25 เม.ย. 2021 เวลา 14:24 • ยานยนต์
“ผ่อนต่อไม่ไหว เอารถไปคืนไฟแนนซ์ แล้วไม่ต้องเสียค่าส่วนต่าง...จริงหรือไม่???”
ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่รวยกระจุก จนกระจาย และถูกซ้ำเติมด้วยหายนะครั้งใหญ่จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า Covid-19 ถึง 3 ระลอก หนึ่งในรายการหนี้ก้อนโตที่ทุกคนมักจะเลือกตัดออกไปเป็นอันดับต้นๆ เลยก็คือค่างวดรถ ซึ่งก็จัดว่าเป็นแนวความคิดที่เข้าท่าอยู่ แต่ปัญหามันอยู่ที่วิธีการในการตัดรายจ่ายนั้นออกไปอย่างไร ให้เกิดปัญหาตามมาน้อยที่สุดต่างหาก
บางคนเลือกที่จะขายดาวน์ เปลี่ยนสัญญาให้คนอื่นมาผ่อนต่อ ซึ่งจัดว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดหากทำอย่างถูกต้องโดยได้รับความยินยอมจากไฟแนนซ์ แต่หากไปทำสัญญากันเองระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายโดยที่ไฟแนนซ์ไม่รู้เรื่อง อันนี้ไม่แนะนำอย่างยิ่งเพราะหากผู้ซื้อไม่จ่ายค่างวดเราเองกลับต้องเป็นผู้รับผิดชอบบรรดาค่างวดและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ทั้งหมดแทนโดยที่รถก็ไม่ได้อยู่กับเรา มิหนำซ้ำยังถือเป็นการผิดสัญญาซึ่งถ้าไฟแนนซ์ต้องการรถคืนแต่เราไม่มีให้ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะถูกดำเนินคดีอาญาข้อหายักยอกทรัพย์เช่นเดียวกับกรณีการแอบเอารถไปจำนำแล้วปล่อยหลุดไปนั่นเอง
ส่วนสำหรับหลายๆ คน ที่หลังจากพยายามประกาศขายดาวน์รถอยู่หลายเดือนแล้วก็ไม่เป็นผล จนสุดท้ายจำต้องนำรถกลับไปคืนไฟแนนซ์เพื่อขอยกเลิกสัญญา ซึ่งวิธีการดังกล่าวนี้ปัจจุบันกำลังเป็นที่นิยมในสื่อสังคมออนไลน์ ที่มักจะมีผู้คอยให้คำแนะนำว่าถ้านำรถไปคืนไฟแนนซ์โดยที่เราไม่เคยค้างค่างวดหรือก่อนจะถูกยกเลิกสัญญาแล้วเราจะเป็นอันหลุดพ้นไม่ต้องรับผิดชอบค่าส่วนต่าง ค่าขาดราคา ฯลฯ บรรดาที่ไฟแนนซ์มักจะมาเรียกร้องจากเราหลังจากนำรถไปขายทอดตลาด
แต่คำแนะนำเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ มีที่มาอย่างไร และอะไรเป็นนัยที่แฝงอยู่ภายใต้กลวิธีดังกล่าว ในบทความนี้ผมจะพาทุกท่านไปทำความเข้าใจถึงเบื้องลึก เบื้องหลัง การตีความข้อกฎหมายและแนวทางการใช้สิทธิตามกฎหมายของผู้บริโภคในกรณีที่มีข้อพิพาทกับไฟแนนซ์ เพื่อที่ทุกท่านจะได้ตะหนักถึงข้อดีและข้อเสีย ในการเลือกใช้วิธีการต่างๆ เพื่อรักษาสิทธิของตน รวมไปถึงเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดแก่ตัวท่านเองหรือต่อบุคคลอื่น หากมีการตีความและนำกฎหมายไปใช้ในวิธีการที่ไม่สมควร
ก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าใจถึงนิติสัมพันธ์หรือความเกี่ยวข้องทางกฎหมายระหว่างลูกค้า (ผู้เช่าซื้อ) กับไฟแนนซ์ (ผู้ให้เช่าซื้อ) ก่อน โดยลักษณะของการทำนิติกรรมในการผ่อนรถแต่ละคันของเรานั้น จะแตกต่างกับการผ่อนบ้าน ผ่อนคอนโด หรือผ่อนเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ อย่างสิ้นเชิง กล่าวคือ ในการผ่อนบ้านหรือผ่อนเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ นั้น เราเป็นเจ้าของสินค้าที่ผ่อนทันทีตั้งแต่วันแรกที่ซื้อ ซึ่งในการผ่อนบ้าน ลักษณะของนิติกรรมคือเรากู้เงินจากธนาคารมาซื้อบ้าน และเราเอาบ้านไปจดทะเบียนจำนองไว้เป็นประกันการชำระหนี้ต่อธนาคาร บ้านจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของเรา แต่สำหรับการผ่อนรถนั้น จะเป็นการทำนิติกรรมอีกประเภทหนึ่งที่เรียกว่าการ “เช่าซื้อ” ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 572 วรรคแรก บัญญัติว่า “อันว่าเช่าซื้อนั้น คือสัญญาซึ่งเจ้าของเอาทรัพย์สินออกให้เช่า และให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินนั้นหรือว่าจะให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่า โดยเงื่อนไขที่ผู้เช่าได้ใช้เงินเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้คราว” ดังนั้นเมื่อเราเดินไปโชว์รูม เลือกซื้อรถคันที่ต้องการ และเซ็นสัญญาเช่าซื้อรถคันนั้นมาจากไฟแนนซ์ หมายความว่าไฟแนนซ์ได้จ่ายเงินซื้อรถคันนั้นไว้และเป็นเจ้าของรถคันดังกล่าวแล้ว จากนั้นไฟแนนซ์จึงนำรถคันนั้นออกให้เราเช่า เราจึงเป็นเพียงผู้ครอบครองรถแต่มิใช่เจ้าของจนกว่าจะจ่ายค่างวดจนครบ ซึ่งค่างวดแต่ละงวดที่เราเข้าใจว่าคือการผ่อนชำระค่ารถนั้นจริงๆ แล้วคือ ค่าเช่ารถจากไฟแนนซ์ โดยมีเงื่อนไขว่าเมื่อเราจ่ายค่าเช่าครบตามจำนวนที่ตกลงกันไฟแนนซ์จึงจะโอนกรรมสิทธิ์ในรถนั้นให้เป็นของเรา แต่หากเราชำระค่าเช่า หรือที่เรียกว่าค่าเช่าซื้อหรือค่างวดไม่ครบ หรือไม่ต้องการจะชำระต่อแล้ว นั่นจึงจะก่อให้เกิดปัญหาที่จะต้องนำสัญญามากางเพื่อทำความเข้าใจและแก้ปัญหาไปตามกรอบของกฎหมาย
สัญญาเช่าซื้อนั้นเป็นเอกเทศสัญญารูปแบบหนึ่งในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งมีบทบัญญัติหลักการพื้นฐานเอาไว้อยู่ 3 มาตรา ได้แก่ มาตรา 572, 573, 574 และเนื่องจากกฎหมายมิได้บัญญัติห้ามคู่สัญญาตกลงกันแตกต่างหรือนอกเหนือไปจากบทบัญญัติทั้งสามมาตรานี้ คู่สัญญาจึงสามารถระบุเงื่อนไขต่างๆ ไว้มากมายในสัญญาเช่าซื้อ แต่ต้องอยู่ภายใต้แบบของสัญญาตามประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2561 ซึ่งเมื่อนำข้อกฎหมายและประกาศดังกล่าวมาใช้ประกอบร่วมกันแล้วจะพบว่าสัญญาเช่าซื้อนั้นมีวิธีสิ้นสุดลงอยู่ทั้งหมด 4 วิธี ได้แก่
1.สัญญาสิ้นสุดตามระยะเวลาเมื่อผู้เช่าซื้อชำระค่าเช่าครบและได้รับโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์คันที่เช่าซื้อแล้ว
2.ผู้ให้เช่าซื้อ (ไฟแนนซ์) บอกเลิกสัญญา
3.ผู้เช่าซื้อ (ลูกค้า) บอกเลิกสัญญา
4.คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายต่างสมัครใจเลิกสัญญา
แน่นอนว่าการสิ้นสุดของสัญญาไปตามวิธีแรกนั้นเป็นวิธีในฝันของใครหลายๆ คนที่ถือว่าประสบความสำเร็จในการก่อหนี้และชดใช้หนี้จนหมดสิ้นโดยไม่มีภาระอื่นๆ ตามมา คงไม่มีปัญหาที่ต้องกล่าวถึงกันในบทความนี้
