26 เม.ย. 2021 เวลา 12:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ
เศรษฐกิจไทยยังเสี่ยงตลอดทั้งปี
หากวัคซีนยังล่าช้า
KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร ปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจลงอีกครั้ง
จากการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ในเดือนเมษายน
ซึ่งจะกระทบเศรษฐกิจไทยผ่านการบริโภคภาคเอกชนและการท่องเที่ยวเป็นหลัก
และอาจทำให้แผนการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติต้องชะลอออกไป
ในขณะที่ภาคการส่งออกอาจได้รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดสำหรับเศรษฐกิจไทยในปีนี้ คือ
ควบคุมการระบาดที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น
และความล่าช้าและความไม่แน่นอนด้านการจัดหาและการกระจายวัคซีน
หากประเทศไทยไม่สามารถเร่งฉีดวัคซีนให้ได้ครอบคลุมประชากรมากพอ
ถึงแม้การระบาดระลอกนี้จะสิ้นสุดลง
แต่เศรษฐกิจไทยจะยังคงเผชิญกับความเสี่ยงของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ต่อไป
จนสร้างความเสียหายและความไม่แน่นอนต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้อีก
ปรับการคาดการณ์ตัวเลข GDP จาก 2.7% เป็น 2.2%
การระบาดระลอกใหม่จะส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชนในช่วงไตรมาสที่ 2 ชะลอตัวลง
จากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของภาครัฐ
และความวิตกกังวลของผู้บริโภค
สถานการณ์การระบาดในรอบนี้รุนแรงกว่ารอบที่ผ่านมาในเดือนมกราคม
จากจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันที่สูงกว่าในรอบก่อนมาก
ในครั้งนี้ KKP Research คาดการณ์ว่าจะต้องใช้เวลาประมาณ 2 เดือนในการควบคุมการแพร่ระบาด
และผลกระทบต่อการบริโภคน่าจะรุนแรงและใช้เวลานานกว่าการระบาดในรอบเดือนมกราคม
นอกจากนี้ การระบาดระลอกใหม่
และแผนการฉีดวัคซีนของประเทศไทยยังมีความล่าช้าและมีความไม่แน่นอนสูง
จะกระทบต่อความสามารถในการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติภายในปี
จึงปรับลดการคาดการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเข้ามาในไทย
จาก 1 ล้านคนเหลือเพียง 5 แสนคนในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้
และคาดว่านักท่องเที่ยวจะกลับมาได้มากขึ้นในปี 2022
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวได้ดีกว่าที่คาดจากการฉีดวัคซีนที่ทำได้อย่างรวดเร็วในต่างประเทศ
โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาและหลายประเทศในยุโรป
จะมีส่วนช่วยพยุงการส่งออกของไทย
KKP Research จึงปรับประมาณการอัตราการเติบโตของ GDP
จาก 2.7% ลงมาที่ 2.2%
ซึ่งจัดเป็นการฟื้นตัวในระดับต่ำมากเมื่อเทียบกับการหดตัวถึง 6.1% ในปี 2020
และเมื่อเทียบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
(ดู KKP Research เมื่อเศรษฐกิจไทยฟื้นไม่ทันเศรษฐกิจโลก ความท้าทายใหม่ที่ต้องเตรียมรับมือ)
โดยการระบาดระลอกใหม่จะทำให้เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 2 ฟื้นตัวได้ช้าลงกว่าเดิม
ยิ่งไปกว่านั้นประเมินว่าการประมาณการเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูงโดยมีความเสี่ยงที่จะลดต่ำลงได้มากกว่านี้
โดยขึ้นอยู่กับความสามารถในการควบคุมสถานการณ์การระบาดของโควิด-19
และมาตรการที่จะนำมาใช้เพื่อควบคุมการติดเชื้อ
การระบาดรุนแรงกว่า กระทบยาวกว่า เศรษฐกิจยังเสี่ยงหดตัว
ตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อจากการระบาดระลอกใหม่รุนแรงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
และเกิดขึ้นในเมืองใหญ่หลายพื้นที่
หากดูตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อต่อวัน
การระบาดระลอกล่าสุดนี้ถือว่าเป็นการระบาดที่รุนแรงที่สุดเมื่อเทียบกับสองครั้งก่อนหน้า
ซึ่งมองว่าภาครัฐจะต้องใช้ระยะเวลายาวนานกว่าการระบาดรอบเดือนมกราคม
เพื่อที่จะควบคุมสถานการณ์ให้กลับมาปกติ
มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดจะทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจ
และการบริโภคภาคเอกชนชะลอลงไปกว่าที่เคยคาดไว้
โดยในช่วงที่ผ่านมาเริ่มเห็นสัญญาณกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กลับมาหดตัวลงไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
และอยู่ที่ระดับใกล้เคียงกับการระบาดรอบเดือนมกราคม
แต่ยังไม่รุนแรงเท่ากับการระบาดรอบแรกในปี 2020
แม้การระบาดระลอกใหม่จะรุนแรง
แต่ KKP Research ประเมินว่าผลกระทบต่อเศรษฐกิจน่าจะรุนแรงกว่าการระบาดรอบเดือนมกราคม 2021
แต่อาจจะไม่มากเท่าการระบาดระลอกแรกในปี 2020
หากพิจารณาผลกระทบจากการระบาดในรอบเดือนมกราคม 2021จะพบว่า
การบริโภคหดตัวลง 4%
และฟื้นตัวขึ้น 3% ในเดือนถัดไป
ในขณะที่การลงทุนภาคเอกชนแทบไม่ได้รับผลกระทบเลย
ซึ่งตัวเลขดังกล่าวถือว่ารุนแรงน้อยกว่าช่วงการระบาดระลอกแรกในปี 2020 มาก
และในการระบาดรอบล่าสุดนี้มีการออกมาตรการปิดเมืองที่เข้มงวดมากขึ้นเรื่อยๆ
และครอบคลุมหัวเมืองใหญ่มากกว่า
ทำให้คาดได้ว่าผลกระทบต่อการบริโภคและการลงทุนน่าจะเกิดขึ้นมากกว่าการระบาดเดือนมกราคม
และอาจใช้เวลานานขึ้นกว่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
KKP Research จึงปรับลดการคาดการณ์การบริโภคทั้งปีลง
จาก 2.8% มาอยู่ที่ 2.3%
อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงที่การระบาดระลอกนี้จะยืดเยื้อ
และรุนแรงกว่าที่ประเมินยังมีอยู่สูง
และจะกระทบเศรษฐกิจไทยได้มากกว่าที่คาด
และอาจทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้ง
การปรับประมาณการเศรษฐกิจบนสมมติฐานการระบาดที่จะจบลงภายใน 2 เดือนนั้น
ยังมีความเสี่ยงด้านต่ำ
หรือ ความเสี่ยงที่การระบาดจะยืดเยื้อนานกว่าที่คาด
และจำเป็นต้องมีมาตรการที่รุนแรงขึ้น
โดยเฉพาะถ้าจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จนส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขอย่างรุนแรง
อาจทำให้ต้องมีมาตรการที่รุนแรงขึ้นในการควบคุม
ในกรณีที่การระบาดเกิดต่อเนื่องนานถึง 3 เดือน
KKP Research ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโตได้เพียง 1.8% เท่านั้นในปีนี้
และมีโอกาสที่จะเห็นเศรษฐกิจไทยหดตัวติดกันสองไตรมาส
จนเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (recession) ได้
ภาคธุรกิจยังน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว
บริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)
ที่มีกำไรในรูปเงินสด (EBITDA)
ติดลบมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19
และยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง
กลุ่มบริษัทที่ไม่ได้กำไรจากการดำเนินธุรกิจ
แต่ยังคงดำเนินกิจการอยู่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นมาตั้งแต่ปี 2019
สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของไทยที่เศรษฐกิจโดยรวมเติบโตได้ช้า
และส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจ
ในช่วงการระบาดของโควิด-19 สัดส่วนของบริษัทในกลุ่มนี้เพิ่มขึ้น
จาก 12.1% ในปี 2019 ไปเป็น 18.9%
ในไตรมาส 2 ปี 2020 แม้ตัวเลขจะปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยหลังจากนั้นแต่ยังอยู่ในระดับสูง
และสะท้อนความเปราะบางของธุรกิจที่เพิ่มสูงขึ้น
เป็นที่น่ากังวลว่าหากการระบาดระลอกใหม่นี้รุนแรง
และยืดเยื้อจะกระทบกับความสามารถในการดำเนินกิจกา
รและความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทที่มีสถานะอ่อนแออยู่แล้ว
ภาคการท่องเที่ยวยังคงเป็นกลุ่มธุรกิจที่น่ากังวลมากที่สุด
เนื่องจากได้รับผลกระทบโดยตรงจากการระบาด
และการเปิดรับนักท่องเที่ยวที่ล่าช้า
KKP Research ปรับการคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยว
จาก 1 ล้านคนเหลือเพียง 5 แสนคนในปี 2021
จากวัคซีนที่มีการฉีดได้ค่อนข้างช้า
การระบาดรอบใหม่ของประเทศไทย
และการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัส
ที่อาจทำให้นักท่องเที่ยวขาดความมั่นใจในการเดินทางระหว่างประเทศ
คาดการณ์ว่าธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวจะยังคงได้รับผลกระทบอย่างหนักในปีนี้
และจะมีโรงแรมจำนวนมาก
โดยเฉพาะโรงแรมขนาดเล็กที่จะไม่สามารถเปิดกิจการต่อไปได้
เมื่อพิจารณาข้อมูลสัดส่วนของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ที่มีกำไรในรูปเงินสดติดลบเป็นรายธุรกิจ
จะพบว่าในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในช่วงภาวะวิกฤต
และสูงขึ้นมากกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งตลาด สะท้อนความเปราะบางของธุรกิจกลุ่มนี้
วัคซีนหนุนเศรษฐกิจโลกและการส่งออก
การฉีดวัคซีนในหลายประเทศทำได้เร็ว
และหลายประเทศจะสามารถกลับมาเปิดเศรษฐกิจได้เต็มที่ภายในปีนี้
ในปัจจุบันประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา
สามารถฉีดวัคซีนได้มากถึงวันละกว่า 3 ล้านโดส
ทำให้คาดการณ์ได้ว่าประเทศสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะภูมิคุ้มกันหมู่ (Herd Immunity)
ภายในไตรมาสที่ 2-3 ของปีนี้
ในขณะที่ฝั่งยุโรปคาดว่าจะเข้าสู่ภาวะภูมิคุ้มกันหมู่ในช่วงไตรมาสที่ 3-4
หมายความว่าประเทศเศรษฐกิจหลักหลายแห่ง
จะสามารถกลับมาเปิดประเทศได้เต็มที่
และเศรษฐกิจจะกลับมาขยายตัวได้ดีอีกครั้งภายในปีนี้
อย่างไรก็ดี ยังมีความเสี่ยงสำคัญ คือ
การกลายพันธุ์ของเชื้อโควิด-19
และประสิทธิผลของวัคซีนที่อาจทำให้โควิด-19 กลับมาระบาดอีกครั้ง
และการเปิดประเทศหยุดชะงักได้
เศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวได้ดีจะช่วยหนุนการฟื้นตัวของการส่งออกไทยในปีนี้ โดย BofA Securities มีการปรับการคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาในปีนี้ไปแล้วถึง 4 ครั้งจาก 4.5% ช่วงต้นปี เป็น 7% ในปัจจุบัน
สะท้อนภาพเศรษฐกิจสหรัฐ ฯ ที่จะเติบโตอย่างร้อนแรงในปีนี้ ซึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนของ
ประธานาธิปดี Joe Biden สอดคล้องกับการปรับประมาณการของ IMF ล่าสุดที่ปรับตัวเลขเศรษฐกิจโลกขึ้นจาก 5.5% เป็น 6%
ส่งผลสำคัญให้ในช่วงที่ผ่านมาตัวเลขการส่งออกทั่วโลกสามารถขยายตัวได้ดีมากโดยเฉพาะหลายประเทศในทวีปเอเชีย
