25 เม.ย. 2021 เวลา 00:00 • การเมือง
อิหร่านและซาอุดีอาระเบียใช้เรื่องนิกายเป็นเหตุผลบังหน้าในการทำสงคราม?
จุดเริ่มต้นของสาเหตุปัญหาความขัดแย้ง
ในโลกของชาวมุสลิมนั้นได้มองซาอุดีอาระเบียว่าเป็นผู้นำของมุสลิมนิกายสุหนี่ (Sunni) และมองว่าอิหร่านเป็นผู้นำของมุสลิมนิกายชิอะห์ (Shia) ทั้งสองนิกายมีความเห็นที่ตรงกันคือเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของคัมภีร์อัลกุรอาน (Quran) แต่มีความเห็นที่ขัดแย้งกันเรื่องประวัติศาสตร์ และการเมือง ย้อนกลับไปในอดีตทั้งสองนิกายสามารถอยู่ร่วมกันได้แบบสงบสุขมาโดยตลอด ไม่มีสงครามหรือการต่อต้านกันของสองนิกายนี้เลย
แต่จริงๆ แล้วต้นเหตุของปัญหาความขัดแย้งระหว่างซาอุดีอาระเบียและอิหร่านนั้นไม่ใช่เพราะว่านิกายสุหนี่หรือชีอะห์ แต่เป็นเพราะทั้งซาอุฯ และอิหร่านนั้นมองว่าตัวเองเป็นเหมือนประเทศผู้นำของทั้งสองนิกายนี้ต่างหาก หรือพูดง่ายๆ ก็คือเกิดจากความขัดแย้งของอิหร่านและซาอุฯ นั่นเอง
เหตุการณ์สำคัญที่ทำให้ทั้งสองประเทศเข้าสู่สงครามเย็น
1979
1
เหตุการณ์เริ่มตึงเครียดขึ้นหลังจากการปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน ซึ่งได้ทำการขับไล่พระเจ้าชาห์ (The Shah) ซึ่งเป็นกษัตริย์ของอิหร่านออกจากประเทศ และได้เชิญ Ayatollah Khomeini ผู้นำที่เคยถูกขับไล่จากประเทศให้กลับมาที่อิหร่านและได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้นำของอิหร่าน
1
1980
สถานการณ์ตึงเครียดกว่าเดิมในปี 1980 ช่วงสงครามอิหร่าน-อิรัก ซาอุดีอาระเบียคอยหนุนหลังให้อิรักอย่างเงียบๆ โดยให้เงินสนับสนุนสูงถึงเดือนละ 1 พันล้านดอลลาร์ หลังจากสงครามผ่านไป 1 ปี ซาอุดีอาระเบียและประเทศพันธมิตรในอ่าวเปอร์เซีย รวมทั้งหมด 6 ประเทศ (บาห์เรน, ดูไบ, การ์ต้า, โอมาน และคูเวต) ได้ร่วมมือกันเพื่อจัดตั้งองค์กรที่มีจุดประสงค์เพื่อป้องกันไม่ให้การปฏิวัตินั้นแพร่กระจาย และเพื่อความปลอดภัยของประเทศตัวเองและประเทศพันธมิตรหรือ GCC (Gulf Cooperation Council)
1987-1991
ในปี 1987 ในระหว่างพิธีฮัจน์ในซาอุดีอาระเบียกำลังดำเนินไปตามปกติ มีเหตุการณ์จลาจลเกิดขึ้นโดยตำรวจได้บุกเข้ามายิงใส่ประชาชน ผลจากการจลาจลของตำรวจครั้งนี้ทำให้มีประชาชนเสียชีวิตกว่า 400 คน และใน 200 คนนั้นเป็นชาวมุสลิมนิกายชิอะห์ จึงเป็นผลให้กลุ่มประท้วงชาวอิหร่านโจมตีสถานทูตซาอุฯ และคูเวตในเมืองเตหะราน หลังจากนั้นซาอุฯ ได้ตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิหร่าน แต่ก็กลับมาพัฒนาความสัมพันธ์ทางการทูตกันอีกครั้งในปี 1991
1