ส่วนวิธีที่ 2 การที่ผู้ให้เช่าซื้อจะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญานั้น ถ้าไม่นับเรื่องการถูกจับได้ว่ายักยอกรถไปจำนำ หรือจงใจทุจริตโดยประการอื่นแล้ว สาเหตุหลักก็จะมาจากการผิดนัดไม่ชำระค่างวด ซึ่งการที่ผู้ให้เช่าซื้อหรือไฟแนนซ์จะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาโดยเหตุดังกล่าวนี้ มักจะนำมาซึ่งภาระที่ผู้เช่าซื้อต้องแบกรับตามมาคือ การถูกยึดรถ ค่าติดตามทวงถาม ค่าเสียหาย เบี้ยปรับ ดอกเบี้ยผิดนัด ค่าขาดประโยชน์ ค่าขาดราคา (ส่วนต่างจากการขายทอดตลาดได้ราคาต่ำ) แต่ทั้งนี้ทางผู้ให้เช่าซื้อหรือไฟแนนซ์ก็ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้เช่นกัน จึงจะสามารถใช้สิทธิเรียกร้องดังกล่าวกับผู้เช่าซื้อได้ เริ่มจาก ผู้เช่าซื้อผิดนัดค่าเช่าซื้อ 3 งวดติดๆ กัน --- ผู้ให้เช่าซื้อส่งหนังสือบอกกล่าวทวงถามไปยังผู้เช่าซื้อ ให้เวลาชำระหนี้ 30 วัน นับแต่วันที่ผู้เช่าซื้อได้รับหนังสือ --- ผู้เช่าซื้อไม่ชำระค่าเช่าซื้อภายในระยะเวลาที่กำหนดให้ --- ผู้ให้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาและกลับเข้าครอบครองรถ --- ผู้ให้เช่าซื้อมีหนังสือแจ้งให้ผู้เช่าซื้อทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วัน เพื่อให้ผู้เช่าซื้อใช้สิทธิซื้อรถได้ในราคาตามมูลหนี้ส่วนที่ขาดอยู่ตามสัญญาเช่าซื้อและให้ส่วนลดไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของดอกเบี้ยเช่าซื้อที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระ --- หากผู้เช่าซื้อไม่มาใช้สิทธิ ให้ผู้ให้เช่าซื้อมีหนังสือแจ้งผู้ค้ำประกันทราบเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 15 วัน นับแต่วันที่สิ้นระยะเวลาใช้สิทธิของผู้เช่าซื้อ โดยให้สิทธิผู้ค้ำประกันซื้อรถได้เช่นเดียวกับสิทธิของผู้เช่าซื้อ --- ผู้ให้เช่าซื้อมีหนังสือแจ้งให้ผู้เช่าซื้อและผู้ค้ำประกันทราบถึงกำหนดวัน สถานที่ และชื่อผู้ทำการขายทอดตลาด ล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วัน ก่อนถึงกำหนดวันขายทอดตลาด --- ผู้ให้เช่าซื้อจัดให้มีการขายทอดตลาดด้วยวิธีที่เหมาะสมโดยผู้ให้เช่าซื้อห้ามเข้าสู้ราคาเองไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม --- ผู้ให้เช่าซื้อแจ้งให้ผู้เช่าซื้อทราบภายใน 15 วันนับแต่วันที่ทำการขายถึงส่วนต่างที่ผู้เช่าซื้อต้องชำระ จากนั้นจึงจะเข้าสู่กระบวนการฟ้องร้องบังคับคดีตามกฎหมาย หากผู้ให้ เช่าซื้อดำเนินการข้ามขั้นตอนหนึ่งขั้นตอนใดไปแม้เพียงขั้นตอนเดียว ก็จะนำไปสู่สิทธิของผู้เช่าซื้อที่สามารถยกเป็นข้อต่อสู้เพื่อหักลบจำนวนหนี้ที่ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีกันในชั้นศาลได้ (อ้างอิงตามประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2561 ข้อ 4 (4), (5) และ (6))
วิธีที่ 3 การบอกเลิกสัญญาโดยผู้เช่าซื้อนั้น ทำได้โดยการนำรถที่เช่าซื้อไปคืนแก่ผู้ให้เช่าซื้อ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 573 หรือปฏิบัติตามขั้นตอนเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญา ซึ่งขั้นตอนและเงื่อนไขดังกล่าวสามารถกำหนดเพิ่มเติมหรือแตกต่างไปจากที่กฎหมายมาตราดังกล่าวบัญญัติไว้ก็ได้ตราบใดที่ไม่ขัดต่อประกาศของคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาฯ โดยการบอกเลิกสัญญาโดยผู้เช่าซื้อดังกล่าวนี้มักจะมีเงื่อนไขข้อตกลงให้ผู้เช่าซื้อยินยอมผูกพันตนเข้าชำระหนี้ค่าส่วนต่าง และค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ตามมาอีกแบบเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งขั้นตอนทั้งหมดจะเริ่มไล่ดำดับตั้งแต่ ผู้ให้เช่าซื้อกลับเข้าครอบครองรถ --- ผู้ให้เช่าซื้อมีหนังสือแจ้งให้ผู้เช่าซื้อทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วัน เพื่อให้ผู้เช่าซื้อใช้สิทธิซื้อรถได้ในราคาตามมูลหนี้ส่วนที่ขาดอยู่ตามสัญญาเช่าซื้อ... ฯลฯ ... ไล่ไปจนถึงขั้นตอนที่ผู้ให้เช่าซื้อแจ้งให้ผู้เช่าซื้อทราบภายใน 15 วันนับแต่วันที่ทำการขายถึงส่วนต่างที่ผู้เช่าซื้อต้องชำระ ตามลำดับเช่นเดียวกับกรณีที่กล่าวไว้ข้างต้นทุกประการ
สำหรับวิธีสุดท้ายนั้น ก็คือการที่ทั้งสองฝ่ายตกลงพร้อมใจกันให้ยกเลิกสัญญา โดยการเปลี่ยนแปลงตัวผู้เช่าซื้อคนใหม่มารับช่วงแทน (ขายดาวน์โดยได้รับความยินยอมจากไฟแนนซ์) หรือการที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาโดยไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้แต่อีกฝ่ายก็ยินยอมให้เลิกสัญญาได้ ในบางกรณีก็ถูกตีความว่าถือเป็นการสมัครใจเลิกสัญญากันทั้งสองฝ่ายเช่นกัน ซึ่งการสมัครใจเลิกสัญญาทั้งสองฝ่ายนั้นทำให้ต่างฝ่ายต่างไม่มีสิทธิจะไปเรียกร้องเอาเบี้ยปรับหรือค่าเสียหายใดๆ อันเกิดขึ้นหลังจากสัญญาเลิกกันได้ ไฟแนนซ์จึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องเอาค่าส่วนต่างหรือค่าขาดราคาจากการสมัครใจเลิกสัญญานี้ เว้นแต่จะมีการตกลงแสดงเจตนาบางอย่างที่ผูกพันตนให้ต้องชำระหนี้ในขณะที่เลิกสัญญานั้น
1
จากที่กล่าวมาข้างต้น ถ้าว่ากันตรงๆ แล้วการนำรถไปคืนไฟแนนซ์ น่าจะเป็นลักษณะของการที่ผู้เช่าซื้อเป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญา ตามวิธีที่ 3 ที่ควรจะนำมาซึ่งภาระหนี้ในค่าส่วนต่างตามที่ตนได้แสดงเจตนาเข้าผูกพันตนเพื่อชำระตั้งแต่ตอนทำสัญญากันไว้และตอนเข้าไปบอกเลิกสัญญา แต่ทำไมถึงปรากฏคำแนะนำมากมายว่าให้นำรถไปคืนไฟแนนซ์ก่อนจะถูกยึดแล้วจะทำให้ไม่ต้องเสียค่าส่วนต่าง
อันดับแรกเราต้องมาทำความเข้าใจถึงค่าส่วนต่างที่เราเรียกกันจนชินปากเสียก่อน ค่าส่วนต่างหรือค่าขาดราคาที่ว่านี้เป็นหนี้ที่เกิดขึ้นหลังจากผู้ให้เช่าซื้อหรือไฟแนนซ์ได้กลับเข้าครอบครองรถและนำรถออกขายทอดตลาดหรือประมูลได้เงินมาแล้ว โดยวิธีคำนวณคือนำจำนวนเงินที่ได้จากการประมูลหรือขายทอดตลาดรถคันที่เช่าซื้อ มาหักกับเงินค่างวดที่ค้างชำระและเงินค่างวดที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระ รวมเบี้ยปรับ ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการทวงถาม หากหักแล้วยังเหลือ ส่วนที่เกินต้องคืนผู้เช่าซื้อ (ซึ่งส่วนใหญ่ไม่เคยเหลือ) แต่ถ้าหักแล้วยังขาด ผู้เช่าซื้อก็ต้องรับผิดในส่วนที่ขาดนั้น (อ้างอิงตามประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2561 ข้อ 4 (5) ข. และค.)
