20 เม.ย. 2021 เวลา 15:10 • ความคิดเห็น
“รู้จักกับ 10 ขุมทรัพย์สุดตระการตาที่ยังไม่ถูกค้นพบ (หรือหายสาบสูญตลอดกาล)"
คงไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเท่าเรื่องราวของสมบัติที่สาบสูญและความร่ำรวยที่ซุกซ่อนอยู่ในพรมแดนของตำนาน แต่เราทุกคนต่างก็รู้ดีว่ามีความจริงมากมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังของตำนานเหล่านี้ และเมื่อเราเจาะลึกลงไปกลับพบคำถามผุดขึ้นมามากมาย
ภายใต้คลื่นแห่งประวัติศาสตร์ที่บ้าคลั่งซึ่งกวาดต้อนเอาความมั่งคั่งไปซุกซ่อนไว้หรือหลบเร้นจากสายตาของโลก อยู่ ๆ ทรัพย์สมบัติมีค่ามันจะหายสาบสูญไปได้อย่างไร วันนี้เราขอนำเสนอเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นของ 10 ตำนานขุมสมบัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกที่ยังไม่ถูกค้นพบมาก่อน จะมีอะไรบ้างไปติดตามกันเลย
1. ขุมทองของนายพลยามาชิตา (Yamashita’s Gold)-ขุมทรัพย์ที่ถูกพิชิตจากสงคราม สงครามและการปล้นชิงเป็นเสมือนเหรียญสองด้าน ไม่เว้นแม้แต่สงครามโลกครั้งที่สองในแนวรบด้านเอเชียแปซิฟิก กองทัพแห่งจักรวรรดิญี่ปุ่นคือผู้พิชิตในสมรภูมิ พวกเขาได้ปล้นทรัพย์สมบัติมีค่าจากประเทศที่ยึดครองกว่า 10 ประเทศ ภายใต้คำสั่งของจักรพรรดิฮิโรฮิโตะและนายทหารระดับสูงของกองทัพ
นายพลโทโมยูกิ ยามาชิตะ (Tomoyuki Yamashita) เสือร้ายแห่งมลายู ผู้ควบคุมการซ่อนสมบัติที่จักรวรรดิญี่ปุ่นปล้นชิงได้ในช่วงสงครามโลก
ทรัพย์สินที่ปล้นชิงมาส่วนมากจะถูกใช้เป็นเงินทุนสำหรับสงครามที่กำลังดำเนินอยู่หรือในอนาคตหลังจากนั้น แต่แล้วเมื่อใกล้จบสงครามทองคำและทรัพย์สินเหล่านี้ถูกขนย้ายไปฟิลิปปินส์ภายใต้คำสั่งของ นายพลโทโมยูกิ ยามาชิตะ (Tomoyuki Yamashita) เพื่อซุกซ่อนจากกองทัพสหรัฐฯ ว่ากันว่าสมบัติที่ว่านี้ถูกซ่อนไว้ในคลังใต้ประมาณ 175 ห้อง ในหมู่เกาะห่างไกลของฟิลิปปินส์
ทหารและวิศวกรที่เกี่ยวข้องกับการซ่อนสมบัติต่างทำเซปปุกุฆ่าตัวตายเพื่อซ่อนมัน แม้ว่าสมบัติเหล่านี้จะถูกพิจารณาว่าสูญหาย แต่แหล่งข่าวหลายแห่งอ้างว่ากองกำลังสหรัฐฯได้กู้คืนสมบัติบางส่วนในช่วงท้ายของสงครามและเงินจำนวนมหาศาลถูกนำไปใช้เพื่อเป็นทุนในการปฏิบัติการลับของอเมริกาในสงครามเย็น แต่ไม่ว่าอย่างไร เราก็คงไม่มีทางรู้ว่าจริงๆแล้วขุมทองของยามาชิตะซ่อนอยู่ที่ไหนกันแน่
2. ดาบแห่งอิสลามของเบนิโต มุสโสลินี (Mussolini’s Sword of Islam) หลังจากพิชิตลิเบียได้ในปี 1934 ผู้นำลัทธิฟาสซิสต์ในอิตาลีอย่าง มุสโสลินีหวังที่จะได้รับการสนับสนุนจากชาวมุสลิมในท้องที่ เขาสนับสนุนการบูรณะมัสยิดและศาสนาอิสลาม จนในปี 1937 การ "รณรงค์" อย่างแข็งขันของเขาก็ได้รับการตอบรับ