แม้การส่งออกไทยจะฟื้นตัวได้ช้ากว่าประเทศอื่น แต่ด้วยอุปสงค์โลกที่กลับมาฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งทำให้คาดการณ์ว่าไทยจะได้รับประโยชน์และจะช่วยให้การส่งออกไทยขยายตัวได้ดีเช่นกันในปีนี้
KKP Research ปรับประมาณการการขยายตัวของการส่งออกจาก 6.4% เป็น 7.9% ทำให้ในปีนี้คาดว่ากลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออกจะเป็นกลุ่มหลักที่สามารถฟื้นตัวได้ดีกว่าธุรกิจที่พึ่งพาอุปสงค์ในประเทศ
เศรษฐกิจฝากความหวังไว้กับนโยบายวัคซีน
นโยบายวัคซีนเป็นนโยบายที่สำคัญอย่างยิ่งยวดในห้วงเวลานี้
สำคัญมากกว่านโยบายเศรษฐกิจอื่นๆ
ทั้งด้านการเงินและการคลังที่ทำได้เพียงเยียวยา
และซื้อเวลาให้กับเศรษฐกิจเท่านั้น
เพราะถ้าไทยยังไม่สามารถควบคุมการระบาด
และฉีดวัคซีนได้อย่างเพียงพอ
ก็ยังมีความเสี่ยงที่การระบาดจะกลับมา
และมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจได้อีก
การฉีดวัคซีนของไทยถือว่าช้ามากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ
ไม่ใช่เฉพาะเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วเท่านั้น
แม้แต่ประเทศที่มีพัฒนาการทางเศรษฐกิจต่ำกว่าไทยหลายประเทศก็มีการฉีดวัคซีนให้กับประชากรได้เร็วกว่าไทยมาก (รูปที่ 12)
อัตราการฉีดวัคซีนของไทยยังอยู่ที่เพียงราว 1% ของประชากรไทย
และแผนการจัดหาและฉีดวัคซีนอาจจะล่าช้าจนทำให้ไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้ภายในปีนี้
จากการคำนวณของ KKP Research บนสมมติฐานอัตราการแพร่กระจายของเชื้อโควิด 19 (R0 = 2.5)
และประสิทธิผลของวัคซีน AstraZeneca ที่ 70%
ซึ่งเป็นวัคซีนหลักที่รัฐบาลไทยเลือกใช้
และมีประสิทธิผลค่อนข้างต่ำกว่าวัคซีนหลายตัวที่ใช้ในต่างประเทศ
หากต้องการให้ประชากรไทยมีภูมิคุ้มกันได้มากพอที่จะเข้าสู่ภาวะภูมิคุ้มกันหมู่
จำเป็นต้องฉีดวัคซีนถึง 85% ของคนไทยทั้งหมด
หรือประมาณ 60 ล้านคน
ซึ่งหมายถึงประเทศไทยต้องการวัคซีนมากกว่า 100 ล้านโดส
เทียบกับที่รัฐบาลคาดว่าจะจัดหามาได้ 65 ล้านโดส
ที่จะครอบคลุมประมาณ 50% ของประชากรภายในปีนี้
ซึ่งต้องเร่งฉีดวัคซีนให้ได้ถึงวันละ 300,000 โดสในอีก 7 เดือนข้างหน้า
ซึ่งอาจจะเป็นความท้าทายอีกประเด็นในการบริหารจัดการ
แม้ว่าจะมีความพยายามในการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม
แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอนเรื่องปริมาณ
และระยะเวลาการส่งมอบ
KKP Research ประเมินว่าอาจต้องใช้เวลาถึงกลางปี 2022
กว่าที่ประเทศไทยจะสามารถเข้าสู่ภาวะภูมิคุ้มกันหมู่ได้
และเศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่
เศรษฐกิจไทยยังเสี่ยงหดตัวเพิ่มเติมได้ตลอดทั้งปี
KKP Research ประเมินว่าแผนการฉีดวัคซีนของประเทศไทยที่ทำได้อย่างล้าช้า
จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน
และยังเสี่ยงหดตัวเพิ่มเติมได้อีกตลอดทั้งปี 2021 นี้ จากหลายปัจจัย ดังนี้
1) การระบาดระลอกใหม่หลังจากนี้ที่ยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้อีก
ซึ่งจะส่งผลสำคัญต่อทั้งกิจกรรมเศรษฐกิจในประเทศ
และแผนการเปิดรับนักท่องเที่ยวของไทย
ผ่านมาร่วมปีกว่า
แต่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในหลายประเทศทั่วโลกยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
รวมทั้งไทยที่เกิดการแพร่ระบาดเป็นระลอกที่สามแล้ว
ชัดเจนว่าสิ่งเดียวที่จะหยุดยั้งโควิด-19 ได้คือวัคซีน