โดยส่วนมากแล้วข้อเท็จจริงมักปรากฏว่าไม่ว่าไฟแนนซ์จะมาตามยึดรถคืนจากเราหรือเราเป็นฝ่ายเอารถไปคืนไฟแนนซ์ก็ตาม เมื่อไฟแนนซ์นำรถออกประมูลหรือขายทอดตลาดมักจะขายได้ในราคาที่ต่ำมากๆ และต่ำกว่าราคาที่ซื้อขายกันในท้องตลาดเสมอ ส่งผลให้เกิดส่วนต่างของราคาเป็นหนี้ที่ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดชอบจำนวนมาก ถ้าเป็นรถจักรยานยนต์ก็หลายหมื่นบาทอยู่ ถ้าเป็นรถยนต์ส่วนมากก็หลักแสนถึงหลักล้านบาทกันเลยทีเดียว มิหนำซ้ำมีหลายคดีที่เวลาไฟแนนซ์มาฟ้องก็มักจะนำเอาทั้งค่าขาดราคา ค่าขาดประโยชน์ ดอกเบี้ย เบี้ยปรับ ค่าเช่าซื้อค้างชำระ มาคิดคำนวณทับซ้อนกัน สร้างภาระหนี้เกินสมควรให้แก่ผู้บริโภคเป็นจำนวนมาก จนก่อให้เกิดแนวทางการต่อสู้คดีจากฝ่ายผู้บริโภคและวิวัฒนาการในการตีความบังคับใช้กฎหมายจากศาลสูงเป็นบรรทัดฐานและแนวทางในการปกป้องรักษาสิทธิของประชาชน
แรกเริ่มเดิมทีนั้น การต่อสู้เพื่อลดภาระหนี้สินที่เกินสมควรให้แก่ประชาชนนั้นเริ่มจากการตีความสัญญาและข้อกฎหมายว่าค่าส่วนต่างที่เกิดจากการขายทอดตลาดหรือประมูลรถได้ราคาต่ำกว่าหนี้ค้างชำระนั้น เกิดขึ้นหลังจากสัญญาเช่าซื้อได้สิ้นสุดลงไปแล้วโดยอาศัยเหตุจากการผิดสัญญาของผู้เช่าซื้อ เป็นการตกลงกันไว้ล่วงหน้าว่าผู้เช่าซื้อจะชำระเงินจำนวนหนึ่งให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อเมื่อตนผิดสัญญา ถือว่าเป็น “เบี้ยปรับ” ซึ่งตามกฎหมายศาลสามารถกำหนดเบี้ยปรับลดลงเพื่อให้เหมาะสมและเป็นธรรมแก่จำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 (อ้างอิงคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ 7849/2538)
ต่อมา หลังจากมีการประกาศให้ธุรกิจให้เช่าซื้อฯ เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา และมีการกำหนดให้ผู้เช่าซื้อต้องผิดนัดค่าเช่าซื้อ 3 งวดติดๆ กัน และผู้ให้เช่าซื้อบอกกล่าวให้เวลาอีก 30 วัน จนครบกำหนดแล้วยังไม่จ่ายให้ครบถ้วนอีกเท่านั้น ผู้ให้เช่าซื้อหรือไฟแนนซ์จึงจะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและยึดรถคืนได้ แต่ปรากฏว่าบรรดาบริษัทรับทวงหนี้ตลอดจนเจ้าหน้าที่ไฟแนนซ์ที่ขยันจนเกินหน้าที่ทั้งหลายกลับละเลยไม่สนใจขั้นตอนตามสัญญาและตามกฎหมายดังกล่าว กลับมายึดรถของผู้เช่าซื้อคืนไปตั้งแต่ผิดนัดงวดแรกก็ดี หรือค้างค่างวด 3 งวดติดกันแต่ยังไม่ทันส่งหนังสือบอกกล่าวให้ผู้เช่าซื้อก็ดี หรือได้ส่งหนังสือบอกกล่าวแล้วระยะเวลายังไม่ทันครบ 30 วันก็ดี โดยบังคับให้ผู้เช่าซื้อเซ็นชื่อยินยอม “ส่งมอบรถ” คืนให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อ อันจะเห็นได้ว่าเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคและไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมาย ผลที่ตามมาคือศาลได้อาศัยบรรทัดฐานเดิมที่เคยวางหลักไว้ว่าค่าขาดราคาหรือค่าส่วนต่างนั้นถือเป็น “เบี้ยปรับ” ตามกฎหมาย แต่ในเมื่อระยะเวลาตามกฎหมายและตามข้อสัญญาที่ให้โอกาสผู้เช่าซื้อชำระหนี้ ยังไม่สิ้นสุดลง และไฟแนนซ์หรือผู้ให้เช่าซื้อนั้นก็ยังไม่ได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา จึงจะถือว่าสัญญาเลิกกันเพราะเหตุที่ผู้เช่าซื้อผิดสัญญาไม่ได้ และการที่ผู้เช่าซื้อเซ็นชื่อยินยอม “ส่งมอบรถ” คืนให้แก่ทางไฟแนนซ์ มิใช่การ “ยึด” รถ แต่เป็นการส่งมอบรถโดยความสมัครใจ และทางไฟแนนซ์หรือผู้ให้เช่าซื้อก็รับรถนั้นคืนไปแล้ว การที่ไฟแนนซ์หรือผู้ให้เช่าซื้อก็รับรถนั้นกลับไปก่อนที่การบอกเลิกสัญญาจะมีผล ก็ถือได้ว่ายินยอมให้มีการเลิกสัญญากันโดยความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย เมื่อสัญญามิได้สิ้นสุดลงเพราะเหตุที่ผู้ให้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาจากการที่ผู้เช่าซื้อผิดสัญญา ก็ย่อมไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาค่าขาดราคาหรือค่าส่วนต่างซึ่งเป็นเบี้ยปรับดังกล่าวได้ กล่าวคือ ไม่ต้องเสียค่าส่วนต่างแม้แต่บาทเดียว แต่ยังต้องรับผิดชดใช้ค่างวดที่ค้างชำระและค่าขาดประโยชน์ในช่วงก่อนที่จะคืนรถ (อ้างอิงคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ 4576/2561)
4
จะเห็นได้ว่าในช่วงที่ผ่านมาศาลได้มีการตีความเรื่องค่าส่วนต่างหรือค่าขาดราคาไว้ว่าเป็นเบี้ยปรับ ซึ่งศาลจะกำหนดลดน้อยลงกว่าที่โจทก์ฟ้องมาเพียงใดก็ได้ หรือหากไฟแนนซ์หรือผู้ให้เช่าซื้อใช้สิทธิโดยไม่สุจริต บีบบังคับเอารถคืนมาก่อนจะครบกำหนดระยะเวลาที่กฎหมายและข้อสัญญาให้สิทธิไว้ ก็ให้ค่าขาดราคาหรือค่าส่วนต่างนั้นเป็นอันหลุดพ้นไม่ต้องจ่ายกันเลยสักบาทเพราะผู้ให้เช่าซื้อไม่ยอมปฏิบัติตามขั้นตอนที่ตกลงกันไว้ ทั้งนี้ก็เพื่อคุ้มครองสิทธิของประชาชนผู้บริโภค มิให้ถูกสถาบันการเงินหรือไฟแนนซ์เอาเปรียบมากจนเกินสมควร และถือเป็นการสั่งสอนบรรดาบริษัทรับจ้างทวงหนี้และผู้ให้เช่าซื้อทั้งหลายได้เข็ดหลาบรู้จักใช้สิทธิของตนแต่พอประมาณ
แต่ทว่า แนวบรรทัดฐานที่ว่านี้กลับสร้างช่องโหว่ขึ้นมาในการตีความข้อกฎหมายดังกล่าว เมื่อสิทธิที่จะเรียกเอาค่าส่วนต่างของไฟแนนซ์จะต้องเริ่มจากเหตุที่ผู้เช่าซื้อผิดสัญญาก่อนเท่านั้น จึงเกิดกรณีลูกหนี้หัวใสรีบจัดการรักษาสิทธิของตนเองก่อนจะถูกกล่าวหาว่าผิดนัด โดยการนำรถไปคืนไฟแนนซ์ทันทีที่ไหวตัวทันว่าไม่น่าจะหมุนเงินมาจ่ายค่างวดทัน สถานการณ์เลยกลับกลายเป็นว่าผู้เช่าซื้อยังไม่เคยค้างชำระค่าเช่าซื้อสักงวด แต่เดินดุ่มๆ เอารถมาคืนถึงที่ทำการและให้ไฟแนนซ์เซ็นรับรถไว้ จนกระทั่งนำรถไปขายทอดตลาดและมีผู้ประมูลได้เรียบร้อยจึงนำคดีไปฟ้องให้ผู้เช่าซื้อมาจ่ายค่าส่วนต่าง แต่ปรากฏว่าฝ่ายจำเลยยืนกรานสู้เต็มที่โดยอาศัยแนวบรรทัดฐานเดิมว่าค่าส่วนต่างเป็นเบี้ยปรับ แต่จำเลยมิได้ผิดสัญญา ไม่เคยค้างค่างวดสักงวด คดีจึงขึ้นสู่ศาลสูงและมีคำพิพากษาเป็นแนวทางลงมาว่าการที่ผู้เช่าซื้อนำรถไปคืนเอง ถือว่าเป็นการใช้สิทธิเลิกสัญญาเช่าซื้อตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 573 และการที่ผู้เช่าซื้อมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาและไม่ปรากฏว่าในขณะที่สัญญาเลิกกันผู้เช่าซื้อมีหนี้ที่จะต้องรับผิดต่อผู้ให้เช่าซื้อหรือไม่ เพียงใด ผู้ให้เช่าซื้อย่อมไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดราคาจากผู้เช่าซื้อได้ (อ้างอิงคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ 14324/2558 และ 5239/2561)
