27 เม.ย. 2021 เวลา 05:29 • การศึกษา
‘เยอรมนี’ ประเทศที่ไม่ได้มีดีแค่การสร้างชาติจากเทคโนโลยี
แต่ส่งออก ‘การศึกษา’ เพื่อดึงดูดหัวกะทิทั่วโลก
3
หาก 'ญี่ปุ่น' คือมหาอำนาจทางเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ยุโรปก็มี 'เยอรมนี' ที่เป็นชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของภูมิภาคเช่นกัน และแน่นอนว่าทั้งสองประเทศคือ มหาอำนาจทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของโลก ที่ทุกบ้านจะต้องมีสินค้าที่เป็นแบรนด์จากทั้งสองประเทศนี้อย่างน้อย 1 อย่างแน่นอน
1
สำหรับเยอรมนีแล้ว อุตสาหกรรมที่มีความโดดเด่นก็คงหนีไม่พ้นอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่เป็นต้นกำเนิดของแบรนด์รถหรูยอดนิยมของโลกทั้ง เมอร์เซเดส-เบนซ์ บีเอ็มดับเบิลยู โฟล์คสวาเกน อาวดี้ รวมทั้งซุเปอร์คาร์อย่างปอร์เช่ ยังไม่รวมสินค้าและบริการในกลุ่มอื่นๆ ที่สร้างให้เยอรมนีกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 4 ของโลก รองจาก สหรัฐ จีน และญี่ปุ่น
แต่ในบทความนี้จะไม่ได้เล่าถึงความยิ่งใหญ่ของธุรกิจและอุตสาหกรรมต่างๆ ของเยอรมนี แต่จะกล่าวถึงผลิตภัณฑ์การส่งออกรูปแบบหนึ่ง ที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศ และเป็นรากฐานสำคัญของความเจริญที่ดึงดูดให้ผู้คนจากทั่วโลกสนใจที่จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในวงล้อแห่งการพัฒนาที่มีประสิทธิภาพ
1
สิ่งนั้นก็คือการส่งออก “การศึกษา”
🔵 เยอรมนีประเทศที่ให้ทุนเรียนฟรีมากที่สุดในโลก
เพราะการศึกษาคือ รากฐานของการพัฒนาประเทศ และคุณภาพการศึกษาของเยอรมนีก็ถือว่าอยู่ในอันดับหัวแถวของโลกจากประเทศที่มีระบบการศึกษาดีที่สุด โดยในแต่ละปีจะมีนักศึกษาต่างชาติราว 350,000 คน ที่ต้องการจะไปเรียนต่อยังเยอรมนี ไม่ว่าจะเป็นการเรียนต่อระดับปริญญา อนุปริญญา รวมทั้งอาชีวศึกษา
2
ระบบการศึกษาในสถาบันของรัฐบาลเยอรมนีมีการจัดการเรียนการสอนฟรีตั้งแต่ระดับปฐมวัย – อุดมศึกษา ไม่ว่าจะเป็นประชาชนชาวเยอรมันหรือชาวต่างชาติที่เข้าไปเรียนที่นั่น แต่อาจจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับการลงทะเบียนเรียนประมาณ 250 ยูโรต่อภาคการศึกษา ค่าบำรุงการศึกษา โดยประมาณ 300 - 350 ยูโรต่อภาคการศึกษา ซึ่งขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัยตั้งอยู่ในรัฐไหน เพราะแต่ละรัฐจะมีการเก็บค่าทำเนียมที่แตกต่างกันออกไป ยกเว้นรัฐบาเดิน-เวือร์ทเทิมแบร์ค (Baden Württemberg) ซึ่งเมืองที่ทุกคนน่าจะรู้จักคือ สตุทการ์ท (Stuttgart) รัฐนี้จะเก็บค่าธรรมเนียม 1,500 ยูโรสำหรับนักศึกษาที่ไม่ใช่ชาวยุโรป
2
สำหรับค่าธรรมเนียมที่จ่ายไปนักเรียนนักศึกษาจะได้รับเป็นสวัสดิการใน 2 รูปแบบคือ
1. Semester ticket ตั๋วโดยสารระบบขนส่งสาธารณะทุกรูปแบบในรัฐที่มหาวิทยาลัยตั้งอยู่
2. ส่วนลดค่าอาหารในโรงอาหาร
1
🔵 การศึกษาคือรากฐานการพัฒนา ไม่ใช่การค้าเพื่อกำไร
“เพราะการศึกษาไม่ควรเป็นผลิตภัณฑ์ หรือผลผลิตทางการค้า” เยอรมนีเชื่อว่าประเทศควรที่จะจัดสรรระบบการศึกษาให้กับทุกคนอย่างครอบคลุมและเท่าเทียม เนื่องจากการศึกษาคือรากฐานของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างแข็งแกร่ง และทำให้เยอรมนีเป็นเช่นทุกวันนี้ได้