ดาบแห่งอิสลามของเบนิโต มุสโสลินี สมบัติที่หายสาบสูญจนถึงปัจจุบัน
ชาวมุสลิมเบอร์เบอร์ในลิเบียได้ประกาศยกย่องให้มุสโสลินีเป็นผู้ปกป้องศาสนาอิสลาม (Protettore dell’Islam) ในโอกาสนี้หัวหน้าพวกเบอร์เบอร์ได้มอบดาบแห่งอิสลามเพื่อเป็นของขวัญแก่มุสโสลินี ดาบเล่มนี้ถูกสั่งทำพิเศษโดย บริษัท Picchiani e Barlacchi จากเมืองฟลอเรนซ์ประเทศอิตาลี มันถูกตกแต่งอย่างประณีตในสไตล์อาหรับด้วยทองคำแท้จำนวนมาก ที่น่าสนใจคือมุสโสลินีเป็นคนสั่งทำเอง
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีดาบเล่มนี้ถูกเก็บไว้ในบ้านพักฤดูร้อนของมุสโสลินี แต่ในช่วงท้ายของสงคราม เกิดการปฏิวัติจนฝ่ายต่อต้านมุสโสลินีบุกเขาไปในบ้านพักส่วนตัวของเขาและปล้นสมบัติต่างๆ ออกมารวมถึงดาบเล่มนี้ด้วย จนถึงปัจจุบันยังไม่มีใครทราบชะตากรรมว่าดาบล้ำค่าเล่มนี้หายไปไหนกันแน่
3. เกาะต้นโอ๊กและสมบัติที่สาบสูญของกัปตันคิด (Oak Island Mysteries and the Lost Treasure of Captain Kidd) เกาะโอ๊กเป็นเพียงเกาะเล็กๆ ที่ไม่น่าสนใจเท่าไร นอกชายฝั่งของโนวาสโกเชียในแคนาดา แต่มันกลายเป็นจุดสนใจเพราะเรื่องราวขุมสมบัติของยอดโจรสลัดอย่างกัปตันคิด (William Kidd)
สมบัติที่สาบสูญของกัปตันคิดอาจไม่ได้อยู่ที่เกาะโอ๊กแต่อยู่ที่มาดากัสการ์
ว่ากันว่าสมบัติที่ถูกฝังไว้ในเกาะแห่งนี้มีมูลค่าถึง 2 ล้านปอนด์ การขุดหาสมบัติยุคแรกน่าจะเริ่มในราวๆปี 1799 โดยชาวนาที่ได้ยินตำนานนิ้เข้า แต่พวกเขาก็ไม่พบอะไร จนกระทั่งเกาะได้ถูกเปลี่ยนมือไปเรื่อย ๆ ทั้งผู้คนและบริษัทจำนวนมากต่างพยายามที่จะขุดค้นสมบัติที่ว่านี้ อนิจจาที่ทุกวันนี้ยังไม่มีใครพบสมบัติที่ว่านี้
แต่ๆ ข่าวล่าสุดพบว่าสมบัติของกัปตันคิดจริงๆแล้วอาจไม่ได้ซ่อนอยู่ที่เกาะต้นโอ๊ก แต่ไกลมาอีกซีกโลกที่เกาะมาดากัสการ์ [2] ซึ่งมีการค้นพบก้อนเงินแท่งที่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มโจรสลัดของกัปตันคิด และสมบัติของเขาอาจถูกซ่อนไว้ที่นี้
4. ชิ้นส่วนกระโหลกโบราณที่ล้ำค่าของมนุษย์ปักกิ่ง (The Peking Man) เรื่องลึกลับที่แปลกประหลาดเรื่องหนึ่งที่ยังคงเป็นปริศนามาจนถึงทุกวันนี้ เกี่ยวข้องกับซากฟอสซิลกะโหลกศีรษะอายุ 500,000 ปีของมนุษย์ยุคแรกในจีนอย่าง Homo erectus pekinensis การค้นพบซากฟอสซิลชิ้นนี้จะเผยให้เห็นข้อมูลเชิงลึกที่สดใหม่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของมนุษย์ยุคโบราณ
