26 เม.ย. 2021 เวลา 02:35 • ท่องเที่ยว
Dive 1 “น้ำหนีบ”
ผมให้ชื่อเรื่องแบบนี้ คนที่ไม่รู้เรื่องดำน้ำคงขำกันแย่ น้ำ....จะ “หนีบ” ได้ยังไง?….ในเมื่อมันเป็นของเหลวเปลี่ยนรูปร่างไปตามร่างกาย สงสัยนักว่ามันจะเอาแรงที่ไหนมา....“หนีบ”…..คุณผู้อ่านอย่าทำเป็นเล่นไป “น้ำหนีบ” นี่เจ็บนะครับ ดีไม่ดีมีโอกาสพิการหรือตายเลยทีเดียว….เพราะน้ำหนีบในที่นี้ มันเป็น “อาการเจ็บป่วยชนิดหนึ่งซึ่งเกิดจากการดำน้ำ”
ทุกครั้งที่มีการดำน้ำ Instructor มืออาชีพที่ดีจะมีการวางแผน กำหนดตารางเวลาในการดำน้ำแต่ละ dive ว่าจะดำกี่นาที? แล้วจะลงไปลึกแค่ไหน ? ซึ่งเป็นกฎที่ต้องปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยของนักดำน้ำ
Brief กับทีมกู้ภัยปฏิบัติการพิเศษ (SSR) ก่อนลงดำ Night dive
ทั้งนี้เพราะหากนักดำน้ำดำอยู่ในที่ลึก แล้วพรวดพราด รีบว่ายกลับขึ้นสู่ผิวน้ำเร็วเกินไป ฟองอากาศที่เราสูดเข้าไป จากฟองเล็กๆที่เรามองไม่เห็น ก็จะขยายตัวเป็นฟองใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว และเจ้าฟองอากาศที่ว่า ก็จะไปอุดตันหลอดเลือดในร่างกาย พอนักดำน้ำกลับขึ้นถึงผิวน้ำ ก็จะมีอาการเป็นผดแดง ผิวหนังอาจปูดโปน เจ็บเหมือนใครเอาเข็มมาแทง หรือเจ็บตามข้อ….นั่นแหละเป็นอาการที่แสดงว่า....คุณ (ซวยแล้วครับ) ได้ถูก “น้ำหนีบ” เข้าให้แล้ว
“น้ำหนีบ” ไม่ได้มีสาเหตุมาจากเชื้อโรคนะครับ แต่มีสาเหตุมาจากการดำน้ำ โดยมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Decompression Sickness (DCS) คือ “การป่วยจากการลดความกดดันไม่พอ” หรือมีอีกชื่อว่า Bend ที่แปลว่าโค้งงอนั่นแหละครับ
สาเหตุหลักๆ คือ อยู่ในระดับความลึกนั้นๆ เกินขอบเวลาที่มาตรฐานกำหนด พูดง่ายๆว่า อยู่ใต้น้ำนานเกินไป หรือสาเหตุ คือดำกลับขึ้นสู่ผิวน้ำเร็วเกินไป ซึ่งการดำกลับขึ้นสู่ผิวน้ำเร็วนี้ อย่างเบาก็เป็น DCS ถ้าหนักก็ปอดฉีก
ส่วนอาการที่นอกจากจะเป็นผดผื่นแดง ผิวหนังปูดโปน ปวดตามข้อและกล้ามเนื้อ หากเป็นหนักๆ ก็อาจเป็น อัมพฤกษ์ อัมพาต หมดสติและถึงกับเสียชีวิต “ส่วนใหญ่จะเกิดอาการภายใน 3-6 ชั่วโมง หลังกลับขึ้นสู่ผิวน้ำแล้ว”
อันตรายจากอาการนี้ มักเกิดกับชาวประมงพื้นบ้านบ่อยครั้ง เพราะชาวบ้านไม่มีความรู้เรื่องเวชศาสตร์การดำน้ำ ขาดความรู้ความเข้าใจ แต่ต้องทำมาหากินดำน้ำลงไปหาปลา จึงใช้ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญล้วนๆ เลยคิดว่า “เอาอยู่” จึงมักเจ็บป่วยหรือเสียชีวิตจากสาเหตุดังกล่าวอยู่เนืองๆ
