25 เม.ย. 2021 เวลา 08:37 • ไลฟ์สไตล์
ทำไมปีวินเทจ (Vintage) ถึงสำคัญ?
Wine Vintage (ไวน์วินเทจ) หมายถึง ปีที่เก็บเกี่ยวองุ่น การหาปีวินเทจบนฉลากไวน์ก็แค่ดูที่ปี ค.ศ. ที่ระบุอยู่ในฉลากไวน์ ซึ่งอาจจะใส่อยู่ฉลากหน้าขวด หรือหลังขวดก็ได้ ซึ่งตัวเลขปีค.ศ. ดังกล่าวบอกให้คุณทราบว่าน้ำองุ่นที่อยู่ในขวดนั้นๆ สุกจนเอามาหมักทำเป็นไวน์ จนบรรจุลงขวดเมื่อไหร่ เพื่อให้นักดื่มได้รู้ข้อมูล และสามารถจินตนาการรสชาติได้คร่าวๆค่ะ
รูปปีวินเทจที่อยู่บนคอร์ก
ปีวินเทจมีความสำคัญ ดังนี้
1. บอกคุณภาพของไวน์: เมื่อเข้าใจความหมายของปีวินเทจ จะทำให้เข้าใจ หรือจินตนาการเกี่ยวกับ รสชาติ เนื้อสัมผัส (mouthfeel) มิติของไวน์ (texture) และกลิ่นไวน์ (aroma และ bouquets) ได้ก่อนที่จะดื่ม เพราะว่า สภาพภูมิอากาศของปีที่ผลิตในแต่ละปี ไม่เหมือนกัน! ดังนั้น ปีวินเทจจึงบ่งบอกปีที่ปลูกองุ่น คอไวน์จะทราบถึงความแตกต่างของคุณภาพของผลผลิต (ผลองุ่น) อย่างชัดเจนได้ในแต่ละปี เช่น ถ้าปี 2010 มีอากาศดีก็ได้องุ่นอร่อย ถ้าปีถัดมามีฝนตกเยอะทำให้ได่องุ่นมีรสชาติที่ไม่สมดุล เป็นต้น
2. บอกใบ้เกี่ยวกับรสชาติและกลิ่นของไวน์: ปีวินเทจบอกคาแรคเตอร์ หรือลักษณะเฉพาะ แต่ละปีมีความแตกต่างกันออกไป ดังนั้นเมื่อดื่มไวน์ที่มีปีวินเทจระบุ ทำให้คอไวน์สามารถจับคู่สภาพอากาศกับรสชาติและกลิ่นซึ่งเป็นผลผลิตของปีนั้นได้ ช่วยให้เข้าใจได้ว่าคาแรคเตอร์ของไวน์แบบไหนที่ชอบได้ง่ายขึ้น
3. บอกสัดส่วนขององุ่นแต่ละพันธุ์ที่ใช้ทำไวน์คร่าวๆ: การที่ระบุปีวินเทจบนฉลากไวน์ บางประเทศจะมีข้อบังคับชัดเจนว่าต้องใช้ผลผลิตจากล็อตในปีนั้นอย่างน้อย 75% หรือ 95% หมายความว่า 3 ใน 4 ของไวน์ที่ได้ในขวดนั้น จะต้องมาจากองุ่นที่ปลูกในปีนั้นเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าทำมาจากองุ่นพันธุ์เดียวกัน ไวน์แบบเบลนด์เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน เพราะว่าเป็นไวน์ที่ทำจากองุ่น 2 สายพันธุ์ขึ้นไป ซึ่งผสมได้แต่ต้องเป็นองุ่นที่ต้องปลูกในปีที่ระบุบนฉลากเท่านั้น
ไวน์ที่ไม่ระบุปีวินเทจ หรือ Non-Vintage Wine คืออะไร?
ส่วนใหญ่ไวน์ที่ไม่ระบุปีวินเทจเป็นไวน์แบบเบลนด์ (Blended Wine) คือไวน์ที่ผสมจากองุ่นหลายๆพันธุ์ที่ปลูกในเนื้อที่เดียวกันหลายๆปี ดังนั้นถ้าเห็นคำว่า N.V. หรือ Non-Vintageให้เข้าใจว่าเป็นไวน์ที่ไม่ได้ใช้องุ่นพันธุ์เดียวกันจากปีเดียวกัน
อย่างไรก็ตามไวน์แบบนี้ในประเทศโลกใหม่ เช่น ชิลี ออสเตรเลีย อเมริกา แอฟริกาใต้ เป็นต้น มักจะใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยด้วย เพื่อให้ได้รสชาติมีมาตรฐานสม่ำเสมอเหมือนกันทุกปีทุกขวด จึงไม่มีการระบุปีที่ผลิต นอกจากนี้ Non-vintage wine มักจะมีราคาถูก เหมาะสำหรับคนที่ชอบดื่มไวน์ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน
ตัวอย่าง ไวน์ที่ไม่มีการระบุปีวินเทจ
สรุป: ไวน์ Vintage หรือ Non-Vintage ต่างก็มีจุดดี มันขึ้นอยู่กับรสนิยมของผู้บริโภคว่าชอบไวน์แบบไหน ถ้าชอบไวน์ที่ราคาย่อมเยาว์ ดื่มง่ายๆ มีรสชาติเสถียร ไวน์ Non-Vintage ตอบโจทย์ค่ะ ในขณะเดียวกันถ้าชอบค้นหา ชอบไวน์ที่มีคาแรคเตอร์เฉพาะตัว มีรสชาติหรือกลิ่นที่ซับซ้อนกว่า ซึ่งเป็นไวน์ที่สะท้อนแตร์รัวก็เลือกซื้อไวน์ Vintage จะเหมาะที่สุด
ถ้าอยากรู้ว่าปีไหนดีก็สามารถหาข้อมูลได้จากหนังสือ Huge Johnson’s Pocket Wine Book เป็นหนังสือเล่มกระทัดรัด พกพาได้สะดวก จะตีพิมพ์อัพเดททุกปีค่ะ เนื้อหาจะแนะนำปีวินเทจอะไรที่ควรซื้อ ซื้อแล้วควรดื่มปีไหน รวมถึงอธิบายว่าปีไหนมีสภาพอากาศเป็นอย่างไร ดีหรือไม่ดีอย่างไร องุ่นแต่ละพันธุ์มีคาแรคเตอร์เด่นๆอะไร และมีแนะนำการจับคู่อาหารให้อ่านแบบกระชับ สั้นๆด้วยค่ะ (ปุ้ยก็ซื้อพกไว้อ่านเล่นๆ เพลินดีค่ะ)
หนังสือ Huge Johnson’s Pocket Wine Book
หากชอบบทความเกี่ยวกับไวน์แบบนี้ ฝากกด “ติดตาม” ด้วยนะคะ เพื่อเป็นกำลังใจให้ปุ้ยด้วยนะคะ 🤩🥳
ขอบคุณมากค่ะ 🤗
โฆษณา