23 เม.ย. 2021 เวลา 01:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ
เจาะลึกความเหลื่อมล้ำไทย แก้ได้ไหม แก้อย่างไร
KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร เผยว่าเมื่อต้นปี 2021 ที่ผ่านมา ธนาคารโลก (World bank)
1
รายงานว่าการระบาดของโควิด-19
ทำให้ประเทศไทยมีผู้ที่เสี่ยงที่จะมีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน
หรือระดับรายได้ไม่เพียงพอที่จะใช้ในชีวิตประจำวันเพิ่มขึ้นอีก 1.5 ล้านคน
สะท้อนถึงความเปราะบางของครัวเรือนไทยต่อภาวะวิกฤตและมาตรการช่วยเหลือจากรัฐที่ยังไม่เพียงพอ
จากข้อมูลของ World Bank
แม้ในระยะยาวระดับความยากจนในไทยจะลดลงค่อนข้างมาก
คือจากระดับมากกว่า 65% ในปี 1988
1
มาอยู่ที่น้อยกว่า 10% ในปี 2018
แต่หากดูเฉพาะตัวเลขในช่วงสั้นๆ กลับพบว่าระหว่างปี 2015-2018
คนจนในไทยเพิ่มขึ้นจาก 7.2% เป็น 9.8%
โดยเพิ่มขึ้นจาก 4.85 ล้านคน
1
เป็นมากกว่า 6.7 ล้านคน
สะท้อนภาพว่าความสำเร็จในการลดปัญหาความยากจน
และความเหลื่อมล้ำจากการเติบโตของเศรษฐกิจในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา
เริ่มถึงจุดที่จะไปต่อได้ยาก หรือถึงจุดที่จะเริ่มกลับกลายเป็นปัญหาขึ้นมาอีกครั้ง
และเป็นเรื่องที่รัฐบาลไทยต้องเร่งหาทางแก้ไขโดยเร็วก่อนที่จะสาย
ในบทความที่ผ่าน ๆ มา KKP Research
1
ได้วิเคราะห์ให้เห็นถึงปัญหาการเติบโตของเศรษฐกิจที่มาจากโครงสร้างเศรษฐกิจที่ไม่เอื้อต่อการเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพในอนาคตพร้อมกับเสนอทางออกที่ควรเร่งผลักดันให้เกิดขึ้น
อีกโจทย์หนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ
จะสร้างการเติบโตอย่างทั่วถึง (Inclusive growth) ให้เกิดขึ้นได้อย่างไร
เพราะการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ผลประโยชน์ตกอยู่กับกลุ่มคนบางกลุ่ม
โดยเฉพาะผู้มีฐานะและผู้ประกอบการรายใหญ่
คงจะไม่ใช่ทางเลือกที่คนในสังคมต้องการ
3
KKP Research ประเมินว่าแม้ปัจจัยภายนอกจะส่งผลต่อความเหลื่อมล้ำในไทย
แต่โครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมที่มีต้นตอมาจากสถาบันทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอและการเมืองที่ไม่เป็นธรรม
1
เป็นบ่อเกิดสำคัญของปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ยังแก้ไขไม่ได้
และท้ายที่สุดจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยฉุดรั้งการเติบโตระยะยาวของเศรษฐกิจไทย
ความเหลื่อมล้ำไทยรุนแรงแค่ไหน ?
