ขอเริ่มประวัติคร่าวๆของเมืองนี้กันก่อน Bruges มาจากคำว่า “by the sea”🏖เมืองริมทะเล โดยเริ่มเป็นเมืองอย่างจริงจังย้อนไปก่อนคริสต์ศักราชถึง 100 ปีตั้งแต่สมัย Julius Caesar มาพิชิตพื้นที่แห่งนี้ที่เป็นของชาว Menapii แต่ราวศตวรรษที่ 12 ยาวมาจนถึงศตวรรษที่ 15 Bruges กลายเป็นเมืองท่าแห่งการค้าขายที่รุ่งเรืองแห่งยุโรปตอนเหนือ แถมยังได้รับฉายาว่าเป็น🛶Venice of the North กรุงเวนิสแห่งตอนเหนือ เนื่องด้วยมีลำคลองอยู่หลายเส้นหลายทาง มีทั้งเชื่อมต่อกับทะเล North Sea และเชื่อมต่อกับเมืองอื่นๆอย่าง Ghent และ Ostend
เมือง Bruges ค.ศ. 1572 จะเห็นมีคลองล้อมและสามารถผ่านเข้าออกเมืองได้ Picture: sanderusmap
ด้วยความที่เป็นเมืองท่าสำคัญของยุโรป เมือง Bruges💰เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดในเมืองนั้นเต็มไปด้วยเศรษฐีที่ร่ำรวยมาจากการค้าขาย ช่วงต้นศตวรรษที่ 13 และทำให้ระบบการค้าแบบโบราณนั้นล้มสลาย เหล่าพ่อค้าได้คิดค้นการค้าแบบใหม่จะพัฒนามาจากการค้าของชาวอิตาลีที่เป็นแบบระบบทุนนิยม โดยเหล่าพ่อค้าจะแชร์ความเสี่ยง-กำไรขาดทุนจากประสบการณ์ของตนแล้วสร้างระบบการแลกเปลี่ยนทางการค้าเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการสร้างตั๋วแลกเงิน (ประเภท Letter of Credit ตราสารเครดิต)กับตั๋วสัญญาใช้เงิน และในปีค.ศ. 1302 Bruges ก็มีการจัดตั้ง The Bourse อาจนับเป็นตลาดระดมทุนแห่งแรกของโลกซึ่งเปรียบได้กับตลาดหุ้นหรือ Stock Exchange ในปัจจุบัน
แน่นอนว่า Bruges กลายเป็นเมืองเนื้อหอมสำหรับพ่อค้าโดยเฉพาะพ่อค้าขนสัตว์ชาวต่างชาวจากทุกมุมโลก ราวปลายศตวรรณที่ 14 ถึงกลางศตวรรษที่ 15 พ่อค้าชาว Basques ซึ่งเป็นชาวสเปนตอนเหนืออาศัยอยู่ช่วงรอยต่อสเปน-ฝรั่งเศส ได้จัดตั้งสถานกงสุลพาณิชย์ขึ้นใน Bruges ทำให้เกิดเป็นแบบอย่างของการค้าสมัยใหม่ที่ใช้รัฐเป็นคอยผู้ดูแลและสนับสนุนให้คนของตนได้เข้าถึงสินค้าที่ดีและมีความยุติธรรมทางการค้า ทำให้พ่อค้าชาวอิตาลี่-เยอรมัน จึงนำรูปแบบนี้ไปขยายต่อในเขตการค้าขายในเมืองอื่นในยุโรปและจัดทำการกฏหมายการค้าของตนเองขึ้นมาในแต่ละท้องถิ่น ช่วงเวลาเดียวกันเมืองข้างเคียงอย่าง Antwerp สร้างท่าเรือขนาดใหญ่สำหรับการค้าเสื้อผ้าและขนสัตว์พ่อค้าชาวต่างชาติจำนวนมากได้ย้ายฐานการค้าไป ซึ่งนั้นนำมาสู่การล้มสลายของเศรษฐกิจของเมือง Bruges
Picture: apollo-magazine
ไม่แค่นั้นในปลายศตวรรษที่ 16 Bruges🌊เกิดภัยพิบัติอย่างหนัก ทำให้คลองหลายสายตื้นเขินส่งผลต่อเรือเดินสมุทรใหญ่ๆที่เคยเทียบท่าได้ ทำให้ชนชั้นแรงงานรายได้หดหาย แต่พ่อค้ายังพอหันไปค้าขายกับเมืองข้างเคียงได้ ซ้ำร้ายช่วงปลายศตวรรษที่ 17 เมือง Bruges ต้องตกต่ำอย่างต่อเนื่องด้วยปัญหาทางการเมืองกับความเหลื่อมล้ำทางสังคม แล้วยังมีสงครามกลางเมืองกับการปฏิวัติการปกครองซ้ำเติมอีก เวลาผ่านไปราวค.ศ. 1850 เมือง Bruges ก็ได้กลายเป็นเมืองที่ยากจนที่สุดในประเทศ Belgium
ภาพ Ice Skating on the Canal, Bruges Louis-Claude Malbranche (French,1790-1838) Picture: artnet
เพราะเคยรุ่งเรืองจึงมีร่องรอยของประวัติศาสตร์หลงเหลืออยู่มาก อีกทั้งยังมีพิพิธภัณฑ์ที่รวมสถาปัตยกรรมชั้นเลิศไว้มากมาย สหภาพยุโรปได้ระดมงบประมาณจำนวนมากเพื่อช่วยเหลือบูรณะเมือง Bruges ช่วงปลายค.ศ. 1980-90 ให้กลับมาสวยงามมีความโรแมนติกผสมคลาสิกแบบยุค🕍Renaissance จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลก World Heritage Site of UNESCO และแน่นอน Bruges กลับมาสดใสอีกครั้ง จนกลายเป็นเมืองยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก
📸โพสต์นี้จะแนะนำสถานที่เที่ยวที่ต้องไปใน Bruges คร่าวๆไว้ก่อนอย่าง Markt Square บริเวณเดียวกันยังมี Provinciaal Hof Grand Building กับ Belfry หอระฆัง เดินมาอีกนิดจะเจอที่ว่าการเมือง Bruges City Hall ติดกับ Basilica of the Holy Blood Church ที่บรรจุผ้าซับโลหิตของพระเยซูเจ้าหลังถูกตรึงบนไม้กางเขน เดินต่อไปอีก ก็มาถึงสะพาน Nepomucenusbrug ตรงนี้เป็นจุดที่เราสามารถซื้อตั๋วนั่งเรือลัดเลาะตามลำคลองเพื่อชมเมืองได้ ต่ออีกสะพานที่เป็นจุดถ่ายรูปสวยๆอย่าง Bonifaciusbrug กับ Church of Our Lady Bruges และพิพิธภัณฑ์ Gruuthuse, Groeninge และ Sent-Janshospitaal เอาสถานที่หลักๆแค่นี้ก่อน ก็เที่ยวทั้งวันแล้วครับ
Picture: เที่ยวยุโรปไปตามอารมณ์
ด้วยความสวยงามของเมือง Bruges แม้เราไม่ชอบเที่ยวแนวโบสถ์หรือไม่ชอบนั่งเรือ เราก็เดินเล่นเรียบคลองชมเมืองได้สบายๆเพราะสวยทุกซอกทุกมุมจริงๆ ต้องขอขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ ฝากกด Like กดติดตามเพจน้องใหม่เที่ยวยุโรปไปตามอารมณ์ / เที่ยวอังกฤษไปตามอารมณ์ / เที่ยวฝรั่งเศสไปตามอารมณ์ ด้วยนะครับ