มหัศจรรย์แห่งถ้ำพญานาคา ตอนที่ 2
(โปรดใช้วิจารณณาณในการเสพ)
หลังจากที่ผมได้พาให้ทุกท่านได้รู้จักกับถ้ำพญานาคากันแล้ว ในตอนที่ 1 ไม่ว่าจะเป็นประวัติความมา, ส่วนต่างๆ ของถ้ำ หรือความพิเศษแปลกประหลาดของถ้ำแห่งนี้
ในครั้งนี้จะเป็นเรื่องราวที่แปลกประหลาด เกี่ยวกับสิ่งลี้ลับที่เกิดขึ้นระหว่างผม กับถ้ำแห่งนี้ โดยเรื่องราวเริ่มมาจาก โยมร่างทรงท่านเดิม (จากตอนที่ผ่านมา) ได้มาหาผมถึงที่วัด พร้อมกับชักชวนให้ผมไปที่ถ้ำ เพื่อนิมนต์ให้
พระท่านมาทำการพิธีตั้งศาลเจ้าที่ ซึ่งผมก็ตกปากรับคำ ด้วยความยินดี นั่นเป็นเพราะผมมีความชื่นชอบถ้ำแห่งนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อีกอย่างผมก็เป็นห่วงโยมร่าง ไม่อยากให้เดินทางไปกับคนขับรถและภรรยาที่เช่ารถมาโดยลำพัง ซึ่งวันที่โยมร่างมาชวนเป็นเวลาสายมากแล้ว และกว่าเดินทางไปถึงยังถ้ำแห่งนั้นก็เป็นเวลาช่วงหัวค่ำพอดี แม้ว่าจะเป็นช่วงหัวค่ำ แต่ด้วยความที่อยู่ในป่าที่ค่อนข้างลึก ไฟฟ้าไม่สามารถเข้าถึงได้ ทำให้บรรยากาศรอบๆ นั้น มืดมากราวกับว่าช่วงเวลานั้นเป็นเวลาที่ดึกมากแล้ว
เมื่อมาถึงยังจุดหมายแล้ว ก็ได้จอดรถไว้ที่ตีนเขา ก็ให้คนขับรถบีบแตร เพื่อเรียกให้พระท่านลงมารับที่ตีนเขา สลับกับการตะโกนเรียกเป็นระยะๆ (ต้องบอกว่าในการมานิมนต์พระท่านในครั้งนี้ ไม่ได้มีการนัดท่านไว้ล่วงหน้า) (และเนื่องด้วยในสมัยนั้นการสื่อสารไม่สะดวกสบายเหมือนในสมัยนี้ การที่จะนัดหมายพระท่านต้องโทรฝากข้อความไว้กับร้านขายของชำร้านหนึ่ง และให้เจ้าของร้านชำ ส่งต่อข้อความ ให้กับท่าน เมื่อท่านได้แวะไปยังที่ร้านนั้น ซึ่งก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าท่านจะแวะที่ร้านแห่งนั้น
รึเปล่า การมานิมนต์ท่านด้วยตัวเองน่าจะรวดเร็วที่สุด)
หลังจากที่บีบแตร ตะโกนเรียก และรอให้ท่านลงมารับผ่านไปสักช่วงเวลาหนึ่ง ก็ไม่มีทีท่าว่าท่านจะลงมา ก็เลยลงคิดว่าท่านอาจจะจำวัดแล้วหรือเปล่า โยมร่างจึงได้ชวนให้ทุกคนขึ้นไปเรียกท่านที่ด้านบนเขาด้วยกัน แต่คนขับรถกับภรรยาปฏิเสธไม่ขึ้นไป ขอรออยู่ที่ตีนเขาดีกว่า สุดท้ายก็มีเพียงผม กับโยมร่างเท่านั้นที่ขึ้นไปยังบนเขา
ด้วยความที่รีบมาจึงไม่ได้เตรียมไฟฉายติดตัวมาด้วย โชคยังดีที่คืนนั้นเป็นคืนเดือนหงาย ยังพอที่จะอาศัยแสงสว่างจากดวงจันทร์ในการมองทางขึ้นเขา บวกไฟแช็คที่ยืมมาจากคนขับ 1 อัน ไว้สำหรับจุดตรงที่มืดจริงๆ