1
ภาพรวมความเหลื่อมล้ำไทยอยู่ในระดับค่อนข้างสูงในทั้งมิติของรายได้
1
และความมั่งคั่ง คำถามสำคัญคือ
ประเทศไทยอยู่จุดไหนเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในโลก
และพัฒนาการด้านความเหลื่อมล้ำของไทยเป็นอย่างไร
(1) ความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ของไทยปรับตัวดีขึ้นแต่เกิดจากเหตุผลที่ไม่ยั่งยืน ในมุมมองระยะยาว
ความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ของไทยมีการพัฒนาในทางที่ดีขึ้นโดยสัดส่วนรายได้ของคนกลุ่ม 20% บนลดลงต่อเนื่อง
และไม่ได้แย่มากเมื่อเทียบกับหลายประเทศในโลก
อย่างไรก็ตามงานวิจัยของ PIER ล่าสุดชี้ว่าความเหลื่อมล้ำทางด้านรายได้ที่ปรับตัวดีขึ้นไม่ได้เกิดจากความสามารถของแรงงาน
1
แต่เป็นผลสำคัญมาจากเงินโอนจากทั้งนโยบายภาครัฐที่ให้กับกลุ่มคนสูงอายุ
1
และจากคนที่เข้ามาทำงานในเมืองโอนเงินกลับไปในชนบทซึ่งไม่ยั่งยืนในภาวะที่ไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุและแรงงานกำลังลดลง
ซึ่งหากไม่นับรวมเงินโอนความไม่เท่าเทียมในไทยจะแทบไม่ได้ปรับตัวดีขึ้นเลย
สะท้อนว่าผลิตภาพการผลิตของกลุ่มคนรายได้น้อยไม่ได้ปรับตัวดีขึ้น
(2) ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่งมากที่สุดในโลก
และมีแนวโน้มสูงขึ้นเร็ว
แม้ว่าความเหลื่อมล้ำด้านรายได้จะปรับตัวดีขึ้นบ้างแต่ความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่ง
หรือสินทรัพย์ที่คนแต่ละกลุ่มถือครอง
(เช่น เงินฝากธนาคาร หุ้น ที่ดิน) เป็นปัญหาที่รุนแรงมากในไทย
Credit Suisse ประเมินว่า
คนรวยที่สุด 10% ของไทยถือครองสินทรัพย์มากถึงกว่า 77% ของคนทั้งประเทศ
และคนรวยที่สุด 1% ของประเทศถือทรัพย์สินเฉลี่ยคนละ 33 ล้านบาท
ต่างกันถึง 2500 เท่ากับค่าเฉลี่ยของคนกลุ่มที่จนสุด 20% แรกของประเทศ
ในมิติเปรียบเทียบกับต่างประเทศนอกจากเราจะเป็นประเทศที่สัดส่วนความมั่งคั่งของคน 1% สูงที่สุดในโลกแล้ว
ตัวเลขดังกล่าวยังเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในระหว่างปี 2008-2018
ซึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้ความมั่งคั่งมีความถ่างกันมากกว่าความเหลื่อมล้ำทางรายได้เป็นเพราะการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับต่ำกว่าการเติบโตของตลาดหุ้นไทยตั้งแต่หลังวิกฤติปี 1997 เป็นต้นมา
(3) ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ของไทยในความเป็นจริง
อาจสูงกว่าตัวเลขทางการ
ตัวเลขความเหลื่อมล้ำทางด้านรายได้ของไทย
1
มักอ้างอิงจากข้อมูลแบบสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติซึ่งมีความครบถ้วนที่สุด
อย่างไรก็ตามกลุ่มตัวอย่างที่อยู่ในแบบสำรวจมีแนวโน้มเป็นกลุ่มคนรายได้น้อย
เมื่อพิจารณารายได้ต่อคนต่อเดือนในปี 2017
จะพบว่าเมื่อเรียงข้อมูลตามรายได้จากน้อยไปมากครัวเรือนในตำแหน่งที่ 90
(จาก ทั้งหมด 100 ตำแหน่ง)
1
มีรายได้อยู่ในระดับเพียง 21,133 บาท
หมายความว่าคนไทยอีกกว่า 90% มีรายได้ต่อเดือนต่ำกว่าระดับนี้
ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ
สะท้อนภาพชัดเจนว่ามีคนบางกลุ่มที่มีรายได้ในระดับสูงกว่านี้แต่ไม่ได้ถูกนับรวมอยู่ในการสำรวจ
1
ทำให้ตัวเลขรายได้ของกลุ่มคนรายได้สูงในแบบสำรวจมีแนวโน้มต่ำกว่าความเป็นจริงและตัวเลขความเหลื่อมล้ำมีแนวโน้มต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
