18 เม.ย. 2021 เวลา 13:00 • ไลฟ์สไตล์
ข้อคิดจากหนังสารคดี Netflix เรื่อง Rise of Ottoman Empires
หลังจากขาดช่วงไปพักใหญ่ ตอนนี้แอดมินกลับมาแล้ว ^^
1
กลับมาครั้งนี้ก็อยากจะมาแชร์ประสบการณ์ทำสตาร์ทอัพ ที่ได้พบได้เจอมาด้วยตัวเอง แต่ก็ยังอ้างอิงกรณีศึกษาดีๆ ประกอบกันไปด้วยเหมือนเดิมนะ
แต่คงลงบทความบ้าง ไม่ลงบ้าง ตามอารมณ์แอดมินละกัน
โดยวัน เสาร์-อาทิตย์ ที่ผ่านมา แอดมินได้นั่งดูหนังสารคดี Netflix เรื่อง Rise of Ottoman Empires
สารคดีนี้ได้เล่าเรื่อง ช่วงปลายของยุคไบแซนไทน์ (จักรวรรดิโรมันตะวันออก) ที่โดนกลุ่มชนเผ่าเติร์กหรืออาณาจักรออตโตมัน โจมตี โดยมีเป้าหมายเพื่อยึดกรุง คอนสแตนติโนเปิล เมืองหลวงของโรมันตะวันออก (หรือชื่อเมืองในปัจจุบัน ก็คือ กรุงอิสตันบุล ประเทศตุรกี)
แล้วหนังสารคดีเรื่องนี้ มันให้ข้อคิดอะไรบ้าง นำมาใช้กับสตาร์ทอัพได้ไหม
หากพร้อมแล้ว ไปติดตามกันเลย
(หมายเหตุ: เนื้อหาอาจมี spoil หนังเยอะเหมือนกัน แต่ถึง spoil ไปก็น่าจะไปดูอีกได้สนุกอยู่ดี เผื่อเพื่อนๆ มีมุมมองอื่นๆ มาแชร์กันได้)
1
---------------------
การมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่
ในเรื่อง เล่าถึงเหตุการณ์ที่ สุลต่านเมห์เหม็ดที่สอง ได้ขึ้นครองราชย์ครอบครองอาณาจักรออตโตมัน ต่อจากพระราชบิดา ด้วยวัยเพียง 12 ปี
แต่ด้วยความหุนหันพันแล่น ก็ทำให้เขาไม่เป็นที่ถูกใจเหล่าอำมาตย์ เสนา ที่เป็นคนเก่าแก่ของพ่อของเขา นำโดย อำมาตย์ฮาลิล ทำให้อยู่ๆ ก็โดนพระราชบิดายึดบัลลังก์ คืนไปซะอย่างนั้น
อย่างไรก็ตาม สุลต่านเมห์เหม็ดที่สอง ก็ได้ขึ้นครองบัลลังก์อีกครั้งในวัย 19 ปี หลังจากที่พระราชบิดาของเขาเสียชีวิต
และก็ต้องกลับมาเจอกับคู่ปรับเก่า คือ อำมาตย์ฮาลิล บุคคลผู้มีอำนาจหมายเลข 2 รองจากสุลต่าน เท่านั้น
ก็ลองคิดภาพหนังจีน ที่ฮ่องเต้ใหม่ขึ้นครองราชย์ ก็ต้องคอยชิงไหวชิงพริบ อัครเสนาบดีเก่าของฮ่องเต้ องค์เดิม ประมาณนั้นแหล่ะ
แต่กลับมาครั้งนี้ สุลต่านเมห์เหม็ดที่สอง มีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ ที่เขาต้องทำให้สำเร็จให้ได้ ก็คือ การยึดกรุงคอนสแตนติโนเปิล ซึ่งไม่เคยมีใครตีแตกมากว่า 1,100 ปี ให้ได้
ในหนังเล่าว่า ถึงแม้สุลต่านเมห์เหม็ดที่สอง จะนับถือศาสนาอิสลาม แต่สงครามครั้งนี้ เขาไม่ได้มุ่งหวังที่จะทำสงครามศาสนาหรือสงครามครูเซด
แต่เขามองเห็นภาพอาณาจักรใหม่ ในแบบที่ไม่มีใครในยุคนั้นเคยคิดก็คือ การอยู่ร่วมกันของทั้งศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์...