ชิ้นส่วนโครงกระดูกของมนุษย์ปั่งกิ่งคือชิ้นส่วนสำคัญที่จะบอกเล่าเรื่องราวของวิวัฒนาการของเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่น่าเสียดายที่มันสาบสูญไปแล้ว
แต่โชดร้ายที่มันไม่เป็นแบบนั้น ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองหลังจากซากฟอสซิลชิ้นนี้ถูกยึดโดยกองกำลังสหรัฐฯ ซึ่งตั้งใจจะส่งมันไปยังพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติแห่งนิวยอร์ก แต่ระหว่างขนส่งมันกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย จนบางคนเชื่อว่ามันอาจถูกปล่อยขายในตลาดมืด ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามเรื่องราวที่น่าสงสัยของฟอสซิลชิ้นนี้ยังคงไม่ได้รับความกระจ่าง
5. ห้องลับที่สาบสูญ : ห้องอำพัน (The Vanishing Chamber) ใช่ห้องทั้งห้องคือสมบัติล้ำค่าคุณฟังไม่ผิดหรอก สมบัติที่ว่าคือห้องที่ถูกตกแต่งด้วยก้อนอำพันและทองคำเปลวอย่างวิจิตร โดยช่างจากราชสำนักปรัสเซียในศตวรรษที่ 18 ภายใต้คำสั่งของกษัตริย์แห่งปรัสเซียอย่างฟรีดริชวิลเฮล์ม ที่สร้างมอบเป็นของขวัญให้แก่ซาร์ปีเตอร์แห่งรัสเซีย
ห้องอำพันที่ถูกสร้างขึ้นใหม่แทนของเดิมที่หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย
ห้องอำพันนี้ถูกติดตั้งในพระราชวังฤดูร้อนแคเทอรีน (Catherine Palace) ในเมืองเซนต์ปีเตอร์ จนกระทั่งถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพกลุ่มเหนือของนาซีเยอรมันได้บุกรุกและปล้นชิงสมบัติจากพระราชวังแห่งนี้ ที่รวมถึงห้องอำพันล้ำค่าด้วย กองทัพนาซีใช้เวลาเพียง 36 ชั่วโมงในการรื้อห้องสมบัติจากห้องอำพันและส่งมันไปยังเมือง Königsberg (ปัจจุบันคือคาลินินกราด) และอยู่ที่นั่นจนถึงปี 1945
แต่ในช่วงใกล้จบสงครามมันก็หายไป ไม่มีใครรู้ว่ามันหายไปได้อย่างไร บ้างก็ว่าฝ่ายพันธมิตรที่ทิ้งระเบิดจนทำลายงานศิลปะชิ้นนี้ หรือบางกระแสก็ว่าทหารซ่อนมันไว้ที่ไหนสักแห่งที่ยังคงเป็นปริศนามาจนถึงทุกวันนี้
6.หีบสมบัติของราชวงศ์โปแลนด์ (The Polish Royal Casket) เมื่อทหารถูกล่อลวงด้วยความโลภ นี้คือเรื่องราวของหีบสมบัติแห่งราชวงศ์โปแลนด์ที่สร้างขึ้นในปี 1800 โดย Izabela Czartoryska ขุนนางชาวโปแลนด์ที่มีชื่อเสียงและสร้างมันขึ้นมาเพื่อเก็บโบราณวัตถุล้ำค่าจำนวน 73 รายการของราชวงศ์โปแลนด์ตลอดหลายยุคสมัย