2011
Arab Spring in Tunisia ผลจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้สถานการณ์แย่ลงกว่าเดิมมากจนทำให้ชาวมุสลิมนิกายชิอะห์ได้ออกมาประท้วงเพื่อต่อต้านกษัตริย์ที่ปกครองประเทศที่เป็นนิกายสุหนี่ โดยเฉพาะในประเทศบาห์เรน ซาอุฯ ได้ส่งกองกำลังเข้ามาปราบปรามและโทษว่าเป็นความผิดของอิหร่านในการทำให้เกิดความไม่สงบในครั้งนี้
2
2016
"The execution of Nimr al-Nimr" ซาอุฯ ได้ออกมาประกาศว่ามีการประหารชีวิต ซึ่งเป็นจำนวนมากกว่าปกติ โดยรวมทั้งหมดมีคนโดนประหารชีวิตไปทั้งหมด 47 คนในปีนั้น บางคนก็เป็นผู้ก่อการร้ายมุสลิมนิกายสุหนี่ บางคนก็เป็นกลุ่มอัลกออิดะห์ (Al-Qaeda) แต่หนึ่งในนั้นเขามีชื่อว่า Nimr al-Nimr ผู้นำมุสลิมนิกายชิอะห์ที่เป็นคนซาอุฯ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในกลุ่มของชาวมุสลิมนิกายชิอะห์
1
ประธานาธิบดีของอิรัก Haider al-Abadi ได้ออกมาประณามการกระทำของซาอุฯ ในครั้งนี้ว่าจะส่งผลต่อความไม่ปลอดภัยในภูมิภาคตะวันออกกลางอีกด้วย (แต่จำกันได้ใช่ไหมครับว่าก่อนหน้านี้ซาอุฯ เคยเป็นกุญแจสำคัญที่สนับสนุนอิรักในสงครามปี 1980) Iranian Revolutionary Guards ออกมาประกาศโดยขู่ว่าซาอุฯ เตรียมตัวรับมือกับการแก้แค้นที่รุนแรงและสาสมได้เลย
1
การที่ซาอุฯ ตัดสินประหารชีวิต Nimr นั้นไม่ใช่แค่เพราะต้องการกำจัดผู้นำของมุสลิมนิกายชิอะห์เพียงเท่านั้น แต่เค้าถูกมองว่าเป็นมุสลิมชิอะห์ที่เป็นอันตรายและส่งผลต่อความมั่นคงต่อประเทศเป็นอย่างมาก เพราะเค้าได้เปิดเผยต่อสาธารณะว่าเค้ามองอิหร่าน (ที่เป็นศัตรูของซาอุฯ) เป็นเหมือนพันธมิตรและคิดว่าอิหร่านสามารถสนับสนุนเขาและชาวมุสลิมนิกายชิอะห์ในสงครามเยเมนได้อีกด้วย การที่เขาถูกประหารนั้นได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์หรือเครื่องหมายที่สะท้อนถึงการกดขี่ข่มเหงที่ซาอุฯ และชาวมุสลิมนิกายสุหนี่ทำต่อชาวมุสลิมนิกายชิอะห์
ชาวมุสลิมนิกายชิอะห์ได้ออกมาประท้วงหลังจากเหตุการณ์ประหารชีวิตของ Nimr al-Nimr
Nimr al-Nimr คือใคร ทำไมถึงมีอิทธิพลในกลุ่มชาวมุสลิมนิกายชิอะห์
1
Nimr เป็นชาวมุสลิมนิกายชิอะห์ที่อาศัยอยู่ทางตะวันออกของซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นเหมือนบ้านของมุสลิมชิอะห์ที่กระจายอยู่เป็นส่วนน้อยและถูกจัดกลุ่มโดยรัฐบาลของซาอุฯ มีจำนวนประชากรประมาณ 15% ของประชากรทั้งหมดในซาอุฯ