(4) เศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมาโตแบบไม่ทั่วถึง
รวยกระจุกจนกระจาย
ในมิติการเติบโตของรายได้
ข้อมูลสะท้อนภาพชัดเจนว่ากลุ่มคนรายได้สูงมีรายได้ที่เติบโตสูงขึ้นเร็วกว่าคนรายได้น้อย
1
ในขณะที่การบริโภคของคนรายได้น้อยต้องมาจากการก่อหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
เพราะครัวเรือนมีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย
ทำให้ภาระการจ่ายหนี้ต่อรายได้ (Debt service ratio)
ของกลุ่มครัวเรือนรายได้น้อยอยู่ในระดับสูงขึ้นอย่างน่ากังวล
แม้ว่าข้อมูลนี้ส่วนหนึ่งอาจสะท้อนภาพว่าครัวเรือนระดับล่างของไทยสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ดีขึ้น
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เร่งขึ้นเร็วในคนรายได้น้อยสะท้อนภาพความเหลื่อมล้ำและความเปราะบางของครัวเรือนอย่างชัดเจน
เหตุใดไทยยังเหลื่อมล้ำสูง และอนาคตจะเป็นเช่นไร
ความเหลื่อมล้ำไทยถูกขับเคลื่อนจากทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยเฉพาะตัว
งานศึกษาจำนวนมากพยายามประเมินว่าปัจจัยอธิบายความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มขึ้นมีสาเหตุมาจากอะไร
ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ
(1) ปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ ได้แก่
โลกาภิวัตน์และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี
(2) ปัจจัยภายในที่เกิดจากนโยบายในประเทศ ได้แก่
โครงสร้างเศรษฐกิจ นโยบายเศรษฐกิจ
นโยบายตลาดแรงงานและนโยบายภาษี
KKP Research ประเมินว่าความเหลื่อมล้ำของไทยเป็นผลลัพธ์จากทั้งปัจจัยภายนอกที่เกิดขึ้นทั่วโลกและปัจจัยเฉพาะเชิงนโยบายของไทยเองที่ไม่เอื้อต่อการเลื่อนสถานะทางสังคม มีรายละเอียดดังนี้
ข้อที่ 1 ความเหลื่อมล้ำลดลงแต่กลับเร่งขึ้นอีกจากราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ
แม้ว่าความเหลื่อมล้ำไทยจะลดลงมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา
จากเศรษฐกิจที่มีพัฒนาการตามลำดับ
แต่ในปี 2015 ภาพรวมความเหลื่อมล้ำทางรายได้ของไทยกลับแย่ลงอีกครั้ง
สาเหตุสำคัญเกิดจากคนไทยสัดส่วนกว่า 31% ทำงานอยู่ในภาคเกษตร
ในขณะที่ภาคเกษตรสร้างรายได้เพียง 7% ให้กับประเทศ
ซึ่งกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนรายได้น้อยที่ถูกกระทบจากปัจจัยภายนอก
ในปี 2015 เป็นช่วงเวลาที่ราคาน้ำมันตกต่ำทั่วโลกและดึงให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ รวมทั้งราคาสินค้าเกษตรตกต่ำลงไปด้วย
และยังไม่สามารถฟื้นตัวได้ดีในช่วงหลังจากนั้น
ผลกระทบที่สำคัญเกิดขึ้นกับเกษตรกรที่มีรายได้น้อยอยู่แล้ว ยิ่งมีรายได้น้อยลงไปกว่าเดิมสะท้อนจากการชะลอตัวลงของรายได้ภาคเกษตร
งานวิจัยหลายชิ้นยังชี้ให้เห็นว่าโลกาภิวัตน์ทั้งในแง่ของการค้าและการลงทุนประกอบกับเทคโนโลยีใหม่ๆ มีส่วนทำให้ความเหลื่อมล้ำสูงขึ้น
จากการช่วยเร่งให้รายได้เฉพาะบางอุตสาหกรรมเติบโตขึ้นได้เร็ว
ในกรณีของไทยโครงสร้างอุตสาหกรรมที่คนรายได้น้อยทำงานอยู่ในภาคเกษตรมาก ประกอบกับความจริงว่าภาคเกษตรไทยขาดการพัฒนาผลิตภาพการผลิตทำให้รายได้เพิ่มขึ้นน้อย
ทำให้เมื่อเปรียบเทียบแล้วการเติบโตของค่าแรงในภาพรวมอยู่ในระดับที่สูงกว่าภาคเกษตร
ข้อที่ 2 เกิดมาจนแต่สร้างตัวจนร่ำรวย เป็นไปได้จริงหรือไม่
ความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นในไทยจะถูกขับเคลื่อนบางส่วนจากปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้
