23 เม.ย. 2021 เวลา 12:39 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ความแตกต่างด้านหนี้เสียของธุรกิจธนาคารและธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียน
เนื่องจากกระแสหุ้น ipo น้องใหม่ที่กำลังจะเข้าตลาดอย่างเงินติดล้อ ทำให้เห็นกระแสการพูดถึงหุ้นตัวนี้อย่างมาก แต่ที่น่าสนใจจากคอมเม้นท์ต่างๆในเพจ facebook มีคนพูดถึงหนี้เสียกลุ่มลีซซิ่ง ว่าเอ้ะ ยุคนี้มีแต่หนี้เสียเบิ้มๆน่ากังวลเต็มไปหมด พวกลีซซิ่งอย่างติดล้อไม่น่าจะไหว ต้องเจอ npl แน่นอน วันนี้เลยอยากจะมาอธิบายให้เข้าใจ ว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้อัตรา npl กลุ่มลีซซิ่งถึงน้อย
1
ก่อนอื่นเลยเอาจริงๆเราต้องแยกก่อนว่าการปล่อยกู้กลุ่มสินเชื่อจำนำทะเบียนเนี่ยต่างกับกลุ่มแบงค์หรือบัตรเครดิตเยอะเลยครับ คือ
1
1)กลุ่มลีซซิ่งมีหลักประกันคือรถครับ ไม่ว่าจะรถแบบไหน ถ้าหากลูกหนี้เบี้ยวหนี้ก็ยึดรถไปขายได้เลย เรียกง่ายๆว่าทางบริษัทกำไรทั้งสองขา ไม่ว่าลูกหนี้จะจ่ายหรือไม่จ่ายหนี้
1
2)LTV หรือ loan to value คือการปล่อยสินเชื่อเทียบกับหลักประกัน สมมติว่าเราช้อตเงินหมื่นห้า แบบกิ๊กอยากได้มือถือใหม่ แล้วอยากจะหาเงินมาหมุน เราสามารถเข้าไปขออนุมัติสินเชื่อได้ โดยการนำรถไปเป็นหลักประกัน แต่ช้าก่อน ถ้าคิดว่าจะได้เต็มราคามอไซค์แถวๆสี่หมื่นบาท เพราะทางบริษัทจะอนุมัติแค่ราว 50-60% ของราคาสินทรัพย์นั้นๆ(บางที่น้อยกว่า) เช่นมอไซค์เราที่เอาไปค้ำราคาในตลาดสัก4หมื่น ทางบริษัทก็อาจจะปล่อยกู้แค่2หมื่นให้เรา ไม่ได้ให้เต็ม เพราะหากลูกหนี้ไม่จ่ายพอยึดรถ ตรงส่วนต่างพวกค่าใช้จ่ายในการปล่อยรถนั้นออกไป หรือค่าเสื่อมของรถยี่ห้อนั้นๆจนถึงวันที่ปล่อยรถ ตรงส่วนต่างตรงนี้จะนำมาอุดตรงนั้น
1
3)เรื่องเบี้ยวหนี้ - บางคนอาจจะบอกว่าก็รถมันขับหนีได้ งี้ลูกหนี้บางคนอาจจะขับรถหนีไปเลย ไม่จ่ายหนี้อะดิ เพราะเป็นสินทรัพย์ที่เคลื่อนย้ายได้ ไม่ใช่บ้าน ตรงนี้ทางบริษัทบางแห่งก็ใช้วิธีให้ปล่อยกู้เฉพาะคนที่มีภูมิลำเนาแถวๆสาขาเท่านั้น เพราะทางบริษัทสามารถสืบ หรือติดตามได้ง่ายเพราะเป็นคนในพื้นที่ หรือในกรณีที่ลูกค้าอยากขอสินเชื่อแต่ภูมิลำเนาตรงบ้านเขาไม่มีสาขาของบริษัท ก็ต้องให้คนในพื้นที่สาขามาเป็นคนค้ำ เพื่อเป็นการรับประกันว่าจะไม่หนีไปไหน
2
4)การอนุมัติสินเชื่อ - บางบริษัทไม่ได้วิเคราะห์แค่หยาบๆ หรือดูประวัติจ่ายหนี้ แต่บางที่ถึงขั้นให้พนักงานไปนั่งนับยอดขายแต่ละวันของลูกหนี้ว่าจะมีเงินพอจ่ายหนี้มั้ยด้วยซ้ำ (บางแห่งถึงกับนับจานข้าวที่ขายได้ในแต่ละวัน ในเคสแม่ค้า) หรือบางที่ก็ใช้วิธีรับพนักงานที่เป็นคนในพื้นที่ ซึ่งแน่นอนว่ามันจะโยงกลับไปข้อสามที่หากจะปล่อยสินเชื่อก็ต้องเป็นคนแถวสาขานั้นๆ แล้วพนักงานที่เป็นคนในพื้นที่ก็จะรู้ดีว่าลูกหนี้คนนั้นทำอะไร มีรายได้พอจ่ายหนี้มั้ย หรือมีทรัพย์สินอะไรบ้าง ถึงจะทำการอนุมัติ
ทั้งหมดนี้ทั้งมวลเรื่องที่นำมาเสนอก็เพราะอยากจะให้หลายๆคนเข้าใจว่าตัว business model ของกลุ่มลีซซิ่งไม่ได้น่ากลัวเหมือนที่คิด เหมือนที่บางคนอาจจะติดว่าทำไม npl น้อยจัง ใช้วิธีทางบัญชีหรือเปล่า แนวๆ too good to be true แต่ถ้าเราลองลงไปดูในกระบวนการจริงๆแล้วจะพบว่าวิธีการเหล่านี้แหละที่ทำให้ npl กลุ่มนี้มันน้อย ที่เหลือก็เป็นการตัดสินใจของเราแล้วว่าจะเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้หรือข้ามมันไป แต่ผมชอบประโยคนึงในหนังสือนักลงทุนดันโดมากคือ 'ออกหัวผมได้เงิน แต่ออกก้อยผมเสียเงินนิดหน่อย' หลักการลงทุนแบบนี้ก็เหมือนกับกลุ่มลีซซิ่ง ก็คือถ้ากำไรก็กินเต็ม แต่ถ้าขาดทุนก็แค่นิดหน่อย นี่คือเหตุผลว่าทำไมกำไรสุทธิของบริษัทกลุ่มนี้ถึงได้สูงเหลือเกินครับ
1
โฆษณา