1
---------------------
คิดการใหญ่ ใจต้องนิ่ง
1
ในหนัง มีหลาย scene มาก ที่สุลต่านเมห์เหม็ดที่สอง และอาณาจักรออตโตมัน เพี่ยงพล้ำ สถานการณ์ไม่เป็นใจ
ซึ่งก็มี อำมาตย์ฮาลิล ที่อยู่ฝ่ายเดียวกันก็จริง แต่เหมือนเป็นคู่ปรับซะมากกว่า
โดยอำมาตย์ฮาลิล ไม่เห็นด้วยกับการทำสงตรามแต่แรก แล้วก็คอยแต่พูดแนะนำให้สุลต่าน ยกเลิกความคิดที่จะเอาชนะ ยอมสงบศึกกับบ้านดีกว่า
"เราไม่อาจเอาชนะสงครามนี้ได้ กลับไปตอนนี้ดีกว่า รอเมื่อเราแข่งแกร่งขึ้นกว่านี้ ค่อยกลับมาทำสงครามใหม่"
1
แต่ สุลต่านเมห์เหม็ดที่สอง ก็ยังมุ่งมั่น ที่จะยึดเมืองให้ได้
การยืดเมืองคอนสแตนติโนเปิล นอกจากจะเป็นการทำตามความฝันของเขาแล้ว
ความล้มเหลวในการทำสงครามครั้งนี้ ยังหมายถึงการที่เหล่าทหารของเขา จะเคลือบแคลงในความสามารถของสุลต่าน ไม่เป็นผลดีต่อการครองราชย์
---------------------
ใช้สมอง ไม่ใช่ใช้แต่กำลัง หรือ passion
จริงๆ แล้ว สุลต่านเมห์เหม็ดที่สอง อยากที่จะไปตีกรุงคอนสแตนติโนเปิล ตั้งแต่ตอนขึ้นครองบัลลังก์ครั้งแรก ตอนอายุ 12 ปี แต่ด้วยความที่ยังเด็ก ใช้แต่ความหุนหันพันแล่น ก็เลยโดยยึดบัลลังก์ คืน
แต่สุลต่านเมห์เหม็ดที่สอง ก็ใช้เวลาศึกษาความล้มเหลวในการเข้าโจมตีกรุงคอนสแตนติโนเปิล อย่างละเอียดถี่ถ้วน
และก็ยังกล้าลงทุนในเทคโนโลยีใหม่สุดๆ ในตอนนั้นก็คือ ปืนใหญ่ขนาดยักษ์ยาว 8 เมตร ที่มีชื่อว่า "บาซิลิก้า" ซึ่งไม่มีคนไหนใน โรมันที่กล้าลงทุน แต่สุลต่าน วิเคราะห์แล้วพบว่า มันคือ ปัจจัยสำคัญ ที่จะถล่มกำแพงเมืองให้ได้
1
โดยสุดท้ายด้วยการวางแผนเชิงกลยุทธ์ การใช้เทคโนโลยี ปืนใหญ่เพื่อถล่มกำแพงเมืองยาว 22 กิโลเมตร ที่ไม่มีใครเคยถล่มได้
และความมุ่งมั่น ยังไงก็ไม่ยอมถอดใจ กลับบ้านของสุลต่าน
สรุป อีกทีปัจจัยสำคัญ 3 ข้อ ได้แก่
1) การมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ หลายๆ ครั้งมันใหญ่กว่าตัวเองมากๆ มันเหมือนเป็นพันธกิจ หรือ mission ที่ต้องทำให้สำเร็จ
2) คิดการใหญ่ ใจต้องนิ่ง
3) Passion ก็ส่วนหนึ่ง แต่เวลารบจริง ต้องใช้สมอง นะ ไม่ใช่ใช้แต่กำลังกับอารมณ์
ก็สรุปเอาไว้ประมาณนี้
เพื่อนๆ สตาร์ทอัพหรือผู้ประกอบการ อยากมาแชร์เรื่องราว หรือมีปัญหาอยากปรึกษาแอด ก็ Inbox กันมาได้เลยนะ ยินดีแลกเปลี่ยนกันได้เต็มที่เลย ^^
.
และก็ช่วยกดติดตาม Add Favorites เพจ "The Sandbox ล้มไม่น็อค ช็อคไม่ตาย" กันเอาไว้ เพื่อไม่ให้พลาดเรื่องราวดีๆ
#TheSandboxTH
โฆษณา