เดิมที่หีบสมบัตินี้ถูกเก็บไว้ที่คลังสมบัติหลวงที่เมืองคราครอฟ (Krakow) ก่อนที่จะถูกขนย้ายหนีภัยสงครามไปไว้ที่พิพิธภัณฑ์ส่วนตัวของตระกูล Czartorsky ในเมือง Sieniawa ใกล้ชายแดนเยอรมัน น่าเศร้าที่คนงานเชื้อสายเยอรมันของพิพิธภัณฑ์ทรยศประเทศชาติ เขานำหีบสมบัตินี้ไปขายให้ทหารนาซีเยอรมัน นับจากนั้นมาสมบัติโบราณล้ำค่ามากมายในหน้าประวัติศาสตร์โปแลนด์ก็หายไปอย่างลึกลับ
หีบสมบัติที่ล้ำค่าของราชวงศ์โปแลนด์สาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยในช่วงสงครามโลก
7.สร้อยพาเทียลา (Patiala Necklace) สมบัติที่สาบสูญของมหาราชา ในช่วงศตวรรษที่ 19 มหาราชา เซอร์ บูพินเดอร์ ซิงห์ ( Maharaja Sir Bhupinder Singh ) แห่งแคว้นพาเทียลาในอินเดียมีคำสั่งให้บริษัทอัญมนีเลืองชื่ออย่าง Cartier ออกแบบสวยเพชรสุดพิเศษในปี 1928 เพื่อแสดงถึงความมั่งคั่งของพระองค์ ซึ่งในภายหลังสร้อยเส้นนี้จะถูกเรียกว่า "สร้อยพาเทียลา"
สร้อยพาเทียลาประกอบด้วยสร้อยคอทองคำ 5 แถวที่ประดับด้วยเพชรจำนวน 2,930 เม็ด ประดับด้วยทับทิมพม่า และ อัญมณีล้ำค่าอื่นๆ โดยเพชรเม็ดเอกของสร้อยเส้นนี้คือสุดยอดเพชรเดอเบียร์สสีเหลืองหนัก 234.6 กะรัต ซึ่งโด่งดังในฐานะเพชรที่ใหญ่เป็นอันดับ 7 ของโลก สร้อยเส้นนี้ถูกส่งต่อให้มหาราชาคนต่อไปอย่างมหาราชา ยาดาวินดรา ซิงห์ (Maharaja Yadavindra Singh) บุตรชายของมหาราชา เซอร์ บูพินเดอร์ ซิงห์ ในปี 1938
สร้อยพาเทียลา ของมหาราชาเซอร์ บูพินเดอร์ ซิงห์
แต่แล้วสร้อยเส้นนี้ก็หายไปจากคลังหลวงอย่างลึกลับในปี 1948 ก่อนที่จะมีคนพบเพชรสีเหลืองเดอเบียร์สอีกครั้งในสถาบันประมูลชื่อดังอย่าง Sotheby’s Geneva เมื่อปี 1982 ชิ้นส่วนสร้อยที่เหลืออยู่ถูกค้นพบที่ร้านเพชรมือสองในกรุงลอนดอนเมื่อปี 1998 ก่อนที่ในที่สุดบริษัทคาร์เทียร์จะรวบรวมชิ้นส่วนตัวเรือนที่หายไปได้สมบูรณ์และแทนที่เพชรที่สูญหายทั้งหมดด้วยเพชรสังเคราะห์ ก่อนจะถูกนำไปจัดแสดงที่พิพิทธภัณฑ์ของบริษัทคาร์เทียร์จนถึงปัจจุบัน
8. เชิงเทียนเมโนราห์ (menorah) ของชาวยิวจากวิหารเยรูซาเลม สำหรับชาวยิวแล้วเชิงเทียนเมโนราห์คือสัญลักษณ์แห่งพันธะสัญญาที่พระเจ้ามอบให้ชนชาวยิว โดยเชื่อว่ามันถูกสร้างขึ้นโดยโมเสกหลักจากอพยพมายังดินแดนคานาอัน เดิมทีเชิงเทียนนี้ถุกสร้างและเก็บไว้ที่คลังสมบัติในวิหารแห่งเยรูซาเลมหลังที่สอง
แต่หลังจากที่ชาวโรมันสามารถพิชิตกรุงเยรูซาเล็มได้ในปีคริสตศักราช 70 พวกเขาได้ปล้นชิงสมบัติจากวิหารเยรูซาเลมและนำมันกลับไปเป็นรางวัลแห่งการพิชิต ก่อนจะถูกนำไปจัดแสดงที่วิหารแห่งสันติภาพ (Forum of Vespasian) ในโรม แต่แล้วหลังจากกรุงโรมล่มสลายในปี ค.ศ.455 ชาวแวนดัลล์ได้เข้าปล้นชิงสมบัติจากวิหารสันติภาพ รวมถึงเชิงเทียนเมโนราห์ที่หายสาบสูญไปในหน้าประวัติศาสตร์