หากพิจารณาแต่เพียงผลของคำพิพากษาใน 2 คดีดังกล่าวที่อ้างอิงถึงนั้น หลายคนคงเข้าใจว่าหลักในการตีความค่าส่วนต่างหรือค่าขาดราคาว่าเป็นเบี้ยปรับถือว่าเป็นบรรทัดฐานที่นิ่งแล้ว และการนำรถไปคืนไฟแนนซ์ก่อนถูกบอกเลิกสัญญาถือว่ามีแนวทางชัดเจนแล้วว่าไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าส่วนต่าง แต่ทุกคนต้องไม่ลืมว่าประเทศไทยใช้กฎหมายระบบลายลักษณ์อักษร (Civil Law) มิใช่ระบบจารีตประเพณี (Common Law) ดังนั้น คำพิพากษาของศาลฎีกาที่เคยวินิจฉัยในคดีก่อนๆ มานั้นจึงเป็นเพียงแนวทางในการศึกษาและตีความข้อกฎหมาย แต่มิใช่ข้อบังคับให้คดีอื่นๆ ต้องวินิจฉัยหรือมีคำพิพากษาไปในแนวทางเดียวกันเสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคดีในแต่ละคดีนั้นมีข้อเท็จจริงปลีกย่อยที่แตกต่างกันไม่มากก็น้อย ผู้พิพากษาแต่ละคนย่อมมีอิสระที่จะวินิจฉัยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในแนวทางที่ตนเห็นสมควร เพื่อประโยชน์แก่ประชาชนและเพื่อความสงบเรียบร้อยของสังคม โดนเมื่อพิจารณาถึงรายละเอียดของคำพิพากษาใน 2 คดีที่อ้างถึงนี้ จะพบว่าแต่ละคดีมีรายละเอียดเบื้องลึกบางอย่างที่เป็นเหตุปัจจัยให้การพิจารณาพิพากษาคดีมีผลออกมาในลักษณะดังกล่าว
สำหรับคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ 14324/2558 นั้น เนื้อความโดยย่อมีอยู่ว่า
“จำเลยเป็นฝ่ายเริ่มต้นติดต่อกับโจทก์เพื่อคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อ แสดงให้เห็นจุดประสงค์ของจำเลยที่ต้องการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อเท่านั้น เมื่อโจทก์ได้รับการติดต่อก็ตกลงและนัดหมายรับรถยนต์ที่เช่าซื้อไปคืนโดยมอบหมายให้ ส. ตัวแทนโจทก์ การที่จำเลยส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อให้แก่ ส. จึงเป็นการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อด้วยการส่งมอบทรัพย์คืนแก่โจทก์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 573 สัญญาเช่าซื้อเป็นอันเลิกกันนับแต่วันดังกล่าวแล้ว แม้ต่อมาจำเลยจะตกลงขายสิทธิการเช่าซื้อให้ ส. ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้ว เมื่อจำเลยมิได้ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อและไม่ปรากฏว่าขณะเลิกสัญญาจำเลยมีหน้าที่ต้องรับผิดต่อโจทก์อย่างไร จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้อง”
เมื่อพิจารณารายละเอียดข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวจะพบว่าแท้จริงแล้วผู้เช่าซื้อผ่อนต่อไม่ไหวจึงนำรถมาคืนโดยได้รับข้อเสนอจากพนักงานคนหนึ่งของไฟแนนซ์ว่าจะทำการเปลี่ยนสัญญาหาผู้ซื้อมาผ่อนต่อ่ให้โดยพนักงานคนดังกล่าวจะหาคนมาซื้อดาวน์ให้แลกกับค่าตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ จากลูกค้า โดยจะทำเรื่องเปลี่ยนตัวผู้เช่าซื้อให้โดยถูกต้องจะได้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่นค่าส่วนต่างอีก และต่อมาทางฝ่ายไฟแนนซ์เองก็ได้อนุมัติให้เปลี่ยนตัวผู้เช่าซื้อเป็นชื่อคนที่พนักงานจัดหามาให้ แต่ปรากฏว่าพอถึงเวลาทำสัญญากันผู้เช่าซื้อรายใหม่ไม่ยอมมาทำสัญญา จึงทำให้ไฟแนนซ์ตัดสินใจเอารถไปขายทอดตลาดและเรียกค่าส่วนต่างจากผู้เช่าซื้อรายเดิมแทน ศาลจึงมองว่าลูกค้าผู้เช่าซื้อใช้สิทธิโดยสุจริต ทั้งพนักงานของไฟแนนซ์เองที่ทำผิดระเบียบไปแสวงหาประโยชน์จากลูกค้าในการชักชวนให้ขายดาวน์แลกค่าตอบแทนส่วนของตน รวมไปถึงฝ่ายไฟแนนซ์เองก็รับรู้เรื่องราวทั้งหมด จึงเห็นเป็นการไม่สมควรที่จะให้ลูกค้าผู้เช่าซื้อต้องมาแบกรับภาระที่เกิดขึ้นนี้
1
ส่วนคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ 5239/2561 นั้น มีเนื้อความโดยย่อว่า
“ภายหลังจากจำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ จำเลยที่ 1 ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์ 2 งวด โดยยังไม่ผิดนัด จำเลยที่ 1 นำรถยนต์ที่เช่าซื้อไปส่งมอบคืนให้แก่โจทก์อันเป็นเวลาก่อนถึงกำหนดชำระค่าเช่าซื้องวดที่ 3 หนึ่งวัน แสดงว่าในขณะส่งคืนทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อจำเลยที่ 1 ยังหาได้ตกเป็นผู้ผิดนัดไม่ กรณีไม่ใช่เรื่องที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อแล้วนำรถคันที่เช่าซื้อไปส่งมอบคืนให้แก่โจทก์ แต่เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ใช้สิทธิเลิกสัญญาเช่าซื้อในขณะที่ตนเองยังมิได้ตกเป็นผู้ผิดนัด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 573 เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกันโดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้ประพฤติผิดสัญญา แม้ในสัญญาเช่าซื้อจะมีข้อความว่า กรณีที่เจ้าของได้รถกลับคืนมา ไม่ว่าจะด้วยเหตุที่เจ้าของเป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญาหรือผู้เช่าซื้อเป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญาโดยการส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืนแก่เจ้าของ เจ้าของนำรถออกขายได้ราคาน้อยกว่ามูลหนี้ส่วนที่ขาดทุนตามสัญญา ผู้เช่าซื้อตกลงรับผิดส่วนที่ขาดก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาและไม่ปรากฏว่าขณะที่สัญญาเลิกกันจำเลยที่ 1 มีหนี้ต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เพียงใด โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดราคาจากจำเลยที่ 1 ได้”