1
แต่ KKP Research ประเมินว่าไทยมีปัจจัยทางนโยบายซึ่งถูกกำหนดจากรัฐอีกหลายอย่างที่มีส่วนซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำ
แม้ว่ายังขาดข้อมูลที่จะประเมินภาพการเลื่อนสถานะทางสังคมอย่างแม่นยำ
1
แต่ข้อมูลแวดล้อมอื่นๆ ก็สะท้อนภาพค่อนข้างชัดว่าประเทศไทยมีปัญหาเชิงโครงสร้างที่นำไปสู่ความไม่เท่าเทียมทางโอกาสในทุกช่วงวัยของคนในสังคมไทย
ทั้งวัยเด็ก วัยทำงานและวัยชรา ดังนี้
(1) ไทยยังขาดการเข้าถึงปัจจัยโอกาสด้านการศึกษาอย่างเท่าเทียม
ในช่วงชีวิตวัยเด็กและวัยเรียน
คนรายได้น้อยไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพได้
นอกเหนือจากประเด็นด้านคุณภาพการศึกษาที่เราทราบกันดีว่าไทยอยู่ในระดับค่อนข้างแย่
การเข้าถึงการศึกษายังมีความไม่เท่าเทียมกันอยู่สูงซึ่งเกิดขึ้นทั้งในมิติของความครอบคลุมทางการศึกษาที่คนรายได้น้อยยังมีสัดส่วนการจบการศึกษาระดับสูงที่ต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ
1
แม้ว่าการใช้จ่ายภาครัฐด้านการศึกษาของไทยจะอยู่ในระดับที่ทัดเทียมกับหลายประเทศพัฒนาแล้ว
ซึ่งสะท้อนว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่งบที่น้อยเกินไปแต่เป็นการไม่ได้ถูกนำไปใช้แก้ไขปัญหาการศึกษาอย่างจริงจังและมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกันกับตัวเลขคะแนนสอบ O-net
3
ในแต่ละกลุ่มโรงเรียนที่สะท้อนภาพความเหลื่อมล้ำในมิติของคุณภาพการศึกษา
ความเหลื่อมล้ำเชิงคุณภาพจะยิ่งส่งเสริมให้ครัวเรือนรายได้สูงสามารถส่งลูกหลานไปเรียนพิเศษและสามารถเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำของไทยได้
จึงทำให้แม้คนจะได้รับการศึกษาในระดับเดียวกันแต่คนที่เกิดมาในครอบครัวที่รวยกว่าจะมีแนวโน้มได้งานที่ดีกว่าและรายได้สูงกว่าตามไปด้วย
ปัญหาการศึกษาที่ไม่เท่าเทียมกันในลักษณะนี้จึงเป็นหนึ่งในต้นตอของความเหลื่อมล้ำทางรายได้ของไทยที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง
(2) แรงงานไม่มีอำนาจต่อรอง ธุรกิจรายเล็กแข่งขันยาก
ในชีวิตวัยทำงานหลังจากเรียนจบ หากคนหนึ่งคนเลือกเข้าไปทำงานรับค่าแรงจะเติบโตได้ช้ามาก
ตั้งแต่หลังปี 2015 เป็นต้นมาที่เศรษฐกิจไทยเริ่มชะลอตัวลงส่งผลให้ค่าจ้างแรงงานแทบไม่เติบโตขึ้นเลย
และอยู่ในระดับต่ำกว่าการเติบโตของ GDP
ซึ่งส่วนหนึ่งสะท้อนภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจที่กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มทุนและไม่ส่งผ่านมาถึงแรงงาน
3
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยยังขาดกฎหมายที่กำกับการแข่งขันทางการค้าอย่างเป็นระบบ
ทำให้ธุรกิจหลายแห่งสามารถเพิ่มกำไรผ่านการผูกขาด
ในขณะที่แรงงานมีอำนาจต่อรองที่ลดลง
ที่น่ากังวลไปกว่านั้นคือเรายังขาดกฎหมายคุ้มครองแรงงานที่เหมาะสมและขาดนโยบายช่วยเหลือและสร้างโอกาสให้กับคนรายได้น้อย
อีกทางเลือกหนึ่งที่เป็นไปได้สำหรับคนทำงาน
คือการเลือกที่จะออกไปประกอบธุรกิจ
งานวิจัยของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ้งภากรณ์
ให้ข้อมูลว่าบริษัทที่ใหญ่ที่สุด 5%
มีสัดส่วนกำไรกว่าถึง 60% ของรายรับทั้งหมดซึ่งเป็นความเหลื่อมล้ำในมิติของธุรกิจที่น่ากังวลมากเช่นกัน
ซึ่งส่งผลต่อเนื่องมาถึงธุรกิจรายเล็กๆ ให้ไม่สามารถแข่งขันได้เต็มที่
ยิ่งไปกว่านั้นการเข้าถึงบริการทางการเงินของไทยยังไม่ทั่วถึง
