22 เม.ย. 2021 เวลา 06:40
มันนีโค้ช ไดอารี DAY 29: 1 เล่ม 1 บทเรียนเปลี่ยนชีวิต
1
ผมเองเป็นคนชอบอ่านหนังสือ ไม่ว่าจะแนวไหน อย่างไร อ่านได้หมด ทั้งพัฒนาตัวเอง การเงิน จิตวิทยา การตลาด การเมือง กีฬา วรรณกรรมเยาวชน นิยายไทย นิยายฝรั่ง รวมไปถึงกำลังภายใน และอื่นๆ
4
นอกจากชอบอ่านแล้ว ผมยังรักที่จะทำงานกับหนังสืออีกด้วย ทั้งงานเขียน งานแปล งานบรรณาธิการ จนมาถึงการเป็นเจ้าของสำนักพิมพ์ เรียกได้ว่า เวลาทุกช่วงของชีวิตผม มีหนังสือเป็นเพื่อนเสมอ
2
ไม่เพียงแต่อ่านเองรู้เองเท่านั้น … ผมมักจะแนะนำคนรอบตัวให้อ่านหนังสืออยู่เสมอ ด้วยรู้สึกปรารถนาดี อยากให้คนที่เรารู้จัก หรือคนที่เรารักได้อ่านหนังสือดีๆ เหมือนกันกับเรา
และทุกครั้งที่แนะนำหนังสือให้อ่าน ผมก็มักจะพูดบอกอยู่เสมอว่า “เมื่ออ่านจบ ให้ลองหยิบเรื่องดีๆ หรือมุมคิดดีๆ ในหนังสือ ไปปรับใช้กับชีวิตของตัวเองดู”
2
เพราะความจริงข้อหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยก็คือ “คนเรานั้นแม้จะอ่านหนังสือเยอะ หรืออ่านได้มากแค่ไหน แต่หากไม่ได้เรียนรู้อะไรจากสิ่งที่อ่าน หรือนำไปปรับใช้ให้ชีวิตดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น ก็ถือว่ายังไม่ได้อ่านนั่นแหละ”
5
ยิ่งอ่านเยอะ รู้แยะ แต่ไม่ได้เอาไปใช้เลย อันนี้ก็คงไม่ต่างอะไรกับคนที่ยังไม่ได้อ่าน เพราะรู้แล้วไม่ทำ ก็มีค่าเท่ากับยังไม่รู้
3
ครั้งหนึ่ง ผมไปบรรยายที่โรงไฟฟ้าแม่เมาะ จ.ลำปาง จำได้ว่าขณะรถที่มารับวิ่งผ่านสี่แยกใหญ่ก่อนเข้าสู่ตัวเมือง มีป้ายขนาดใหญ่อันหนึ่ง แสดงพระบรมฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระเทพฯ พร้อมข้อความที่ท่านเคยตรัสพระราชทานให้ไว้ เป็นตัวหนังสือขนาดใหญ่ เขียนไว้ว่า
1
“หนังสือเปลี่ยนชีวิตคนเราได้”
11
อ่านจบแล้วรู้สึกปิ๊งกับประโยคดังกล่าวและเชื่ออย่างสนิทใจเลยว่า “จริง”
เพราะทุกครั้งที่อ่านหนังสือจบ 1 เล่ม หากเราลองสรุปบทเรียนที่ได้จากหนังสือ ทั้งเล่มเอาแค่เรื่องเดียวบทเรียนเดียวก็พอ (1 Book 1 Lesson) ที่คิดว่า “ชอบ”​ หรือ “รู้สึกดี” ที่เน้นว่าให้เลือกที่เราชอบ เพราะเมื่อชอบหรือรู้สึกดี ก็จะอยากเอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับตัวเอง
1
สิ่งหนึ่งที่คุณจะได้พบจากการหยิบบทเรียนดีๆ จากหนังสือมาปรับใช้กับชีวิตก็คือ เวลาทำจริงๆ มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ประเภททำปุ๊บได้ปั๊บ อันนั้นมันในการ์ตูน ในชีวิตจริงมันมีเรื่องที่ต้อง “เรียนรู้” เพิ่มเติม เวลาลงมือทำอีกเยอะเลย