เมื่อมาถึงยังปากถ้ำ และได้มองเข้าไปยังด้านในถ้ำ ปรากฏว่าถ้ำนั้นมืดสนิท ไม่มีแม้แต่แสงไฟจากเทียน หรือ ตะเกียง ที่ปกติพระท่านต้องจุดเป็นประจำทุกวัน แต่ก็ยังคงคิดว่าท่านอาจจะจำวัดแล้ว จึงได้ตะโกนเรียกท่านผ่านประตูกรงเหล็ก พร้อมกับจุดไฟแช็คเพื่อที่จะดูว่าท่านอยู่ด้านในหรือเปล่า แต่ไฟแช็คไม่สามารถจุดได้นาน หากจุดบ่อยๆ เฟืองที่จุดก็จะร้อนมาก
ในขณะที่ยืนอยู่ที่ปากถ้ำ สายตาของผมก็เหลือบไปมองที่ก้อนหินน้อยใหญ่ที่วางเรียงบริเวณปากถ้ำ
ผมเห็นเหมือนบางสิ่งบางอย่างเป็นเงาดำ ทะมึน ค่อยๆ โผล่หัวออกมาอย่างช้าๆ ผ่านก้อนหินเหล่านั้นออกมา
เมื่อผมพยายามเพ็งมองเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด หรือคิดไปเอง ปรากฏว่าสิ่งที่ผมเห็นนั้น ไม่ใช่หัวคน
แต่เป็นเหมือนหัวงู ที่มีขนาดใหญ่มาก ประมาณหนึ่งฝ่ามือของผู้ชาย 1 มือ ด้วยความที่มืดมากทำให้ผมไม่แน่ใจว่าใช่อย่างที่เห็นหรือไม่ จึงค่อยๆ กระซิบ โยมร่างให้รู้ตัว และชี้ไปยังหัวงูที่อยู่ตรงนั้น เมื่อโยมร่างหันไปมองและเห็นเงานั้น ถึงกับอึ้งอยู่สักพักนึง พร้อมกับบอกให้ผมจุดไฟแช็ค เพื่อดูให้แน่ใจว่าใช่อย่างที่เห็นรึเปล่า พอผมจุดไฟแช็คขึ้นมา เงาหัวงูนั้นก็หดตัวหายเข้าไปในซอกหินทันที เหมือนหลบแสงไฟ แต่พอดับไฟแช็ค เงาหัวงูนั้นก็โผล่ออกมาที่จุดเดิมอีกครั้ง โยมร่างก็ให้จุดไฟอีกที พอผมจุดไฟ เงาหัวงูนั้นก็หดกลับเข้าไปเหมือนเดิม คราวนี้คิดว่าคงชัดแล้วว่าเงานั้นคือเงาของอะไร โยมร่างจึงได้รีบชวนให้ลงมาจากบนเขา ไปสมทบกับคนขับและภรรยาที่รออยู่ที่ตีนเขา ก่อนมาถึงตีนเขาโยมร่างบอกว่าไม่ต้องเล่าให้ฟังว่าเจออะไรมา เดี๋ยว 2 คนนั้นกลัว พอมาถึงตีนเขาก็บอกว่าท่านคงไม่อยู่ ให้รอท่านกลับมาอยู่ที่ด้านล่างละกัน ซึ่งผมก็ได้แต่อยู่เงียบๆ และนึกถึงสิ่งที่เพิ่งเห็นมาเมื่อ
สักครู่นี้
ขณะที่ผมกำลังยืนคิดอยู่นั้น จู่ๆโยมร่างและคนขับรถก็ตะโกนเรียกพระท่านขึ้นมา โดยหันหน้าไปทางบนเขา
ผมก็คิดว่าไหนว่าพระท่านไม่อยู่ ทำใมถึงยังตะโกนเรียกอีก แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดคือคนขับรถได้พูดออกมาว่า
"ไปละโว้ย ใครจะอยู่รอก็อยู่" แล้วก็รีบวิ่งขึ้นรถพร้อมกับภรรยา โยมร่างก็รีบหันมาเรียกผมว่า "ไปเณร ขึ้นรถเร็ว"
ผมก็ไม่รอช้ารีบตามขึ้นรถไปติดๆ โดยไม่ทันได้ถาม