1
โดยบริษัทรายใหญ่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากกว่าและหลากหลายช่องทางกว่าซึ่งสะท้อนภาพชัดเจนขึ้นในช่วงการระบาดของโควิด-19
(3) ขาดระบบสวัสดิการและกลไกลดความเหลื่อมล้ำ
การใช้ชีวิตในช่วงวัยเกษียณ
ไทยยังขาดสวัสดิการจากรัฐที่เพียงพอเพื่อ
คุณภาพชีวิตที่ดีในบั้นปลายชีวิต
แม้ด้านสาธารณสุขที่ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบรองรับที่ดีมากซึ่งช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับคนรายได้น้อยและคนชรา
แต่เรายังขาดนโยบายสวัสดิการอื่นๆ โดยเฉพาะการกระจายรายได้ผ่านการเก็บภาษีคนรวย
และช่วยเหลือคนจน (Redistributive Policy) อย่างเป็นรูปธรรม
โดยแม้อัตราภาษีไทยจะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงแต่ผลต่อการนำไปใช้เพื่อลดความไม่เท่าเทียมทางรายได้ยังต่ำ
ทั้งที่การให้โอกาสผ่านการสนับสนุนเงินเป็นสิ่งจำเป็น
และจะเป็นการช่วยให้ครัวเรือนเข้าถึงปัจจัยการดำรงชีวิตพื้นฐานได้ดีขึ้นและสามารถพัฒนาตัวเองเพื่อเพิ่มโอกาสในการหลุดออกจากความยากจนอย่างยั่งยืนได้
ข้อที่ 3 โควิด-19 ทำให้สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำแย่ลง
จากปี 2015 ที่เราเจอปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำวิกฤตโควิด-19
จะเป็นอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำของไทยรุนแรงมากขึ้นทั้งในมิติระยะสั้นและระยะยาว
จากเหตุผลดังต่อไปนี้
(1) โควิด-19 กระทบรายได้ของกลุ่มฐานของปิรามิดรุนแรงกว่ากลุ่มบน
กลุ่มแรงงานรายได้น้อย ไม่ว่าจะเป็นลูกจ้าง อาชีพรับจ้างทั่วไป ค้าขายหาบเร่แผงลอย
ล้วนเป็นกลุ่มเปราะบางที่มักได้รับผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์โควิด-19 มากกว่ากลุ่มอื่นๆ
เพราะส่วนใหญ่เป็นอาชีพที่ไม่สามารถ work from home ได้
ปรับเปลี่ยนสถานที่ทำงานได้ยาก
จึงมีโอกาสที่จะตกงาน ถูกให้พักงาน สูญเสียรายได้มากกว่ากลุ่มอื่นๆ
อีกทั้งแรงงานรายได้น้อยยังมักไม่มีเงินเก็บออมมากพอและไม่มีสินทรัพย์อื่นๆ
ที่สามารถสร้างรายได้ทดแทนได้
นอกจากนี้ มาตรการของทางการไม่ว่าจะเป็นการสั่งให้ปิดสถานที่ต่างๆ กลับไม่มีมาตรการช่วยเหลือเยียวยาให้กับผู้ประกอบการและแรงงานที่ได้รับผลกระทบ
ส่งผลต่อผู้ประกอบการรายเล็กที่มีสายป่านสั้นมากกว่ารายใหญ่
อาจถึงขั้นต้องเลิกกิจการและปลดพนักงาน
สร้างความเสียหายถาวรต่อธุรกิจและชีวิตคนจำนวนมาก
(2) แรงงานนอกระบบมีจำนวนมาก
ขาดรัฐสวัสดิการที่เข้มแข็งพอ
ระบบคุ้มครองทางสังคมของไทยอยู่ในเกณฑ์ต่ำเมื่อเทียบในระดับสากล
โดยรัฐบาลไทยใช้เงินในเรื่องการคุ้มครองทางสังคมคิดเป็น 3.7% ของ GDP ต่ำกว่าหลายประเทศในภูมิภาค
เช่น เวียดนาม 6.3% ไต้หวัน 9.7% เกาหลีใต้ 10.1% ญี่ปุ่น 23.1%
ส่วนหนึ่งมาจากการที่แรงงานไทยอยู่นอกระบบประกันสังคมในสัดส่วนที่สูง (54% ของแรงงานทั้งหมด)
โดยเฉพาะการจ้างงานในภาคการค้า การโรงแรม และภาคบริการต่างๆ
ซึ่งได้รับผลกระทบรุนแรงจากโควิด-19 อยู่แล้ว
การขาดโครงข่ายคุ้มครองทางสังคม (social safety net)
ในกรณีว่างงานหรือสูญเสียรายได้
ยิ่งทำให้มีความเสี่ยงที่โควิด-19 จะส่งผลต่อรายได้และคุณภาพชีวิตของแรงงานกลุ่มนี้มากกว่ากลุ่มอื่นๆ
(3) ความเหลื่อมล้ำทางเทคโนโลยีที่ถูกเร่งจากโควิด-19
ยิ่งซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำทางรายได้และโอกาส
โควิด-19 ทำให้โลกแห่งอนาคตมาถึงเร็วขึ้น
