24 เม.ย. 2021 เวลา 16:13 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ตลาดทุน หรือ กัปดักทางการเงิน
ว่าด้วยเรื่องการปล้นเงินออมของประชาชนผ่านตลาดทุน
หลายปีมานี้ตลาดทุนเป็นที่นิยมขึ้นมาในระดับที่สูงมาก เพราะการขึ้น ของตลาดหุ้นจากการพิมพ์เงินอย่างมหาศาลของ FED ทำให้เม็ดเงินจำนวนมากไหลเข้าสู่ตราสารทางการเงินทั่วโลก
1
ตลาดหุ้นไทยก็เป็นส่วนหนึ่งที่ได้รับอานิสงส์ ไปด้วย เพราะการขึ้นของตลาดหุ้นจากการพิมพ์เงินจากอากาศของ FED ทำให้เม็ดเงินจำนวนมากไหลเข้าสู่ตราสารทางการเงินทั่วโลก
แต่ขบวนการปล้นเงินผ่าาตลาดทุน ก็มีการพัฒนารูปแบบที่ซับซ้อนมากขึ้น + การโฆษณาชวนเชื่อผ่านสื่อ +
KPI ของอุตสาหกรรมการเงิน
รวมถึงการฟอกเงิน
Step 1 หาบริษัทเล็กๆ ที่มีทุนจดทะเบียนตั้งแต่หลัก 50 กว่า จนถึงหลาย 1,000 ล้าน ราคาหุ้นจะมีตั้งแต่ต่ำ 10 บาท ถ้ายิ่งต่ำกว่า 1 บาท ยิ่งดีมากๆ
กระจายการถือครองหุ้นไปให้กับทีมงาน
และสร้างเรื่องราวการเติบโตของบริษัท
ออก Roadshow
และ มีนักวิเคราะห์ ผู้เชี่ยวชาญ คอยให้สัญานออกสื่อ
ทีมงานก็สร้าง Volume การซื้อขาย ล่อให้พวกเม่ามาติดกัป
Step 2 ลากราคาหุ้นไปยังจุดนัดหมาย เช่นจาก 50 สตางค์ ลากไป 15-18 บาท
ช่วงเวลาการลากนี้อาจกินเวลา 2-4 เดือน หรือ อาจนานถึง 3-4 ปี ก็แล้วแต่ขบวนการ
นักวิเคราะห์จะขยันออกสื่อ และ บางสื่อที่ออกจะมีแต่ความดีงามของหุ้น
ช่วงนี้เม่าจะเข้ามามากมาย หุ้นจะมีแต่การเติบโต
ประหนึ่งว่าจะ To The Moon
1
Step 3 เมื่อมาถึงเป้าหมายตามนัดก็จะทยอยปล่อยหุ้นในมือออกไป เมื่อหุ้นอยู่ในมือรายย่อยเป็นส่วนใหญ่แล้ว ก็ทุบเพื่อให้เม่าเฉลี่ย และติดจนงัดไม่ออก
และทุบลงไปเรื่อยๆ ในวงการเรียกกันว่า การลากมาเฉือด เรียกว่าปล้นครั้งที่ 1
นักวิเคราะห์ที่เคยเชียร์ ก็จะทำเป็นลืมๆไป แล้วไปตัวอื่นต่อ
Step 4 เมื่อหุ้นกระจายไปให้รายย่อยหมดแล้ว และ ทุบจนโงหัวไม่ขึ้น ก็ทำการประกาศ....เพิ่มทุน...!!!
เรียกว่าการปล้นครั้งที่ 2 จากนั้นผู้คนที่เกี่ยวข้องก็จะเชียร์ให้..เพิ่มทุน..โดยจะมี วลี เด็ด ว่าถ้าไม่เพิ่มทุนก็จะ dilute (มูลค่าลดลง)
1
Step 5 เมื่อเพิ่มทุนเรียบร้อยแล้ว..ก็ทุบต่อ..จนไม่ต้องหายใจอีกต่อไป จากนั้นเมื่อ Equity เพิ่ม
ก็ไปทำการปล้นธนาคาร ด้วยการขอวงเงินกู้ ให้ D/E Ratio สูงประมาณ 2-3 เท่าของเงินทุนที่ไปปล้นมา
เรียกว่าปล้นครั้งที่ 3
Step 6 เมื่อ D/E Ratio สูงจนถึงเพดานธนาคารแล้ว ก็ไปปล้นคนรวยต่อด้วยการ
ออกตั๋วเงิน หรือ ตั๋ว B/E
ทำให้มี D/E Ratio ขึ้นไปที่ 2-7 เท่า
การออกตั๋วเงินปัจจุบันมีปริมาณประ 3.8 แสนล้านบาท
ลองคิดดูนะ ไปขอสินเชื่อธนาคารมีการตรวจสอบโครงการ กว่าจะปล่อยสินเชื่อให้ แต่การออก ตั๋ว แค่ตรวจสอบบัญชีจากคนทำงานไม่กี่คน ซึ่งเราก็รู้กันอยู่ว่างบบริษัทที่อยู่นอกตลาดเป็นงบแบบไหน
แต่สามารถออกเป็น ตั๋วเงินและขายให้กับนักลงทุนรายใหญ่ที่ต้องการผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝากธนาคาร
และ เป็นวงเงินที่สูงกว่า ธนาคารจะอนุมัติให้
1
Step 7 อันนี้เริ่มทำได้ตั้งแต่ช่วงแรกๆเลยคือ สร้างโครงการ แล้วเอาเงินจากบริษัทแม่ไปเปิดบริษัทลูก
โดยส่งเงินเข้าไปนามของ เงินทุน หรือ Equity
และเอาทุนที่ลงไป ไปขอสินเชื่อธนาคาร
และออกตั๋วเงิน
เช่นบริษัทพลังงานทดแทนแห่งหนึ่ง ถูกสร้างภาพเป็นบริษัทแห่งอนาคต จนวันนี้กลายเป็นบริษัทแห่งรติกาล ไปเรียบร้อย
ได้ทำการลากราคาหุ้นจาก 50 สตางค์ไป กว่า 15 บาท จากนั้นประกาศเพิ่มทุน ขอกู้ ออกตั๋ว
และออกบริษัทลูก อีกกว่า 40 บริษัท
จากมีฐานการเงินไม่กี่ร้อยล้าน วันนี้มีฐานะกว่า 15,000 ล้าน
มีบริษัทเช่นนี้เกิดขึ้นหลาย 10 บริษัท คุณลองนึกดูนะบริษัท market cap ไม่กี่ร้อยล้านถูกสร้างไปขายที่มูลค่าหลายหมื่อล้าน และ คนขนเงินออมไปซื้อที่ตรงนั้น
วันนี้มูลค่าเหลือไม่ถึง 20% ของวันที่ซื้อมา เงินออมของประชาชน ถูกขบวนการนี้ปล้นไป 1-2 ล้านล้านบาท
ทั้งการซื้อหุ้นและขายหุ้นด้อยคุณภาพออกไป
เงินที่ถูกปล้นไป ถึงทำให้เงินเคลื่อนไหวจากคนส่วนใหญ่ไปสู่ คนเพียงแค่ไม่กี่คน และยักยอกเงินออกไป
เศรษฐกิจของประเทศเลยไม่สามารถขับดัน การบริโภคได้
CR. อ.ทวีสุข ธรรมศักดิ์
1
โฆษณา