เมื่อพิจารณารายละเอียดข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวจะพบว่าแม้จะมิได้ปรากฏพฤติการณ์พิเศษอะไรที่ทำให้ผู้เช่าซื้อหลงยินยอมส่งมอบรถให้ เป็นการคืนรถโดยความสมัครใจของผู้เช่าซื้อเองก็ตาม แต่ก็ได้ความว่ารถคันดังกล่าวเพิ่งเช่าซื้อและผ่อนได้เพียง 2 งวด ลูกค้าผู้เช่าซื้อก็รีบนำรถมาคืนก่อนถึงกำหนดจ่ายงวดที่ 3 ด้วยความจำเป็นบางอย่าง ทั้งๆ ที่รถอยู่ในสภาพเพิ่งออกจากโชว์รูมมาเพียง 3 เดือน แต่ไฟแนนซ์กลับนำรถไปประมูลขายได้ในราคาที่ต่ำและก่อให้เกิดค่าส่วนต่างจำนวนมหาศาลที่มาฟ้องเรียกร้องเอาจากผู้เช่าซื้อ กรณีดังกล่าวจึงอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ศาลพิจารณาแล้วว่าหากพิจารณาให้ลูกค้าผู้เช่าซื้อรับผิดชดใช้หนี้จำนวนมหาศาลทั้งๆ ที่ตนรีบนำรถมาคืนเมื่อใช้ไปได้เพียงไม่ถึง 3 เดือน เท่านั้นและยังไม่เคยผิดสัญญาอาจเป็นการไม่สมควร
อย่างไรก็ตาม บนตาชั่งแห่งกระบวนการบุติธรรมนั้นมิได้มีตุ้มถ่วงน้ำหนักแค่เพียงฝั่งเดียว ในเมื่อฝ่ายผู้บริโภคได้มีการพัฒนาเทคนิคและวิธีการต่อสู้คดีจนนำมาสู่วิธีการตีความข้อกฎหมายที่เริ่มทำให้ฝ่ายผู้ประกอบการเริ่มเสียเปรียบและเสียผลประโยชน์ ยิ่งในยุคสมัยที่การสื่อสารเป็นไปอย่างรวดเร็วและไร้พรมแดน ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ล้วนถูกแพร่หลายกระจายไปยังประชาชนรวดเร็วเพียงกระดิกนิ้ว กลวิธีการสู้คดี เทคนิคชั้นเชิงและแนวคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ถูกนำมาใช้เป็นข้อต่อสู้ของผู้บริโภคนั้นได้รับการเผยแพร่และส่งต่อไปอย่างไม่สิ้นสุดจนเกิดพฤติกรรมลอกเลียนแบบทำตามต่อๆ กันมาเป็นสูตรสำเร็จ ทางฝั่งผู้ประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อ ไฟแนนซ์และสถาบันการเงินเองก็เริ่มมีการปรับทัพยกเครื่องทีมกฎหมายและการวางกลไกต่างๆ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนผ่านข้อสัญญาที่ได้รับการพัฒนาขึ้นให้สอดคล้องกับกฎหมายและพฤติกรรมของผู้บริโภคเช่นกัน ดังจะเห็นได้ว่าในปัจจุบันสัญญาเช่าซื้อของไฟแนนซ์หลายแห่งจะเริ่มมีการระบุเงื่อนไขให้ผู้เช่าซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ และกำหนดหลักเกณฑ์ขั้นตอนในการบอกเลิกสัญญา เช่น ผู้เช่าซื้อต้องนำรถมาคืนพร้อมกับการชำระค่างวดที่ค้างชำระ ค่าเบี้ยปรับ ค่าทวงถาม ค่าใช้จ่ายอื่นๆ และผู้เช่าซื้อยินยอมที่จะชำระค่าส่วนต่าง ค่าขาดราคา ในกรณีที่ผู้ให้เช่าซื้อนำรถออกประมูลขายทอดตลาดแล้วได้เงินน้อยกว่าหนี้ส่วนที่เหลือ เป็นต้น ซึ่งถ้าดูผิวเผินเหมือนเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคและให้สิทธิผู้บริโภคบอกเลิกสัญญาได้จากเดิมที่ในสัญญาจะไม่เคยระบุให้สิทธิดังกล่าวไว้เลย แต่ในความเป็นจริงนั้น ข้อสัญญาดังกล่าวมีเจตนาอะไรแอบแฝงไว้กันแน่
หากพิจารณาดูตามข้อกฎหมายและแนวคำพิพากษาของศาลฎีกาที่กล่าวไว้ข้างต้นจะพบว่าไม่มีความจำเป็นที่ทางไฟแนนซ์จะต้องระบุข้อสัญญาให้สิทธิผู้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาได้เลย เพราะเป็นสิทธิที่ผู้เช่าซื้อได้รับตามกฎหมายอยู่แล้ว ต่อให้สัญญาไม่ระบุไว้ ผู้เช่าซื้อก็ยังคงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ด้วยการนำรถไปคืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 573 นัยสำคัญที่แฝงอยู่ในข้อสัญญาดังกล่าวจึงมิใช่เป็นไปเพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค แต่เป็นไปเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของผู้ให้เช่าซื้อ โดยการทำให้การเลิกสัญญาโดยอาศัยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เปลี่ยนไปเป็นการเลิกสัญญาโดยอาศัยสิทธิในข้อสัญญาแทน ซึ่งเมื่อการเลิกสัญญาดังกล่าวกระทำโดยอาศัยสิทธิในข้อสัญญาแล้ว คู่สัญญาก็ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งข้อสัญญาที่ตนตกลงไว้นั้นด้วย ในเมื่อข้อสัญญาระบุว่าเมื่อผู้เช่าซื้อใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามสัญญาข้อนี้ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดในค่าส่วนต่างด้วยเช่นกัน มิหนำซ้ำในทางปฏิบัติไฟแนนซ์หลายแห่งก็จะให้ผู้เช่าซื้อเซ็นชื่อยินยอมที่จะชำระค่าส่วนต่างก่อนจะรับรถกลับคืนด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ก็เพื่อหลบเลี่ยงถ้อยคำสำคัญในแนวคำพิพากษาก่อนๆ ที่ระบุว่า “ไม่ปรากฏว่าขณะที่สัญญาเลิกกันจำเลยมีหนี้ต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เพียงใด” การกำหนดเงื่อนไขข้อสัญญาดังกล่าวและการให้ผู้เช่าซื้อเซ็นหนังสือยินยอมชำระค่าส่วนต่างเมื่อคืนรถนั้นก็เป็นไปเพื่อทำให้ปรากฏว่าในขณะที่สัญญาเลิกกันนั้น ผู้เช่าซื้อได้แสดงเจตนาผูกพันตนเข้าชำระหนี้ค่าส่วนต่างไว้แล้วนั่นเอง
ถ้ามองอย่างเป็นกลางในฐานะนักกฎหมายคนหนึ่งซึ่งไม่ได้มีส่วนได้เสียกับคู่ความฝ่ายใด ผมมีความเห็นว่าข้อสัญญาและแนวทางปฏิบัติดังกล่าวจัดว่ายุติธรรมดีแล้วสำหรับทั้งสองฝ่าย เพราะเราต้องไม่ลืมว่ากลไกราคาของรถยนต์นั้นเป็นทรัพย์สินซึ่งมีมูลค่าเสื่อมลงตามการเวลา ทันทีที่รถถูกถอยออกจากโชว์รูมมามูลค่าก็ลดลงไปประมาณ 20-30% แล้ว การที่ผู้ประกอบธุรกิจให้ผู้บริโภคเช่าซื้อรถยนต์ก็เป็นกิจการสุจริตอย่างหนึ่งที่ต้องการผลกำไรโดยถูกต้องตามกฎหมาย ถ้ามีลูกค้ามาเช่าซื้อรถแล้วจู่ๆ ทยอยเอารถมาคืนโดยไม่ต้องชดใช้ค่าส่วนต่างเลย เมื่อไฟแนนซ์นำรถไปขาย เทียบกับเงินค่าเช่าซื้อที่ได้มา ยิ่งสมัยนี้มีดาวน์ 0% ด้วยแล้ว จะมองในแง่ไหนเงินที่ได้คืนมาก็ถือว่าขาดทุนและเป็นการเอาเปรียบไฟแนนซ์อย่างเห็นได้ชัด
แต่ทั้งนี้ แม้จะได้วางแผนการอย่างระมัดระวังและรอบคอบที่สุดนับตั้งแต่ตอนร่างสัญญาไปจนถึงขั้นตอนการคืนรถแล้วก็ตาม ทางฝ่ายผู้ประกอบการไฟแนนซ์ก็ยังคงพลาดท่าแพ้คดีฟ้องเรียกค่าส่วนต่างอีกตามเคย ดังความปรากฏในเนื้อความโดยย่อของคำพิพากษาฎีกาที่จะขอนำมาให้ผู้อ่านทุกท่านได้ศึกษากันต่อไปนี้