ความเสี่ยงจากโรคระบาดทำให้ธุรกิจเร่งปรับตัวไปใช้เครื่องจักรและ automation แทนแรงงาน
ผู้ประกอบการบางส่วนปรับตัวไปทำธุรกิจออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ มากขึ้น ภายใต้เทรนด์การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีนี้
ความไม่เท่าเทียมกันด้านดิจิทัล (digital divide)
ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงอุปกรณ์สื่อสารดิจิทัล
คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต ที่แตกต่างกัน
ยิ่งทำให้กลุ่มคนที่ไม่สามารถเข้าถึงและขาดทักษะทางดิจิทัล
ซึ่งมีแนวโน้มจะเป็นครัวเรือนรายได้น้อย
ยิ่งถูกทิ้งห่างออกไปทั้งในด้านโอกาสในการสร้างอาชีพและรายได้
และโอกาสในการเรียนรู้และแข่งขัน
ผลกระทบอาจไม่ได้ตกอยู่แค่กลุ่มคนวัยทำงานในตอนนี้เท่านั้น
แต่ยังรวมถึงเด็กวัยเรียนที่ปัญหา digital divide
ในด้านการเรียนการสอนยุคโควิด-19จะยิ่งส่งผลให้ความเหลื่อมล้ำด้านคุณภาพการศึกษาเป็นปัญหารุนแรงขึ้น
ข้อที่ 4 การเข้าสู่สังคมสูงอายุจะยิ่งทำให้ความเหลื่อมล้ำแย่ลง
KKP Research เคยประเมินผลกระทบจากการก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุต่อเศรษฐกิจไทย
ปัญหาแก่ก่อนรวยมีโอกาสสูงที่จะเกิดขึ้นรุนแรงกว่าในกลุ่มคนจน
เนื่องจากกลุ่มคนจนมีรายได้ที่ต่ำ
การสะสมความมั่งคั่งที่ต่ำ
และปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูง
1
เมื่อคนกลุ่มนี้เข้าสู่วัยชราในภาวะที่ยังไม่ได้เตรียมพร้อมทางด้านการเงินที่เพียงพอ
จะยิ่งทำให้มีโอกาสในการพัฒนาตัวเองที่ลดลงและอาจเป็นตัวเร่งให้ความเหลื่อมล้ำสูงขึ้นในอนาคตได้
นอกจากนี้ ข้อมูลโครงสร้างอายุของหัวหน้าครัวเรือนในกลุ่มคนรายได้ต่ำสุด 20% แรกของประเทศยังสะท้อนว่าครัวเรือนรายได้น้อยมีโอกาสเจอปัญหาจากสังคมสูงวัยรุนแรง
เพราะหัวหน้าครัวเรือนของครัวเรือนรายได้น้อยอยู่ในกลุ่มคนอายุมากกว่า 65 ปีและอายุระหว่าง 50-64 ปีในสัดส่วนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศ
การเมือง หนึ่งในรากลึกปัญหาความเหลื่อมล้ำ
การขาดกลไกที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำเป็นหนึ่งในผลพวงที่เกิดจากสถาบันการเมืองที่มีลักษณะไม่เชื่อมโยงกับความรับผิดต่อส่วนรวม (Accountability)
แนวคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ถูกนำเสนอโดย Daron Acemoglu
นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง
ซึ่งเสนอว่าในระบบการเมืองแบบประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ที่ทุกคนมีอำนาจทางการเมืองเท่าเทียมกัน
การกำหนดนโยบายของภาครัฐจะเอื้อต่อการกระจายรายได้ให้กับคนทุกกลุ่มในสังคมมากกว่า
และสร้างการเติบโตอย่างทั่วถึง (Inclusive growth)
เนื่องจากประชาชนมีอำนาจในการออกเสียงเลือกตั้งและแสดงความคิดเห็น
1
มีการตรวจสอบถ่วงดุลในการทำงานของภาครัฐอย่างอิสระและเป็นระบบ
และมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม
ไม่เลือกปฏิบัติ เอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้อง
ซึ่งทั้งหมดนี้จะสร้างแรงกดดันให้รัฐต้องพยายามผลักดันนโยบายที่กระจายผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับประชาชนอย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้น
ในกรณีของไทยจะพบว่าระบบการเมืองไทยมีการพัฒนาช้ากว่าประเทศอื่นๆ
และมีการเปลี่ยนกลับไปมาหลายครั้งแตกต่างจากประเทศ