Nimr นั้นไม่ใช่แกนนำหลักของกลุ่มที่เรียกร้องสิทธิ์ให้มุสลิมชิอะห์ แต่เขาเป็นที่สนใจและดึงดูดกลุ่มที่ต่อต้านรัฐบาลซาอุฯ ให้ออกมาต่อต้านรัฐบาลเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเป็นคนที่เก่งในเรื่องการพูด และเป็นคนที่มีวาทศิลป์ ตรงกันข้ามกับผู้นำคนอื่นที่พยายามจะเจรจาและใช้วิธีทางการเมืองในการแก้ปัญหา แต่ก็ไม่เป็นผลมากนัก
1
ในปี 2008 เขาได้เข้าพบกับผู้ที่ปฏิบัติงานในสถานทูตอเมริกา และทางสถานทูตได้ปล่อยเอกสารรายงานออกมาอย่างเป็นทางการโดยมีใจความประมาณว่า “Nimr ตำหนิและดูถูกพวกกลุ่มที่ใช้ความรุนแรงเป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตามเขาได้ขอให้สถานทูตสนับสนุนกลุ่มคนพวกนี้ด้วย...”
2
Nimr โด่งดังและเป็นที่รู้จักเป็นวงกว้างจากการที่เขาออกมาวิจารณ์การเสียชีวิตของ Nayef (เคยเป็นรัฐบาลของซาอุฯ) โดยพูดว่า “ไหนล่ะทหารและผู้คุ้มครองที่จะตามไปปกป้องนายจากหนอนในหลุมศพ”
1
อิหร่านและซาอุดีอาระเบียใช้เรื่องนิกายเป็นเหตุผลบังหน้าในการทำสงคราม?
เหตุผลหลักของปัญหาความขัดแย้งตอนนี้ในตะวันออกกลางดูเหมือนจะเป็นเรื่องของนิกายก็จริง สงครามในซีเรียและเยเมน แบ่งแยกทั้งสองนิกายเป็นกลุ่มใหญ่ๆ อย่างเห็นได้ชัด ในอิรักปัญหาทางการเมืองทำให้เกิดความแตกแยกของทั้งสองนิกายนี้เช่นกัน (ISIS เติบโตและขยายวงกว้างจนมีอิทธิพลในกลุ่มชาวมุสลิมสุหนี่ที่อาศัยอยู่ในอิรัก) และเหตุการณ์ประหารชีวิตของ Nimr ก็แบ่งแยกชาวมุสลิมทั้งสองนิกายในซาอุดีอาระเบีย แต่ถ้ามองจากภาพรวมดีๆ แล้วปัญหาเรื่องนิกายนั้นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เกิดสงครามในครั้งนี้ แต่เป็นเรื่องของการที่ทั้งสองประเทศแข่งกันที่จะเป็นผู้นำและเป็นเรื่องของอิทธิพลต่างหาก
2
ซาอุดีอาระเบียนั้นได้แต่งตั้งตัวเองเป็นเหมือนผู้นำของโลกมุสลิมมานานแล้ว และชาวมุสลิมส่วนใหญ่ตามประเทศต่างๆ ทั่วโลกก็เป็นนิกายสุหนี่ แต่หลังจากเหตุการณ์การปฏิวัติของอิหร่านในปี 1979 นั้นทำให้ซาอุฯ เกรงว่าอิหร่านจะกลายมาเป็นผู้นำและเผยแพร่คำสอนและความเชื่อของนิกายชิอะห์ไปทั่วตะวันออกกลาง เนื่องจากการปฏิวัติอิสลามในครั้งนั้นอิหร่านสามารถแสดงบทบาทและจุดยืนในฐานะของชาวมุสลิมและศาสนาอิสลามได้ดีกว่าซาอุดีอาระเบีย
CIA Report 1980 มีการรายงานว่าอิหร่านได้พยายามที่จะขยายการปฏิวัติไปตามประเทศต่างๆในตะวันออกกลาง ซึ่งทำให้รัฐบาลของซาอุฯเกิดความกลัวว่าอิหร่านจะปลุกระดมคนในประเทศให้ออกมาขับไล่รัฐบาลเหมือนที่พระเจ้าชาห์โดนจากเหตุการณ์ปฏิวัติในอิหร่าน
เอกสารรายงานของ CIA ในปี 1980 เกี่ยวกับการที่อิหร่านพยายามที่จะขยายการปฏิวัติไปทั่วตะวันออกกลาง
แล้วถ้าปัญหาไม่ได้เกิดจากความแบ่งแยกเรื่องนิกายทำไมทั้งสองนิกายถึงขัดแย้งกัน?