คำพิพากษาของศาลฎีกาที่ 4607/2562
“แม้ตามสัญญาเช่าซื้อ ข้อ 12 จะให้สิทธิผู้เช่าซื้อในการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อเสียเมื่อใดก็ได้ โดยผู้เช่าซื้อจะต้องส่งคืนและส่งมอบรถยนต์ในสภาพที่ซ่อมแซมเรียบร้อยและใช้การได้ดีในสภาพเช่นเดียวกับวันที่รับมอบรถยนต์ไปจากเจ้าของพร้อมทั้งอุปกรณ์ และอะไหล่ทั้งหมดให้แก่เจ้าของ ณ สำนักงานของเจ้าของ แต่สัญญาข้อดังกล่าวยังระบุเงื่อนไขต่อไปอีกว่า “และชำระเงินทั้งปวงที่ถึงกำหนดชำระหรือเป็นหนี้ตามสัญญานี้อยู่ในเวลานั้นทันที…” แสดงให้เห็นว่า กรณีที่จะถือว่าเป็นการเลิกสัญญาตามสัญญาเช่าซื้อข้อดังกล่าว ก็ต่อเมื่อจำเลยที่ 1 ต้องส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์พร้อมกับชำระเงินทั้งปวงที่ถึงกำหนดชำระหรือเป็นหนี้ตามสัญญานี้อยู่ในเวลาที่ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์แล้ว เมื่อโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่า นอกจากจำเลยที่ 1 จะส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์แล้ว จำเลยที่ 1 ได้ชำระเงินทั้งปวงที่ถึงกำหนดชำระหรือเป็นหนี้ตามสัญญาแก่โจทก์ทันที อันเป็นการปฏิบัติตามข้อตกลงในสัญญาเพื่อใช้สิทธิเลิกสัญญา กรณีจึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อตามสัญญาข้อ 12 ที่จะทำให้โจทก์มีสิทธิเรียกค่าขาดราคาตามสัญญาข้อ 13 พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์โดยไม่ปรากฏข้อโต้แย้งคัดค้านของโจทก์ ถือว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างสมัครใจเลิกสัญญาต่อกันโดยปริยาย โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดราคาอันเป็นค่าเสียหายตามข้อตกลงในสัญญาเช่าซื้อได้”
คำพิพากษาของศาลฎีกาดังกล่าวจัดว่าเป็นหนึ่งในคำพิพากษาที่นักกฎหมายในคดีเช่าซื้อนำมาถกเถียงกันมากที่สุด และหลายคนใช้เป็นบรรทัดฐานใหม่เพื่อเสริมความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคในการต่อสู้คดีกับไฟแนนซ์ เนื่องจากข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวนี้ปรากฏว่าทางไฟแนนซ์ได้ระบุเงื่อนไขในสัญญาไว้อย่างครบถ้วนและชัดเจนแล้วว่าการจะนำรถมาคืนเพื่อบอกเลิกสัญญาต้องมีขั้นตอนและเงื่อนไขอย่างไรบ้าง โดยกำหนดให้ทั้งต้องชำระหนี้ค้างชำระ ค่าใช้จ่ายต่างๆ และเชื่อมโยงเนื้อความไปยังสัญญาข้อถัดไปที่ตกลงกันอย่างชัดเจนว่าผู้เช่าซื้อต้องรับผิดชอบค่าส่วนต่างด้วย แต่กระนั้นศาลฎีกาก็ยังคงพิพากษาให้ไฟแนนซ์แพ้คดีและผู้เช่าซื้อไม่ต้องชำระค่าส่วนต่าง
โอเคครับ... จบเลย... ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว ต่อไปนี้เวลามีใครถามว่า “ผ่อนต่อไม่ไหว เอารถไปคืนไฟแนนซ์ แบ้วไม่ต้องเสียค่าส่วนต่าง...จริงหรือไม่???” ก็เอาคำพิพากษาของศาลฎีกาคดีนี้ไปแปะไว้แล้วตอบเขาไปเลยว่า “จริง” ... “ไม่ต้องกังวล”... “เอาไปคืนเลยครับ ไม่ต้องจ่ายส่วนต่างแน่นอน”... ฯลฯ
แบบนี้ก็ได้หรอ???
เดี๋ยวก่อน... มันไม่ใช่!!!
ก่อนจะพังกันไปมากกว่านี้ เรามามำความเข้าใจเนื้อหาของคำพิพากษาในคดีดังกล่าวแบบละเอียดให้รู้ซึ้งถึงความนัยต่างๆ เสียก่อน
ข้อเท็จจริงในคดีนี้ เป็นเรื่องที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ 3 งวดติดกัน และฝ่ายไฟแนนซ์ผู้ให้เช่าซื้อได้มีหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้แล้ว แต่ในระหว่างที่ยังอยู่ในระยะเวลา 30 วันตามหนังสือบอกกล่าวก่อนที่จะมีผลเป็นการเลิกสัญญานั้นฝ่ายผู้เช่าซื้อก็ได้นำรถมาส่งมอบคืนให้แก่ทางไฟแนนซ์ ซึ่งแม้ข้อเท็จจริงตามเอกสารปรากฏว่าเป็นการนำรถมาคืน แต่ความเป็นจริงจะเป็นการคืนรถเองหรือถูกตามยึดรถก็ไม่อาจทราบได้ เพราะทุกครั้งที่ไฟแนนซ์ยึดรถก็มักจะให้เราเซ็นว่าเราเป็นฝ่ายส่งมอบรถเอง เพื่อป้องกันเจ้าหน้าที่ถูกดำเนินคดีข้อหาลักทรัพย์ กรณีนี้จึงย่อมมีข้อสงสัยประการแรกเกี่ยวกับพฤติการณ์การส่งมอบรถว่าความเป็นจริงนั้นเป็นไปตามข้อความที่ปรากฏในเอกสารว่าฝ่ายผู้เช่าซื้อเป็นฝ่ายนำรถไปคืนเองถึงที่ทำการ หรือแท้จริงแล้วเป็นไฟแนนซ์เองที่ส่งเจ้าหน้าที่มายึดรถของผู้เช่าซื้อก่อนจะครบเวลา 30 วันที่ระบุในหนังสือบอกกล่าวทวงถาม อันอาจถือได้ว่าเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคโดยไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนที่กฎหมายและข้อสัญญาระบุไว้กันแน่
อีกประการหนึ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญในคำพิพากษาดังกล่าวคือทางฝ่ายไฟแนนซ์ผู้ให้เช่าซื้อกล่าวอ้างว่าลูกค้าผู้เช่าซื้อนั้นเป็นฝ่ายใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามสัญญาข้อ 12. ในสัญญาเช่าซื้อซึ่งให้สิทธิผู้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาได้โดยต้องปฏิบัติตามขั้นตอนและเงื่อนไขที่กำหนดไว้คือ “ชำระเงินทั้งปวงที่ถึงกำหนดชำระหรือเป็นหนี้ตามสัญญานี้อยู่ในเวลานั้นทันที” อันเป็นการใช้สิทธิเลิกสัญญาโดยข้อสัญญาที่ตกลงกันไว้ และเชื่อมโยงนำมาสู่สิทธิตามสัญญาข้อ 13. ที่ระบุให้ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดในค่าส่วนต่าง ค่าขาดราคาที่เกิดขึ้นหลังจากนำรถออกประมูลหรือขายทอดตลาดแล้วด้วย แต่เมื่อถึงเวลาพิจารณาคดี ในการสืบพยานโจทก์ไม่ปรากฏพยานหลักฐานว่าจำเลยคือผู้เช่าซื้อได้นำหนี้ที่ค้างชำระค่างวดไปชำระพร้อมกับตอนส่งมอบรถ เพราะโจทก์อ้างว่าจำเลยค้างค่างวด 3 งวดก่อนและโจทก์ทวงถามแล้ว หากจำเลยจะใช้สิทธิเป็นฝ่ายไปบอกเลิกสัญญาตามข้อตกลงดังกล่าวจำเลยก็ต้องเอาค่างวด 3 งวดไปจ่ายตอนคืนรถด้วย ไม่งั้นทางไฟแนนซ์คงไม่รับคืนรถไว้ เมื่อในทางนำสืบโจทก์มิได้นำสืบพยานหลักฐานให้เห็นชัดว่าจำเลยนำค่างวดที่ค้างไปชำระพร้อมกับตอนส่งมอบรถ แต่ไฟแนนซ์ก็กลับรับรถคืนไป ข้อเท็จจริงยิ่งน่าสงสัยว่าอาจมีความเป็นไปได้สูงว่าจำเลยอาจไม่ได้เป็นฝ่ายอยากคืนรถ แต่ถูกตามยึดรถก่อนถึงกำหนด เพียงแค่ข้อเท็จจริงตามเอกสารพยานหลักฐานในสำนวนมีหนังสือยืนยันว่าจำเลยลงชื่อเป็นผู้ส่งมอบรถเองเท่านั้น ซึ่งตามกฎหมายห้ามมิให้ศาลพิจารณาคดีโดยอาศัยพยานหลักฐานนอกสำนวน กรณีจึงต้องรับฟังเป็นที่ยุติว่าจำเลยคือผู้เช่าซื้อเป็นฝ่ายนำรถไปส่งมอบคืนแก่โจทก์คือผู้ให้เช่าซื้อเอง แต่ถึงกระนั้นเมื่อในสัญญาระบุวิธีการใช้สิทธิเลิกสัญญาเป็นเงื่อนไขชัดเจนว่าผู้เช่าซื้อจะต้อง “ชำระเงินทั้งปวงที่ถึงกำหนดชำระหรือเป็นหนี้ตามสัญญานี้อยู่ในเวลานั้นทันที” แต่เมื่อการนำรถไปคืนของผู้เช่าซื้อนั้นไม่ปรากฏว่าได้กระทำการตามเงื่อนไขขั้นตอนดังกล่าว และทางไฟแนนซ์ผู้ให้เช่าซื้อเองก็รับรถกลับคืนไปโดยมิได้ทักท้วง จึงถือได้ว่าการเลิกสัญญาดังกล่าวเกิดขึ้นโดยปริยายจากความสมัครใจของคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย มิใช่การใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาของผู้เช่าซื้อโดยอาศัยเงื่อนไขตามสัญญาที่จะผูกมัดให้ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดในค่าส่วนต่างได้
จากความนัยที่ได้อธิบายไปข้างต้นจึงเป็นที่มาของแนวทางการตีความข้อสัญญาและข้อกฎหมายจากคำพิพากษาของศาลฎีกาดังกล่าวซึ่งมีคีย์เวิร์ดสำคัญอยู่ตรงที่ในสัญญาระบุเงื่อนไขและวิธีการใช้สิทธิเลิกสัญญาไว้ แต่โจทก์ไม่ได้นำสืบพยานหลักฐานให้เห็นว่าจำเลยใช้สิทธิเลิกสัญญาโดยปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าว จึงถือว่ามิใช่การเลิกสัญญาโดยข้อสัญญา แต่เป็นการสมัครใจเลิกสัญญาโดยปริยายด้วยความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย ทำให้โจทก์คือไฟแนนซ์ผู้ให้เช่าซื้อ ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าส่วนต่าง ค่าขาดราคาจากผู้เช่าซื้อได้นั่นเอง
ดังนั้นคำพิพากษาของศาลฎีกาดังกล่าว จึงมิใช่การวางแนวบรรทัดฐานว่าการนำรถไปคืนไฟแนนซ์ก่อนถูกยกเลิกสัญญาแล้วจะทำให้ไม่ต้องเสียค่าส่วนต่าง แต่ในทางกลับกัน คำพิพากษาดังกล่าวกลับเป็นเครื่องย้ำเตือนแฝงความนัยไปยังอรรถคดีที่จะเกิดขึ้นในภายหน้าเสียด้วยซ้ำ ว่าถ้าหากข้อสัญญาได้ระบุให้สิทธิผู้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาแล้ว และผู้เช่าซื้อตกลงยินยอมทำตามเงื่อนไขนั้น ผู้เช่าซื้อย่อมต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าส่วนต่าง ค่าขาดราคา ถ้าเพียงแต่ฝ่ายไฟแนนซ์ผู้ให้เช่าซื้อสามารถนำสืบแสดงพยานหลักฐานได้ว่าฝ่ายผู้เช่าซื้อเป็นฝ่ายใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้จริง
กล่าวมาถึงตรงนี้หลายท่านอาจเกิดความคลางแคลงใจ ว่าทำไมทนายวินถึงคิดต่าง ให้ความเห็นที่สวนทางกับคำแนะนำสารพัดช่องทางบนโลกออนไลน์ ทั้งๆ ที่ตอนนี้กำลังนั่งทยอยเก็บของมีค่าออกจากรถ เตรียมจะขับไปจอดหน้าตึกไฟแนนซ์กันแล้วแท้ๆ งั้นมาดูข้อพิสูจน์สมมุติฐานของผมกัน ด้วยการศึกษาจากแนวคำพิพากษาฎีกาที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้
คำพิพากษาของศาลฎีกาที่ 1938/2563 เนื้อความโดยย่อมีอยู่ว่า
“จำเลยทั้งสองเจตนาจะบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อต่อโจทก์โดยส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อกลับคืนให้เจ้าของ ณ ภูมิลำเนาของเจ้าของ และตกลงที่จะรับผิดในบรรดาหนี้ที่เกิดขึ้นจากการบอกเลิกสัญญานี้ อันเป็นการใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามข้อสัญญาเช่าซื้อ สัญญาเช่าซื้อจึงเลิกกันตามข้อสัญญา หาใช่สัญญาเช่าซื้อเลิกกันโดยคู่สัญญาสมัครใจที่จะเลิกสัญญาต่อกันโดยปริยายไม่ โจทก์มีสิทธิเรียกค่าขาดราคาได้”
....สรุปสั้นๆ คือ คดีนี้แม้จะเอารถไปคืนไฟแนนซ์ก่อนถูกบอกเลิกสัญญา ก็ต้องจ่ายค่าส่วนต่าง!!!
ข้อเท็จจริงในคดีนี้เกิดจากผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระค่างวด 3 งวดติดกัน และทางไฟแนนซ์ได้มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามแล้ว แต่ผู้เช่าซื้อรีบนำรถไปคืนไฟแนนซ์ก่อนจะครบกำหนดที่ไฟแนนซ์จะใช้สิทธิเลิกสัญญาได้ ซึ่งก็ไม่มีใครทราบเรื่องราวที่แท้จริงว่าเป็นการนำรถไปคืนเองหรือถูกตามยึดกันแน่ แต่ในเมื่อฝ่ายจำเลยเองยืนยันให้การต่อสู้ว่าตนเองมิได้ผิดสัญญาและไม่ได้ถูกยึดรถ แต่เป็นฝ่ายนำรถไปส่งมอบคืนถึงภูมิลำเนาของเจ้าของ ทั้งยังพยายามต่อสู้คดีด้วยการยืนยันว่าไม่ได้นำค่างวดที่ค้างชำระไปจ่ายตอนคืนรถอันจะเข้าเงื่อนไขของการบอกเลิกสัญญาโดยข้อสัญญาก็ตาม แต่โดยพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว การที่จำเลยยืนยันว่าเป็นฝ่ายนำรถไปคืนถึงภูมิลำเนาของไฟแนนซ์ แต่กลับไม่ชำระค่างวดที่ค้างชำระ เป็นเรื่องที่อาจทำให้สงสัยได้ว่าเป็นการพยายามหาช่องทางหลีกเลี่ยงการรับผิดในค่าส่วนต่าง โดยหาทางทำให้การเลิกสัญญาในครั้งนี้เป็นการสมัครใจเลิกสัญญาโดยปริยายหรือไม่ แนวคำวินิจฉัยในคดีดังกล่าวจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับการนำเงินไปชำระในวันที่คืนรถอีกต่อไป แต่ให้ความสำคัญไปที่หลักความเป็นอิสระในการแสดงเจตนา และหลักสัญญาต้องเป็นสัญญา เมื่อในสัญญาระบุไว้อย่างชัดเจนว่าให้สิทธิผู้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาได้ โดยผู้เช่าซื้อต้องรับผิดชำระค่าส่วนต่างที่ตามมาภายหลังด้วย ทั้งผู้เช่าซื้อก็แสดงเจตนาตกลงที่จะรับผิดในบรรดาหนี้ที่เกิดขึ้นจากการบอกเลิกสัญญานี้ หากผู้เช่าซื้อเต็มใจใช้สิทธิเลิกสัญญาดังกล่าว ก็ย่อมต้องเต็มใจรับผิดชำระค่าส่วนต่างด้วย ส่วนการที่ผู้เช่าซื้อไม่ยอมนำค่างวดค้างชำระมาจ่ายตอนคืนรถก็กลับกลายเป็นแค่การที่ผู้เช่าซื้อชำระหนี้ไม่ครบถ้วนและให้นำหนี้นั้นมาคำนวณในการคิดค่าส่วนต่างได้เท่านั้นเอง
ทนอ่านมาจนถึงขนาดนี้ เชื่อว่าหลายท่านคงได้คำตอบแล้วว่าถ้า “ผ่อนต่อไม่ไหว เอารถไปคืนไฟแนนซ์ แล้วไม่ต้องเสียค่าส่วนต่าง...จริงหรือไม่???”
