"คุณเคยเจอคนเฮงซวยไหมครับ?"
จริงๆควรถามกลับกัน
"ใครไม่เคยเจอคนเฮงซวยบ้างครับ?"
"เฮงซวย" เป็นคำที่ไทยเราเอามาจากภาษาจีนแต้จิ๋ว หมายถึง "โชคไม่ดี" แต่พอเราหยิบยืมมาใช้ความหมายก็แปรเปลี่ยนไป ตามที่พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 ระบุไว้ว่า เฮงซวย คือ เอาแน่เอานอนไม่ได้ คุณภาพต่ำ ไม่ดี
หากให้นิยาม "คนเฮงซวย" ตามแบบฉบับของกระผมเอง ก็จะออกมาดังนี้ครับ
เขา(หรือเธอ) อาจจะไม่ใช่คนเลวนะครับ ไม่ได้คดโกง ไม่ได้เป็นฆาตกร แต่เขาเป็นคนที่คุณไม่อยากจะอยู่ใกล้เป็นที่สุด
เพราะตรรกะสารพันที่เค้าพล่ามพูดออกมา กระผมมักพบว่า มันคือ "ตรรกู"
เราจะอธิบายอะไรไป พูดอย่างไรก็เป็นคนละภาษา หาวุ้นมาแปลก็ไม่สามารถเข้าใจได้ (มุขนี้ต้องแฟนๆโดราเอมอนนะครับ ถึงจะเข้าใจ)
ผมได้ไปเจอหนังสือเล่มหนึ่ง "ศิลปะการอยู่ร่วมกับคนเฮงซวย" ของสำนักพิมพ์อัมรินทร์ ก็คิดได้ว่า คนเฮงซวยนี่มันต้องมีเยอะมาก และผู้ที่มีกรรมกับการอยู่ร่วมกับคนเฮงซวยก็น่าจะมีเยอะมากๆ ในโลกนี้ ถึงขนาดเขียนหนังสือมาขายแปลไปได้หลายภาษา
ในชีวิตกระผมค่อนข้างพัวพันกับคนเหล่านี้ ไม่รู้ว่าตนเองเป็นคนเฮงซวยด้วยรึเปล่าถึงได้ดึงดูดกัน
ถ้าอาวุโสน้อยกว่า "เมตตา" คือธรรมะที่ถูกดึงมาใช้เพื่อให้อยู่รอดกับคนเหล่านี้ครับ
เมตตาเข้าไว้ อย่าเอามาเป็นอารมณ์ (พยายาม)รักและเห็นใจ แต่อย่าได้คิดเลยเถิดไปถึง "กรุณา" คือไปคิดช่วยเค้าให้พ้นทุกข์นะครับ ไม่อย่างงั้นท่านเอง อาจเป็นคนที่จะทุกข์ที่สุด
เมื่อคนพวกนี้ทำอะไร แล้วเค้ามีความสุข โลกไม่เดือดร้อน เราก็ควรจะมี "มุทิตา" ยินดีไปกับเขาด้วยละกันนะครับ แต่คนเฮงซวยมักจะมีลักษณะร่วมอยู่อย่างหนึ่งคือ ความพึงพอใจของพวกเขา มันมักจะสวนกระแสกับความสุขของคนปรกติ ถ้าเค้าล้มเหลว หรือผิดหวัง เราก็อย่าได้ไปซ้ำเติมเค้าเลยนะครับ มันจะกลายเป็นสร้างเวรกรรมกันไม่จบไม่สิ้น สู้หาวิธีหลีกหนี ตัดกรรมกัน ต่างคนต่างอยู่ น่าจะดูเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
แต่ปัญหาของการใช้ช่วงชีวิตหนึ่ง ไปพบประสบเจอกับคนเฮงซวยที่อาสุโสกว่า มีอำนาจต่อการงาน หรือชีวิตคุณได้ อันนี้ซวยล้วนๆ ไม่มีเฮงเลยครับสำหรับเรา ("ซวย" เป็นคำยืมมา แต่มีความหมายตรงกับต้นฉบับ คือ "โชคร้าย"ครับ ส่วน "เฮง" คือโชคดี)