ตราบใดที่ประชากรในประเทศยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนเพียงพอที่จะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่
ก็จะตกอยู่ในวังวนของปัญหาการระบาดระลอกต่อๆ ไป
กระทบทั้งกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศ
และความสามารถในการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
2) ความสามารถในการรองรับด้านสาธารณสุขอาจถึงขีดจำกัด
แม้ว่าประเทศไทยจะได้รับการยอมรับว่าเป็น
หนึ่งในประเทศที่มีระบบสาธารณสุขดีที่สุด
แต่การระบาดระลอกใหม่ที่รุนแรง
และการขาดการวางแผนในการรองรับผู้ป่วยจำนวนมากล่วงหน้า
ทำให้ระบบสาธารณสุขอาจถึงขีดจำกัดได้เร็วกว่าคาด
ในกรณีการระบาดระลอกปัจจุบันมีผู้ป่วยรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลจำนวนกว่า 25,000 คน
KKP Research ประเมินว่าหากจำนวนผู้ป่วยที่ต้องเข้ารักษาเพิ่มขึ้นถึง 30,000 คน
จะทำให้ระบบสาธารณสุขถูกทดสอบอย่างรุนแรง
และอาจทำให้ต้องใช้มาตรการที่เข้มข้นขึ้นในการควบคุมการระบาด
ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจรุนแรงขึ้น
3) แผนการนำเข้าวัคซีนของรัฐบาลไทย
ยังคงฝากความหวังไว้กับ AstraZeneca เกือบทั้งหมด
และยังพึ่งพาการผลิตจากแหล่งเดียว
ทำให้ยังมีความเสี่ยงอยู่สูงจากทั้งเรื่องประสิทธิผลของวัคซีนต่อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ๆ ผลข้างเคียงที่เกิดจากวัคซีน
และปัญหาในการผลิตวัคซีนให้ได้ตามเป้าหมาย
แตกต่างจากหลายประเทศที่มีการกระจายความเสี่ยงจากวัคซีนหลากหลายผู้ผลิต
ดังนั้น การเลือกใช้วัคซีนตัวเดียวเป็นหลักสำหรับคนทั้งประเทศจึงเป็นความเสี่ยงสำคัญ
และสร้างความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมหาศาล
4) จากประสบการณ์ในต่างประเทศ
แม้เริ่มมีการฉีดวัคซีนแล้ว
การติดเชื้ออาจจะไม่ได้ลดลงในทันที
โดยเฉพาะหากมีการผ่อนคลายข้อจำกัดในการเดินทางเร็วเกินไป
มาตรการต่างๆและการระวังตัวอาจจะยังคงต้องมีต่อไป
เพื่อไม่ให้เกิดการระบาดขึ้นอีก
จนกว่าจะฉีดวัคซีนได้มากถึงระดับหนึ่ง
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจจึงอาจจะใข้เวลาสักระยะ
นโยบายการเงินและการคลังทำได้เพียงประคับประคอง
นอกเหนือจากความเสี่ยงด้านสุขภาพ
มาตรการเพื่อควบคุมการระบาดที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงและต่อเนื่องต่อเศรษฐกิจและกระแสเงินสดของธุรกิจ แรงงาน และครัวเรือน
อย่างไรก็ดีหากนโยบายด้านวัคซีนยังไม่สามารถบรรลุผลสำเร็จในการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้
เศรษฐกิจไทยจะยังคงมีความเสี่ยงต่อการระบาดรอบใหม่อีกในอนาคต
ซึ่งต้องอาศัยการเยียวยาและแรงกระตุ้นจากมาตรการภาครัฐอย่างต่อเนื่อง
การลำดับความสำคัญในการใช้เงินของรัฐในปัจจุบัน
จึงควรเน้นการบริหารทรัพยากรเพื่อควบคุมการติดเชื้อ
การสร้างศักยภาพด้านสาธารณสุข
การจัดหาวัคซีน
การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ
และการกระตุ้นเศรษฐกิจ
และการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจหลังการระบาด
KKP Research คาดการณ์ว่าในระยะสั้น
นโยบายการคลังจะยังคงเน้นการใช้มาตรการเยียวยาประเภทเงินโอนต่อไปอีก
โดยจะใช้งบประมาณจากวงเงิน พรก. เงินกู้ฉุกเฉิน 1 ล้านล้านบาท
ที่ยังคงเหลือประมาณ 2.5 แสนล้านบาท
ภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณฟื้นฟูเศรษฐกิจ
ในขณะที่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ
รวมถึงแผนการลงทุนเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจที่จำเป็นสำหรับการสร้างงาน
และการสร้างรากฐานการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว
จะยังคงไม่ได้รับการผลักดันอย่างเป็นรูปธรรม
แม้อัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อรายได้
น่าจะเข้าใกล้เพดานตามกฎหมายที่ร้อยละ 60
แต่ด้วยต้นทุนทางการเงินที่ปรับลดลงมาค่อนข้างมาก
ประเทศไทยยังมีความสามารถในการกู้เพิ่มได้
หากมีความจำเป็นที่ต้องใช้เงิน
เพื่อควบคุมการระบาด เยียวยา และกระตุ้นเศรษฐกิจ
ตราบเท่าที่การใช้เงินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
มีการปรับลำดับความสำคัญของการใช้เงิน
มีการรั่วไหลน้อย
และให้ความมั่นใจกับตลาดได้ว่าจะมีมาตรการเพื่อรักษาวินัยทางการคลังอย่างยิ่งยวด
สำหรับด้านนโยบายการเงิน KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร คาดว่า
คณะกรรมการนโยบายการเงินจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.5% ไปตลอดปีนี้
ถึงแม้จะมีการระบาดระลอกใหม่ที่กระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
แต่มาตรการส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การใช้มาตรการด้านสินเชื่อและการปรับโครงสร้างหนี้
เช่น ล่าสุดได้มีการออกมาตรการทางการเงินภายใต้โครงการ‘สินเชื่อฟื้นฟู’
และ ‘พักทรัพย์ พักหนี้’
เพื่อสนับสนุนการปรับโครงสร้างหนี้
และให้โอกาสในการปรับตัวแก่ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ
อย่างไรก็ดี มาตรการเหล่านี้
ทั้งการเยียวยาและการพักชำระหนี้
เป็นเพียงการซื้อเวลา
และแบ่งเบาภาระภาคธุรกิจและครัวเรือนได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น
หากรายได้และความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจ
และแรงงานไทยยังไม่กลับมาเป็นปกติ
จากการที่ประเทศไทยยังคงประสบกับปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกแล้วระลอกเล่า
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและชีวิตคนก็ยังคงไม่ได้รับการแก้ไข
และจะยิ่งพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ
ทางออกสำคัญ ณ เวลานี้คือความพยายามจัดหา
และบริหารทรัพยากรด้านสาธารณสุข
เพื่อควบคุมการระบาด
พร้อมกับการเร่งจัดหาและฉีดวัคซีนให้กับคนไทยให้ได้เร็วที่สุด
ติดตามข่าวสาร บทความ บทวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจ เพิ่มเติมได้ที่ >>>
#เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย #recession #ประสิทธิผลของวัคซีน #AstraZeneca #ภาวะภูมิคุ้มกันหมู่ #Herd Immunity #กำไรในรูปเงินสด #EBITDA #โควิด19 #การระบาดระลอกใหม่ #สังคมไทย #วัคซีน #นโยบายด้านวัคซีน #การติดเชื้อ #การสาธารณสุข #ปัญหาความล่าช้า #ปัจจัยที่ต้องพัฒนา #การเมือง #การแก้ปัญหา #เศรษฐกิจ #รายได้ของไทย #ความมั่งคั่ง #เศรษฐกิจไทย #อัตราเติบโต #นโยบายการเงิน #มาตรการเยียวยา #มาตรการภาครัฐ #กระตุ้นเศรษฐกิจ #ความไม่เท่าเทียม #กลไกเศรษฐกิจ #งบประมาณ #กฎหมาย #ความรับผิด #KKP #KKPAdviceCenter #KiatnakinPhatra #เกียรตินาคินภัทร #leverage
#นักลงทุนรายใหญ่ #Wealth #ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน #นักลงทุนมืออาชีพ #ลงทุนเติบโต #KKPResearch #PrivateBank #PrivateBank #PhilosophyOfWealth #BestGlobalPrivateBank #FinancialPlanning #KKPAdviceCenter #KiatnakinPhatra@Blockdit
โฆษณา