ปัจจุบัน TIDLOR มีหนี้สินหมุนเวียน 12,597 ล้านบาท / หนี้สินไม่หมุนเวียนอีก 28,989 ล้านบาท
4
แม้ทั้งสองจะไม่มีความเกี่ยวข้องกันแล้ว มิหนำซ้ำยังเข้ามาอยู่ในสังเวียนเดียวกัน มีความสามารถสูสีกัน การแข่งขันของ SAWAD และ TIDLOR จึงเป็นศึกสายเลือดที่น่าจับตา
3
<<══════════════════════════════════════>>
อีไฟแนนซ์ไทย สำนักข่าวหุ้น-การเงิน-การลงทุน อันดับหนึ่งของไทย
ที่มีผู้เข้าชมเว็บไซต์กว่า 1 ล้านคน/เดือน
อ่านข่าวสารการลงทุนเพื่อหาโอกาสการลงทุนใหม่ๆได้ตลอดวัน
อีไฟแนนซ์ไทย “มีข่าวมีโอกาส” www.efinancethai.com
<<══════════════════════════════════════>>
5
#TIDLOR #IPO #SAWAD #BAY
โฆษณา