เช่น ไต้หวันและเกาหลีที่มีการพัฒนาระบบการเมืองเข้าสู่ความเป็นประชาธิปไตยอย่างชัดเจน
ซึ่งพัฒนาการของสถาบันการเมืองที่ช้าและอ่อนคุณภาพของไทยเป็นสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่วัฏจักรของการกระจุกตัวของอำนาจทางการเมืองและความเหลื่อมล้ำ
รูปแบบนโยบายที่ไม่เป็นธรรม ยิ่งทำให้เหลื่อมล้ำ
ข้อมูลจาก World Competitiveness Report 2019 แสดงให้เห็นผลลัพธ์หลายอย่างที่เกิดขึ้นต่อเนื่องจากระบบการเมืองที่ขาดประสิทธิภาพของไทย
(1) เสรีภาพของสื่อ ซึ่งเป็นตัวสะท้อนสิทธิในการแสดงความคิดเห็นและตรวจสอบการทำงานของรัฐ
ที่ไทยอยู่ลำดับที่ 113 จาก 141 ประเทศสะท้อนการจัดสรรอำนาจทางการเมืองที่ไม่เท่าเทียม
และส่งผลไปถึง (2) ด้านความปลอดภัยของประชาชนและการคอร์รัปชั่นได้คะแนนที่ค่อนข้างต่ำ
เนื่องจากรัฐไม่มีความจำเป็นต้องปกป้องประชาชนที่ไม่มีอำนาจการเมืองจากความหละหลวมในการบังคับใช้กฎหมาย
และการขาดระบบการตรวจสอบและถ่วงดุลนำไปสู่นโยบายที่ไม่เป็นธรรม
(3) การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาที่ไม่ได้มาตรฐานและไม่ดีนัก
และ (4) กฎหมายกำกับการแข่งขันที่ไม่สามารถใช้ได้อย่างเต็มที่
เอื้อให้เกิดการผูกขาดโดยธุรกิจบางกลุ่ม
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในไทยแย่ลง
ความเหลื่อมล้ำสูงฉุดการเติบโต
ปัญหาความเหลื่อมล้ำสูงจะสร้างวงจรอุบาทว์ที่ทำให้เศรษฐกิจโตต่ำต่อเนื่อง
นอกเหนือไปจากปัจจัยเชิงโครงสร้างหลายอย่างที่เป็นความท้าทายที่ไทยกำลังเผชิญไม่ว่าจะเป็นการเข้าสู่สังคมสูงวัย
อุตสาหกรรมไทยยังอยู่ในรูปแบบเก่า
การพึ่งพาอุปสงค์ภายนอกประเทศในยุคทีโลกาภิวัตน์เริ่มอิ่มตัว
ความเหลื่อมล้ำยังจะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
และเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ไทยไม่หลุดออกไปจากการอยู่ในกับดักรายได้ปานกลาง (Middle income trap)
จาก (1) ความไม่แน่นอนทางการเมือง
ซึ่งนำไปสู่ความไม่ต่อเนื่องของนโยบาย
และลดความเชื่อมั่นในแง่ของการลงทุนของทั้งบริษัทไทยและต่างชาติลงในระยะยาว
และ (2) การจัดสรรทรัพยากรที่ไม่มีประสิทธิภาพ เพราะคนที่มีความสามารถไม่สามารถก้าวขึ้นมาทำประโยชน์ต่อการเติบโตของประเทศได้อย่างเต็มที่
1
ถึงเวลาแก้ไขความเหลื่อมล้ำอย่างเป็นระบบ
เมื่อนำภาพทั้งหมดมาประกอบกันจะเห็น
”เบื้องหลังกลไกความเหลื่อมล้ำของประเทศไทย”
ซึ่งดูเหมือนกลายเป็นวงจรไม่รู้จบหากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเหมาะสมจากภาครัฐ และยิ่งต้องเผชิญความท้าทายนี้แบบรุนแรงขึ้นอีกในยุคหลังจากนี้ไป
แม้สังคมที่เท่าเทียมกันทุกคนอาจฟังดูเป็นอุดมคติที่เป็นไปไม่ได้
เพราะความเหลื่อมล้ำย่อมเกิดขึ้นจากความสามารถ
และความพยายามที่แตกต่างกันของแต่ละคนด้วย
แต่จากข้อมูลสะท้อนให้เห็นว่ารัฐไทยยังสามารถช่วยเหลือเพิ่มเติมเพื่อลดความเหลื่อมล้ำได้ โดยเฉพาะความเหลื่อมล้ำที่เกิดจากโอกาสที่ไม่เท่าเทียม
ซึ่งควรถูกเร่งแก้ไขโดยเร็ว
KKP Research ประเมินว่าหัวใจหลักของการแก้ปัญหานี้อยู่ที่การแก้ไขกลไกในระบบเศรษฐกิจที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำโดยเฉพาะในด้านโอกาส
ซึ่งจากหลักฐานความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มมากขึ้นและแนวโน้มที่กำลังแย่ลงจาก
เหตุการณ์โควิด-19 ชัดเจนว่ากลไกลดความเหลื่อมล้ำในระบบเศรษฐกิจไม่ทำงาน