หลังจากเหตุการณ์ Arab Spring นั้นขยายวงกว้างไปทั่วตะวันออกกลาง ทำให้ประชาชนออกมาขับไล่รัฐบาล อิหร่านและซาอุฯได้พยายามที่จะเข้าไปแทรกแซง ซึ่งก็คือสนับสนุนความรุนแรงให้มุสลิมทั้งสองนิกายเข้าข้างนิกายที่ตัวเองนับถือ
อย่างเช่นในเยเมน ซาอุฯ มองว่ากลุ่มกบฏ Houthi (มุสลิมชิอะห์) ว่าเป็นหุ่นเชิดของอิหร่าน (อิหร่านก็ให้การสนับสนุนจริงๆ) ซึ่งซาอุฯ ได้พยายามทำให้เหมือนว่าเป็นสงครามระหว่างสองนิกายโดยการออกมาประกาศว่าอิหร่านสนับสนุนกลุ่ม Houthi การที่ซาอุฯ ทำเช่นนี้เพราะเป็นเรื่องง่ายมากที่จะทำให้ชาวมุสลิมสุหนี่ในเยเมนออกมาต่อต้าน และส่งผลดีให้ซาอุฯ ในการปกป้องอิทธิพลของตัวเอง แต่อิหร่านก็มีส่วนร่วมในการทำให้เกิดความขัดแย้งด้วยเช่นกัน
เช่นเดียวกับเหตุการณ์ในซีเรียที่ปัญหาความรุนแรงนั้นแทบจะไม่มีเรื่องของศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องเลย แต่เป็นเรื่องของประชาชนต่อสู้กับรัฐบาลที่เผด็จการต่างหาก ซึ่งรัฐบาลของซีเรียนั้นเป็นพันธมิตรกับอิหร่าน ซาอุฯ จึงมองว่ารัฐบาลซีเรียเป็นเหมือนศัตรู ซาอุฯ และประเทศพันธมิตรอ่าวจึงได้ก่อตั้งกลุ่มกบฏ ในซีเรียขึ้นมา ซึ่งเป็นกลุ่มมุสลิมสุหนี่หัวรุนแรงให้ออกมาต่อต้านมุสลิมนิกายชิอะห์ ซาอุฯ ทำให้กลุ่มกบฏ จงรักภักดีต่อประเทศตัวเองมากๆ และต่อต้านอิหร่านให้ถึงที่สุด
1
แต่อย่างไรก็ตามในวันที่ 9 เมษายนที่ผ่านมาได้มีการรายงานข่าวว่าทั้งสองประเทศได้มีการเจรจากันอย่างลับๆ ที่เมืองแบกแดดในอิรักถึงปัญหาสงครามในประเทศเยเมน โดยถูกเรียกว่า “Positive Talk” ก็ต้องรอดูกันต่อไปว่าจากการเจรจาครั้งนี้จะทำให้ทั้งสองยุติปัญหาความขัดแย้งได้หรือไม่
โฆษณา