ยกตัวอย่าง หนังสือเล่มหนึ่งที่ผมได้อ่านตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัย เป็นเล่มที่ชอบมาก เพราะเป็นพื้นฐานการเงินง่ายๆ อ่านแล้วปฏิบัติตามได้ทันที นั่นคือ The Richest Man in Babylon จำได้ว่าเล่มนึงราคาร้อยกว่าบาท แต่อ่านแล้วเปลี่ยนแปลงชีวิตการเงินของผมไปอย่างมาก
1
บทเรียนที่จำได้แม่นตั้งแต่อ่านครั้ง​แรกก็คือ “เก็บออมหนึ่งในสิบของเงินที่หามาได้ (10%)” อ่านจบผมก็เริ่มเลย หลักคิดหนะง่าย แต่พอทำจริง กว่าจะทำได้ตามตัวหนังสือ บอกเลยไม่ง่าย 555
เริ่มครั้งแรก … รอให้เหลือแล้วออม สุดท้ายทำไม่ได้ กินเรียบ
ครั้งที่สอง … หักออม 10% เอาเข้าจริง ปลายเดือนถอนมาใช้ ไม่ไหวโว้ย
1
ครั้งที่สาม … หักอัตโนมัติ 10% ปลายเดือนหิวโซอีกตามเคย
สุดท้าย … หักอัตโนมัติ 5% ปลายเดือนไม่เดือดร้อน ทำได้นาน
พอเริ่มเก็บ 5% ได้ ก็เริ่มมีกำลังใจ สุดท้ายก็ปรับเพิ่มเป็น 10% แล้วก็เพิ่มขึ้นๆ เรื่อย จนปัจจุบันผมเก็บได้อย่างน้อย 50-60% ของรายได้ทุกเดือน
นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของการประยุกต์ใช้บทเรียนจากหนังสือกับชีวิตประจำวันของผม
วันนี้อยากชวนคุณผู้อ่านทุกคนครับว่า ทุกครั้งที่อ่านหนังสือจบ อย่าให้มันเป็นเพียงอีก 1 เล่มที่อ่านจบไป
แต่ขอให้เป็นอีกหนึ่งเล่มที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตเราไปในทางที่ดีได้ขึ้น อย่างน้อยก็อีก 1 มิติในชีวิต อาจจะเป็นด้านสุขภาพ ความสัมพันธ์ การงาน การเงิน การพัฒนาตัวเอง หรือแบ่งปันคืนสู่สังคม อะไรก็ได้
2
แค่ 1 BOOK 1 LESSON สำหรับหนอนหนังสือทุกท่าน รับรองได้ว่าชีวิตของคุณจะเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างมากมาย
ว่าแล้วแชร์กันหน่อยก็น่าจะดีนะ ว่าเล่มล่าสุดที่คุณอ่าน คืออะไร และคุณหยิบบทเรียนใดจากหนังสือเล่มนั้น ไปปรับใช้ให้ชีวิตดีขึ้นบ้าง
#1Book1Lesson
#TheMoneyCoachTH
ข้อมูลหนังสือ The Richest Man in Babylon: เขียนขึ้นในปี คศ. 1926 โดย George S. Clason ถือได้ว่าเป็นหนังสือการเงินที่ได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวาง และหลายๆ คำสอนในหนังสือ ไม่ว่าจะเป็น “7 วิธีเยียวยาถุงเงินที่ว่างเปล่า” และ “กฎ 5 ข้อแห่งทองคำ” ก็ยังคงสามารถประยุกต์ใช้ในปัจจุบันได้อย่างร่วมสมัยเลยทีเดียว
2
โฆษณา