อะไรทั้งนั้น ทันทีที่ผมขึ้นรถ คนขับรถรีบขับออกตัว
อย่างรวดเร็ว
เมื่อขับออกมาพ้นเขตป่า และเข้าสู่ตัวหมู่บ้านมาระยะหนึ่ง จึงได้จอดรถแล้วลงมาคุยกันที่ศาลาประจำหมู่บ้านว่าเมื่อสักครู่นี้เกิดอะไรขึ้น
คนขับก็ได้พูดขึ้นมาก่อนเลยว่า
"โอ้ยยย! เกิดมาไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน"
ผมก็ถามว่า : " โยมเจออะไรเหรอครับ"
คนขับ : เณร ไม่ได้ยินเสียง เคาะไม้เหรอครับ
ผม : "ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยครับ"
"แล้วได้ยินเสียงเคาะแบบไหนเหรอครับ"
คนขับ : "ตอนแรกได้ยินเสียงเคาะไม้ดัง 1 ป๊อก ผมเลยตะโกนเรียก คิดว่าเป็นหลวงพ่อลงมา" "ทีนี้มีเสียงเคาะมาอีก ป๊อกๆ ป้าร่าง แกยังตะโกนเรียกเลย" "ยิ่งเรียกพระท่านเท่าไหร่ เสียงเคาะก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็น 3 ป๊อก 4 ป๊อกและใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พอใกล้เข้ามามากๆ ทีนี้เสียงเคาะรัวดัง ป๊อกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เลย นั่นแหละผมก็ไม่อยู่แล้ว ตัวใครตัวมันเลยครับ ผมว่ามันไม่ใช่แล้ว"
หลังจากพูดคุยกันสักพัก โยมร่างจึงตัดสินใจกลับกัน
ดีกว่า ระหว่างทางผมก็ได้ถามโยมร่างว่า
ผม : "แต่ทำใมผมไม่ได้ยินละครับ"
โยมร่าง : "สงสัยเขาปิดหู ไม่ให้เณรได้ยิน
เดี๋ยวเณรจะกลัว"
ผม : แล้วเสียงเคาะนั่นคืออะไรครับ
โยมร่าง : คิดว่าเป็นเจ้าที่ออกมาเคาะไล่ให้กลับเพราะเราคงไปส่งเสียงรบกวนเขา
ผม : แล้วงูที่โผล่หัวออกมาตรงซอกหินละครับ
โยมร่าง : ก็คงเป็นเจ้าที่ที่ดูแลถ้ำนั่นแหละ คงออกมาดูว่าเป็นใครที่มาส่งเสียงที่หน้าถ้ำ
เรื่องราวที่ได้พบได้เจอมานี้ นับว่ายังมีความโชคดี
ที่เจ้าที่ยังมีความเมตตา ไม่ออกมาให้เห็นให้ได้ยินในรูปแบบที่น่ากลัวมาก ไม่อย่างนั้น ทุกคนอาจจะสติแตกมากกว่านี้ เช่น งูโผล่ออกมาให้เห็นแบบเต็มตัว แล้วแผ่พังพานออกมาไล่ฉก หรือ เสียงเคาะไม้นั้น ไม่ได้มาแค่เสียง แต่ออกมาเห็นเป็นตัวเป็นตน ถ้าเป็นแบบนั้นคงจะแย่สุดๆไปเลย เพราะรอบๆ คือป่าและเขา ไม่รู้จะวิ่งหนี
ไปทางไหน ยิ่งคิดก็ยิ่งน่ากลัว
เรื่องราวที่เกี่ยวกับถ้ำแห่งนี้ยังไม่จบแต่เพียงเท่านี้
ยังเรื่องราวแปลกๆ เกิดขึ้น หลังจากที่ผมได้มาจำพรรษา ที่ถ้าแห่งนี้กับพระท่าน
โปรดติดตามมหัศจรรย์แห่งถ้ำพญานาคา ตอนที่ 3
เร็วๆ นี้นะครับ....