จึงเป็นหน้าที่ของภาครัฐที่ต้องหันกลับมาทบทวนและออกแบบกลไกทางเศรษฐกิจและสังคมใหม่เพื่อแก้ไขกลไกที่ยังบกพร่องในแต่ละมิติ
กลไกลดความเหลื่อมล้ำที่สำคัญ สามารถแบ่งได้เป็น 5 กลุ่ม คือ
(1) กลไกทางเศรษฐกิจที่เอื้อต่อการแข่งขันที่เสรีและเป็นธรรม
สร้างเวทีที่เปิดโอกาสให้ทุกคนแข่งขันบนความเท่าเทียม
ปฏิรูปกฎหมายและกฎเกณฑ์ที่มีอยู่ที่เอื้อให้บางกลุ่มได้ประโยชน์จากระบบผูกขาด อันจะนำไปสู่การกระจุกตัวของทรัพยากรทางเศรษฐกิจ
(2) กลไกทางภาษีในการกระจายรายได้และความมั่งคั่ง
โดยใช้ระบบภาษีรายได้ในอัตราก้าวหน้า
และภาษีที่เก็บบนฐานของทรัพย์สิน
เช่น ภาษีที่ดิน รายได้จากทรัพย์สินและมรดก
(3) กลไกสวัสดิการของรัฐ ที่ทำให้คนเข้าถึงการศึกษา
บริการทางสาธารณสุข สินเชื่อ ที่มีความเท่าเทียมกันมากขึ้น
รวมทั้งการมีโครงข่ายความคุ้มครองทางสังคม (social safety net) ที่เข้มแข็ง
เพื่อประกันคุณภาพชีวิตขั้นพื้นฐานที่ทุกคนพึงมีในทุกช่วงเวลาของชีวิต
(4) กลไกบังคับใช้กฎหมายที่เข้มแข็ง
ป้องกันการทุจริตคอร์รัปชั่นทั้งทางตรงและคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย
เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในด้านการเข้าถึงอำนาจทางการเมืองซึ่งเป็นหนึ่งในรากฐานสำคัญของความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม และ
(5) กลไกกระจายอำนาจทางการเมืองและการคลัง โดยมีการจัดสรรทั้งอำนาจทางการเมืองและอำนาจทางการคลังไปสู่รัฐบาลท้องถิ่นอย่างเหมาะสม
1
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความครอบคลุมของการกระจายรายได้สู่ทุกพื้นที่ในประเทศ
ในทางเศรษฐศาสตร์
เครื่องมือทางนโยบายในการสร้างกลไกลดความเหลื่อมล้ำที่ใช้กันอยู่ในต่างประเทศนั้น
มีอยู่หลากหลายให้สามารถพิจารณานำมาใช้ตามความเหมาะสมในบริบทของแต่ละประเทศ
KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร พบว่าความเหลื่อมล้ำไม่ใช่เรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
หากคือทางเลือกนโยบาย ในขณะที่นโยบายใดๆ ก็ไม่สามารถขจัดความเหลื่อมล้ำได้ทั้งหมด
แต่นโยบายที่ดีย่อมสามารถลดช่องว่างที่นับวันยิ่งถ่างขึ้นให้แคบลง
เพื่อสร้างโอกาสที่เท่าเทียมกันมากขึ้น
และป้องกันไม่ให้คุณภาพชีวิตของประชาชนถูกกำหนดด้วยสถานะภาพของครอบครัว
และความสามารถในการเข้าถึงทรัพยากรทางเศรษฐกิจ
และอำนาจทางการเมืองที่แตกต่างกันแบบไม่มีทางเลือก
พัฒนาการทางเศรษฐกิจและการเติบโต
ไม่จำเป็นต้องแลกมาด้วยความเหลื่อมล้ำที่รุนแรงมากขึ้น
การคำนึงถึงประชาชนทุกกลุ่มในการออกแบบนโยบายภาครัฐ
และความตั้งใจจริงในการยกระดับคุณภาพชีวิตคือจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง
#ความเหลื่อมล้ำ #สังคมไทย #ปัจจัยความเหลื่อมล้ำ #ปัญหาความเหลื่อมล้ำ #ปัจจัยที่ต้องพัฒนา #การเมือง #การแก้ปัญหา #ความรุนแรง #รายได้ของไทย #ความมั่งคั่ง #เศรษฐกิจไทย #อัตราเติบโต #สวัสดิการพื้นฐาน #สังคมสูงวัย #มาตรการภาครัฐ #กระตุ้นเศรษฐกิจ #ความไม่เท่าเทียม #กลไกเศรษฐกิจ #การแข่งขันเสรี #กลไกทางภาษี #กฎหมาย #ความรับผิด #KKP #KKPAdviceCenter #KiatnakinPhatra #เกียรตินาคินภัทร #leverage
#นักลงทุนรายใหญ่ #Wealth #ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน #นักลงทุนมืออาชีพ #ลงทุนเติบโต #PrivateBank #PrivateBank #PhilosophyOfWealth #BestGlobalPrivateBank #FinancialPlanning #KKPAdviceCenter #KiatnakinPhatra@Blockdit
โฆษณา