9. ภาพเขียน The Righteous Judges ในฉากประดับแท่นบูชาเกนต์ (Ghent Altarpiece) ที่สาบสูญ ภาพเขียนล้ำค่านี้ถูกวาดโดยศิลปินนามระบือชาวเฟลมิชอย่าง ยัน ฟัน ไอก์ (Jan van Eyck) มันถูกวาดขึ้นครั้งแรกโดย Hubert พี่ชายของฟันในปี 1420 แต่เขาเสียชีวิตในปี 1426 ฟัน ไอก์ จึงสานต่องานที่เหลือของพี่ชายจนเสร็จสมบูรณ์ในปี 1432 กลายเป็นผลงานยิ่งใหญ่อมตะจนได้รับการยกย่องให้เป็นผลงานชิ้นเอกของศิลปะยุโรปและเป็นหนึ่งในสมบัติล้ำค่าของโลก
ผลงานภาพวาดของยัน ฟัน ไอก์ ที่ถือเป็นสุดยอดงานศิลป์จนถึงปัจจุบัน
ฉากประดับแท่นบูชาเกนต์มีขนาด 4.6 x 3.4 เมตร ประกอบด้วยภาพเขียน 12 ภาพเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ แต่ละภาพมีรายละเอียดซับซ้อนงดงามจับใจมาก ฉากประดับนี้ถูกประดับที่วิหารแห่งเกนต์ในเบลเยี่ยม จนถึงปี 1934 หัวขโมยนิรนามได้ลอบเข้ามาขโมยภาพเขียนส่วน The Righteous Judges ออกไปในตอนกลางคืน โดยทิ้งข้อความลึกลับเอาไว้ว่า “ถูกยึดครองจากเยอรมนีโดยสนธิสัญญาแวร์ซายล์” จนต้องมีการวาดภาพใหม่ขึ้นมาแทนภาพเดิมที่หายไป
ฉากประดับแท่นบูชาเกนต์ที่ประกอบด้วยภาพเขียน 12 ภาพ
แต่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง อดอล์ฟ ฮิตเลอร์สั่งยึดฉากประดับแท่นบูชาเกนต์ไปเก็บไว้ที่เยอรมันเป็นระยะหนึ่งก่อนจะได้รับกลับคืนมา แต่ก็มีภาพบางส่วนเสียหายจนต้องมีการบูรณะและคัดลอกภาพใหม่ทดแทน จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครทราบชะตากรรมของภาพ The Righteous Judges ว่าถูกขโมยไปไว้ที่ไหนกันแน่
10. ไม้กางเขนทองคำ Tucker's Cross สมบัติสาบสูญที่เพิ่งถูกค้นพบแล้วก็หายไป ไม้กางเขนนี้วัตถุชิ้นเดียวที่มีค่าที่สุดเท่าที่เคยกู้มาจากเรืออับปางของสเปนชื่อ San Pedro ที่จมในปี 1594 สมบัติชิ้นนี้ถูกค้นพบในปี 1955 โดยนักสำรวจ Teddy Tucker นอกชายฝั่งเกาะเบอร์มิวด้าพร้อมกับสมบัติอีกหลายชิ้น แต่ไม้กางเขนคือสมบัติที่มีค่าที่สุด ประเมินกันว่ามันมีมูลค่ากว่า 2 ล้านเหรียญเมื่อเทียบกับค่าเงินในปัจจุบัน
ไม้กางเขนทองคำของ Teddy Tucker สมบัติล้ำค่าที่ถูกค้นพบและหายสาบสูญในเวลาต่อมา
กางเขนถูกสร้างด้วยทองคำน้ำหนัก 22 กะรัตประดับด้วยมรกตเม็ดโต ไม้กางเขนชิ้นนี้ถูกนำมาจัดแสดงที่พิพิทธภัณฑ์ส่วนต้วของ Tucker แต่แล้วในปี 1975 Tucker ก็พบว่ากางเขนทองคำถูกขโมยไปแล้ว โดยถูกสับเปลี่ยนด้วยของปลอมที่ทำด้วยพลาสติกจำลองที่ไม่ค่อยเนียนนัก และแล้วสมบัติล้ำค่าก็หายสาบสูญไปอีกครั้ง
โฆษณา