สมัยนี้จะพบข่าวบ่อยขึ้นมาก เกี่ยวกับคนทะเลาะกัน ถกเถียงกัน ลูกค้ากับคนขาย คนข้างบ้านกับคนเรือนเคียง ผู้ให้บริการกับผู้ติดต่อ คนรอกับคนแซง จริงๆอาจเป็นเพราะอารมณ์คนที่ร้อนขึ้น เอาใจเขาสู่ใจเรากันน้อยลง ผนวกกับมือถือที่พร้อมจะบันทึกและแชร์ เป็นกระแสให้ร่วมกันคอมเมนต์
เมื่อมีปัญหาความขัดแย้ง อยู่ที่เรามองในแง่ไหน มุมใคร ตรรกะใด บ่อยครั้งที่ผิดทั้งคู่ แต่ผิดคนละส่วน คนนอกก็ร่วมแสดงความคิดความเห็นตามกรอบประสบการณ์ และมุมมองชีวิตที่ผ่านมาของตน ไปๆมาๆจากวงเล็กก็ขยายไปเป็นวงกว้าง สิ่งเหล่านี้ล้วนสร้างพลังลบให้แก่สังคม
ในชีวิตจริง ลบบวกลบมันไม่ได้กลายเป็นบวกแบบโจทย์คณิตศาสตร์นะครับ ยิ่งเรารับพลังลบจากเรื่องเฮงซวยเหล่านี้มากเท่าใด ชีวิตเราก็ก็ยิ่งซวย ซวย ซวย มากเท่านั้น
"อุเบกขา" คือธรรมะที่กระผมอยากจะแนะนำ ในกรณีที่ท่านพบเจอกับคนเฮงซวยที่อาวุโส และมีอำนาจต่อชีวิตท่าน หรือกรณีที่ท่านประสบตรง พบมา อ่านเจอ เหตุการณ์แห่งความขัดแย้งในสังคม
หลายท่านคงรู้จักอุเบกขามานานเนิ่น หากแต่อาจเข้าใจความหมายคลาดเคลื่อนไปบ้าง
อุเบกขาคือการปล่อยวาง หากแต่ไม่ใช่การปล่อยวางแบบละเลย ไม่สนใจ ใครจะไป ใครจะมา ฉันก็สวมวิญญาณจ่าเฉย
อุเบกขา คือการปล่อยวางที่เกิดจากการมองโลกอย่างที่มันเป็น ไม่คิดบวกคิดลบครับ มองตามเหตุและผลแห่งความเป็นจริง อะไรที่เราช่วยได้เราก็ควรช่วยตามปัญญาและอารมณ์ที่เรามี แต่หากเกินกำลัง หรือช่วยแล้วเราต้องมาเป็นทุกข์เสียเอง อันนี้เราก็ต้องบอกผ่านครับ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ในเมื่อเราทำ "ดีที่สุดแล้ว" เกินกว่านี้ก็ต้องปล่อยวาง จะถามว่าแค่ไหนคือดีที่สุด อันนี้ไม่มีใครตอบได้ดีกว่าตัวท่านนะครับ ดีที่สุดของเราอาจดีไม่พอสำหรับคนอื่น อย่าไปกังวลใดใด ในเมื่อมันคือที่สุดของเราที่ปรารถนาจะทำแล้ว เราคงไปเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ตามมาไม่ได้
คนเฮงซวยก็จะยังดำรงคงอยู่ต่อไปบนโลกที่สวยงามใบนี้นะครับ ตราบใดที่โลกยังหมุนไป มนุษยชาติยังคงอยู่ คนเฮงซวยก็จะเวียนวนอยู่รอบๆตัวเราในทุกๆวันเหมือนกับโควิดนะครับ ที่ไม่มีวันหายไป เพียงแค่แต่ละคนจะเตรียมตัว เตรียมใจ ปกป้อง และจัดการตนเองได้อย่างไรครับ
สู้โว้ย...!!!
asshole
- 5
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