และก็ด้วยความที่ไม่รู้นั่นแหละครับ พวกเขาก็เลยเรียกโรคนี้ว่า “น้ำหนีบ” ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามัน “หนีบ” ตรงไหน อาจจะตรงที่เจ็บหรือปวดตามข้อตามผิวหนังกระมัง ที่พอจะอนุมานได้ว่า เจ็บปวดคล้ายถูกอะไรหนีบ
DCS โรคที่เกิดจากการลดความกดไม่พอ หรือ โรคน้ำหนีบ
ตัวผมเองนั้น แม้จะเคยถูกประตูหนีบ มือหนีบ ปูหนีบ และอะไรต่อมิอะไรหนีบมาบ้าง แต่ก็ต้องบอกว่ายังไม่เคยถูกน้ำหนีบแม้แต่ครั้งเดียว จะมีก็เพียงแค่ได้ยินได้ฟัง หรือร่วมอยู่ในสถานการณ์ของคนที่ถูก “น้ำหนีบ” มาไม่น้อย เลยพอที่จะหยิบยกมาเล่าสู่กันฟังได้บ้าง
หลายปีก่อน มีข่าวครึกโครมโด่งดังตามหน้าหนังสือพิมพ์อยู่สองสามวัน ว่ามีบุคคลสาธารณะคนหนึ่งประสบอุบัติเหตุจากการดำน้ำจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด เขาเล่าว่า ได้ไปดำน้ำที่ ต.แสมสาร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี และระหว่างไต่เชือกทุ่นเพื่อจะดำลงไปที่ความลึก ก็เกิดเหตุการณ์ประหลาด คือน้ำทะเลเกิดความแปรปรวนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และก็ดูดตัวเขาลงไปใต้ทะเล แล้วก็โยนกลับขึ้นไปข้างบน ทำให้เขาตกใจจนเผลอปล่อยมือหลุดจากเชือกทุ่นที่เกาะอยู่
ด้วยกระแสน้ำที่แรงมากจึงดันให้ร่างของเขาปลิว ลอยขึ้นสู่ผิวน้ำอย่างรวดเร็ว เป็นผลให้ก๊าซไนโตรเจนที่อยู่ในร่างกายเกิดการขยายตัวกลายเป็นฟองอย่างฉับพลัน และไปอุดตันในเส้นเลือด เป็นผลให้เกิด DCS และในข่าวนั้น แพทย์ผู้รักษาบอกกับผู้สื่อข่าวว่า “ถ้าวันนั้นไปถึงโรงพยาบาลช้าเกินกว่า 4 ชั่วโมง ก็จะเป็นอันตรายถึงกับเป็นอัมพฤกษ์หรืออัมพาตได้”
ผมอ่านข่าวนี้แล้วก็ดีใจที่เขาปลอดภัย เพราะคนอ่อนโยนอย่างผมไม่อยากเห็นใครก็ตามต้องได้รับอันตรายไม่ว่าจากเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น และจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ผมได้รับทั้งอุทาเห่าและหรณ์ สอนให้รู้ว่า “ต้องมีสติ” เพราะถ้าเราตกใจแล้วตัดสินใจทำอะไรผิดๆ ตามความตื่นตระหนก ทุกอย่างจะแย่ลงกว่าเดิม
เหตุการณ์นี้คงจะไม่รุนแรง หากเขาไม่ปล่อยมือหลุดออกจากเชือกทุ่นที่เกาะอยู่ เชื่อผมเถอะครับไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นสติต้องมาเป็นสิ่งแรก อย่าตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ไม่งั้นทุกอย่างจะแย่ลงกว่าเดิม และให้จำไว้นะครับว่า “ในการดำกลับขึ้นสู่ผิวน้ำทุกครั้ง ห้ามใช้ความเร็ว และห้ามกลั้นหายใจโดยเด็ดขาด” ไม่เช่นนั้นจะถูก “น้ำหนีบ” และอันตรายจน “ปอดอาจฉีก” ได้ครับ
อากาศที่นักดำน้ำหายใจ จะเป็นฟองอยู่ในหลอดเลือด
ขอบคุณที่ติดตามครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา