หลังจากที่หมกมุ่นอยู่กับกับหนังสือ Our Band Could Be Your Life (เกี่ยวกับซีนดนตรีอันเดอร์กราวด์จากอเมริกาในช่วงปี 1981-1991) ของ Michael Azerrad ในระหว่างออกทัวร์ Ellie Rowsell (ร้องนำ,กีต้าร์,ซินธ์) จินตนาการถึงการทำเพลงที่มีความเรียบง่ายและจิตวิญญาณของฮาร์ดคอร์พังค์ในยุค 80's เหมือนในหนังสือ "Yuk Foo" คือหนึ่งในสี่เพลงที่มีบรรยากาศแบบนั้นและเป็นแค่เพลงเดียวที่ถูกรวมอยู่ในอัลบั้ม
เมิ่อ Wolf Alice เริ่มวางแผนเลือกเพลงที่จะมาอยู่ในอัลบั้มนี้ ในตอนแรกพวกเขาคิดว่าอยากได้เพลงที่แค่สนุกเวลาเล่นสดทุกคืน แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนแผนเนื่องจากความทะเยอทะยานที่เติบโตขึ้น "จริงๆแล้วมันไม่ใช่เรื่องความยากของการทำอัลบั้มชุดที่ 2 แบบที่หลายคนพูดกัน" มือเบส Theo Ellis บอก "ในอัลบั้มแรกเราใช้เวลาบันทึกเสียงกันแค่ 6 สัปดาห์ แต่ในอัลบั้มนี้เรามีเวลาถึง 3 เดือน เมื่อจบทัวร์เราถึงได้รู้ว่ามีไอเดียและเดโมต่างๆเยอะมากทั้งเป็น voicemail ทั้งในโทรศัพท์ และ ในแล็ปท้อป เรามีเพลงจำนวนมากที่แต่งไว้สำหรับอัลบั้ม มันแค่ถึงเวลาที่จะต้องเข้าสตูดิโอแล้ว"
Wolf Alice เดินทางมาที่ลอสแอนเจลิสเพื่อร่วมงานกับโปรดิวเซอร์ Meldal-Johnsen (M83, Paramore) ทางวงใช้ประสบการณ์โชกโชนของโปรดิวเซอร์รุ่นเก๋ามาต่อสู้กับนิสัยชอบแก้รายละเอียดยิบย่อยของพวกเขาด้วยการมองที่ภาพรวม ผลที่ได้คือมีการผสมผสานและน่าสนใจกว่าในอัลบั้มแรก มีทั้งเพลงเศร้าจังหวะปานกลางแบบ space-pop (“Planet Hunter”) และเพลงเดือดๆที่ขับเคลื่อนด้วยท่อนริฟฟ์ (“Space & Time", “Formidable Cool”) รวมไปถึงเพลงไซคีเดลิคที่ร้องตามได้ (“Sadboy”) และบัลลาดโฟล์คหลอนๆ (“After the Zero Hour”) เหมือนพวกเขาทำให้ทั้งอัลบั้มเหมือนกับเป็นเพลงเดียวๆเดียวที่มีการเปลี่ยนแปลงไปในรูปทรงต่างๆและปิดท้ายด้วยเพลงชื่อเดียวกับอัลบั้ม
Rowsell ยังแต่งเพลงรักซึ่งถือเป็นครั้งแรกของวงกับดนตรีซินธ์ป็อบในเพลง “Don’t Delete the Kisses" อีกด้วย
"ฉันอยากได้เพลงที่เต็มไปด้วยอารมณ์เหมือนถูกมนต์สะกด" เธอบอก "ฉันเพิ่งได้ดู Father John Misty ที่เทศกาล Spanish festival เขาเล่นเพลง