ด้วยเหตุที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เมื่อพิจารณาจากสถิติการดำเนินคดีและแนวทางคำพิพากษาของศาลฎีกาที่เคยวินิจฉัยคดีลักษณะนี้มาในอดีตจะพบว่า การจะนำรถไปคืนไฟแนนซ์ต้องพิจารณาข้อสัญญาที่ตกลงกันไว้ในสัญญาเช่าซื้อ หากมีข้อสัญญาที่ระบุว่าถ้าผู้เช่าซื้อเป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญาโดยการนำรถมาคืน จะต้องรับผิดชอบค่าส่วนต่าง ก็ต้องเป็นไปตามที่ตกลงกันในสัญญาครับ แต่ถ้าไม่ได้มีการระบุข้อสัญญาดังกล่าว ก็ต้องพิจารณาดูพฤติการณ์การใช้สิทธิเลิกสัญญาของแต่ละฝ่ายว่าเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริตหรือไม่ และต้องพิจารณาข้อเท็จจริงปลีกย่อยแยกเป็นรายกรณีไป ไม่สามารถนำคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีเก่าๆ มาเหมารวมได้ทั้งหมดครับ การนำรถไปคืนโดยที่ไม่ต้องรับผิดในค่าส่วนต่างอาจยังพอมีทางเป็นไปได้อยู่ แต่ต้องมีเงื่อนไขและพฤติการณ์บางอย่างที่เป็นเรื่องเฉพาะเจาะจงของแต่ละเคสที่ทำให้ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย มิใช่เรื่องที่จะเที่ยวฟันธงและป่าวประกาศให้ผู้บริโภคแห่กันไปใช้สิทธิขอคืนรถโดยเข้าใจผลที่จะตามมาแบบผิดๆ เช่นนี้ได้
และเพราะเหตุนี้ ผมถึงมักจะบอกแก่ลูกความ และบรรดาผองเพื่อนผู้ศึกษาวิชากฎหมายอยู่เสมอว่า “เวลาอ่านฎีกา อย่าจำแต่หลัก แต่จงหักให้ถึงความนัย” เพราะนักกฎหมายหลายคนใช้กฎหมายจนเคยชินกับการท่องตัวบท อ่านฎีกา และอัพเดทฎีกาใหม่ๆ อยู่ตลอดโดยเข้าใจว่าคำพิพากษาฎีกานั้นกลับหลักได้เสมอ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องครับ แต่ยังไม่ครบถ้วนเสียทีเดียว เพราะเราต้องไม่ลืมข้อสำคัญที่ผมกล่าวไว้ข้างต้นครับว่า ประเทศไทยใช้กฎหมายระบบลายลักษณ์อักษร (Civil Law) มิใช่ระบบจารีตประเพณี (Common Law) ดังนั้น คำพิพากษาของศาลฎีกาที่เคยวินิจฉัยในคดีก่อนๆ มานั้นจึงเป็นเพียงแนวทางในการศึกษาและตีความข้อกฎหมาย แต่มิใช่ข้อบังคับให้คดีอื่นๆ ต้องวินิจฉัยหรือมีคำพิพากษาไปในแนวทางเดียวกันเสมอไป คำพิพากษาของศาลฎีกาก็เหมือนกับเฉลยข้อสอบของข้อสอบเก่า เป็นแนวคำวินิจฉัยที่อ้างอิงจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในอดีต ซึ่งข้อเท็จจริงบางอย่างอาจไม่ตรงกันกับสถานการณ์ปัจจุบัน หากเราศึกษาจนเข้าใจถึงความนัยอันเป็นเหตุแห่งการวางแนวคำวินิจฉัยต่างๆ ได้ เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เราย่อมสามารถคาดเดาแนวทางของการกลับหลักแนวคำวินิจฉัยของคำพิพากษาในคดีต่อๆ ไปในอนาคตได้ เช่นเดียวกับกรณีศึกษาเรื่องปัญหาของสัญญาเช่าซื้อนี้ เมื่อในอดีต ผู้บริโภคมักเป็นฝ่ายถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ประกอบการ ไฟแนนซ์ สถาบันการเงิน บริษัททวงหนี้ต่างๆ แนวคำพิพากษาในอดีตจึงมักวางหลักเกณฑ์สำคัญไว้เพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคมิให้ถูกข่มเหง ดำรงความยุติธรรมไว้ในสังคม แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไป และประชาชนมีโอกาสเข้าถึงความรู้ข้อกฎหมายได้มากขึ้น แต่กลับมีพฤติกรรมการใช้กฎหมายในทางที่ผิด เริ่มแสวงหาประโยชน์จากช่องว่างของข้อกฎหมายเพื่อรักษาแต่เพียงสิทธิของตนโดยไม่สนใจถึงความกระทบกระเทือนที่มีต่อสิทธิและความเสียหายของผู้อื่น แนวคำวินิจฉัยของศาลสูงจึงย่อมเปลี่ยนแปลงไปเพื่อคืนสมดุลสู่สังคมในภาพรวม
ส่วนสำหรับประชาชนทั่วไป ขอให้มีสติและใช้จ่ายอย่างรอบคอบ อย่าสร้างภาระหนี้โดยไม่จำเป็นครับ เรื่องค่างวดรถนั้น ถ้าผ่อนต่อไม่ไหว ทางเลือกแรกที่ผมจะแนะนำได้คือให้หาคนมาผ่อนต่อแบบเปลี่ยนสัญญากับไฟแนนซ์ อย่าแอบไปขายดาวน์กันเองโดยที่ไฟแนนซ์ไม่ยินยอมเด็ดขาดเพราะหนี้ท่านจะยังอยู่ แต่รถไม่อยู่แล้ว และถ้าหาคนมารับช่วงไม่ได้จริงๆ ก็ลองเจรจาประนอมหนี้หรือรูดบัตรเครดิตมาโปะเอาเพื่อรวมหนี้ให้เป็นทางเดียว อย่างน้อยหนี้บัตรเครดิตก็ไม่มีค่าส่วนต่างและท่านยังคงมีรถใช้อยู่จนกว่าเขาจะฟ้องและท่านแพ้คดี แต่ถ้ามันสุดหนทางแล้วจริงๆ ก็นำรถไปคืนครับ โดยที่ท่านต้องระลึกอยู่เสมอด้วยว่าอีกไม่เกินสองสามปี จะต้องมีหมายศาลมาฟ้องเรียกให้ท่านไปชำระค่าส่วนต่างจากการขายทอดตลาดแน่นอน แต่ท่านจะสู้คดีแล้วชนะหรือไม่ก็เป็นเรื่องที่ต้องว่ากันตามพฤติการณ์และข้อเท็จจริงของแต่ละคดีไป ถ้ามองโลกตามความเป็นจริง ไม่โลกสวย ไม่ขายฝัน ไม่ตั้งความหวังมาก ท่านก็จะไม่ผิดหวังและไม่โดนหลอก
ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาใดๆ ก็ตาม อย่าเพิ่งปักใจเชื่อบรรดาคำแนะนำที่เที่ยวโพสต์ขายฝันเพียงเพราะมันเป็นคำตอบที่ท่านหวังจะได้ยิน ยิ่งโดยเฉพาะพวกที่ชอบคัดเอาแต่เนื้อหาคำพิพากษาฎีกาบางส่วนมาแปะไว้เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ลูกหนี้ ขอให้ท่านจดจำหมายเลขคำพิพากษาที่เขาอ้างถึง แล้วนำไปค้นหาอ่านศึกษาโดยละเอียด ถ้าศึกษาไม่เป็นก็แนะนำให้ปรึกษาทนายความที่ท่านไว้ใจให้ช่วยอธิบาย คิดซะว่ายอมจ่ายค่าปรึกษาเพื่อเรียนรู้ให้ฉลาดขึ้น ดีกว่าไปจำมาแบบมั่วๆ แล้วโดนฟ้องจนต้องเสียค่าโง่ไม่รู้ตัว
ด้วยความปรารถนาดี จาก... Winny Lawyer (ทนายวิน)
โฆษณา