เดิมทีกฎหมายเยอรมนีได้กำหนดให้มหาวิทยาลัยของรัฐเรียกเก็บค่าเล่าเรียนในระดับที่ต่ำมาก ประมาณ 1,000 ยูโรต่อปี แต่ภายหลังได้ยกเลิกการเก็บค่าเล่าเรียนเกือบทั้งหมดของมหาวิทยาลัยรัฐบาล
ส่วนคุณภาพการศึกษาในมหาวิทยาลัยของเยอรมนี ก็ติดอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก และคุณภาพการศึกษามีมาตรฐานระดับโลก มหาวิทยาลัยหลายแห่งในเยอรมนีติด 1 ใน 100 อันดับแรกของโลก และการศึกษาของเยอรมนีได้รับการยอมรับจากทั่วโลก
🔵 เก็บภาษีโหดที่สุดติดอันดับโลก แต่แลกมาด้วยรัฐสวัสดิการคุณภาพ
แน่นอนว่าว่าที่เยอรมนีจะสามารถให้ทุกคนเข้าถึงระบบการศึกษาอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม หรือมีรัฐสวัสดิการที่ดีได้ ประชาชนชาวเยอรมันจะต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงถึง 40% นับเป็นประเทศที่มีการเสียภาษีเงินได้ของประชาชนสูงเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากเบลเยียม
นอกจากนี้ยังมีภาษีอื่นๆ ยิบย่อยอีกมากมาย เช่น ภาษีโบสถ์ที่ 8 - 9% สำหรับผู้นับถือศาสนาคริสต์ ภาษีรวมชาติ 5.5% แม้แต่ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT ก็จ่ายอยู่ที่ 19%
1
เรียกได้ว่ารายได้เกินครึ่งหนึ่งหมดไปกับการจ่ายภาษี อาจมีสิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้นิดหน่อยตามกฎหมาย แต่นั่นก็แลกมาด้วยรัฐสวัสดิการที่ดีเยี่ยมต่างๆ ที่ภาครัฐจัดสรรมาให้ ดังนั้นไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ โดยไม่มีต้นทุน
2
ด้วยคุณภาพการศึกษาของเยอรมนีที่เป็นที่ยอมรับ ดังนั้นมันจึงสามารถการันตีได้เลยว่า การจบการศึกษาจากสถานบันในประเทศนี้คุณจะมีงานทำในตำแหน่งที่ดี มีรายได้สูง เพราะนายจ้างในบริษัทใหญ่ๆ ต่างแย่งชิงจองตัวนักศึกษาที่จบจากเยอรมนีให้เข้าร่วมงานตั้งแต่ที่ยังไม่ทันเรียนจบ โดยเฉพาะในสายช่าง และวิศวกรรมที่ได้รับการยกย่องเป็นพิเศษจากมหาวิทยาลัยในเยอรมัน รวมทั้งสายการแพทย์และเภสัชศาสตร์ ก็เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานระดับบนอีกด้วย
🔵 400 สถาบัน 1,000 หลักสูตรเรียนฟรีทั่วประเทศ
เยอรมนีมีมหาวิทยาลัยของรัฐเกือบ 400 แห่ง และมีหลักสูตรการศึกษามากกว่า 1,000 หลักสูตร และแน่นอนว่าเรียนฟรีเกือบทั้งหมด อาจมีบางหลักสูตรที่เก็บเงินค่าเล่าเรียนบ้างเล็กน้อย แต่โดยรวมแล้ว 98% เรียนฟรี
🔹️ มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยเทคนิค (Universities / Technical Univerisities) มีจำนวน 107 แห่ง
🔹️ มหาวิทยาลัยเน้นภาคปฏิบัติ (Univeresities of Applied Sciences) มี 246 แห่ง
🔹️ วิทยาลัยด้านการดนตรีศิลปะและภาพยนตร์ มี 52 แห่ง
🔹️ วิทยาลัยครู อีก 6 แห่งและวิทยาลัยศาสนา อีก 16 แห่ง
และการจะได้เรียนในมหาวิทยาลัยที่ดีก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเลือกมหาวิทยาลัยอยู่ในเมืองหลวงที่กรุงเบอร์ลิน หรือในเมืองใหญ่อย่างแฟรงเฟิร์ตเท่านั้น เพราะไม่ว่าจะเป็นเมืองไหน รัฐไหน ก็มีมหาวิทยาลัยที่มีคุณภาพสูงกระจายตัวอยู่ทั่วประเทศทั้งสิ้น
🔵 ตัวอย่างมหาวิทยาลัยของรัฐที่เปิดให้นักเรียนต่างชาติเข้าเรียนฟรีได้แก่
🔹️ University of Cologne
🔹️ Ludwig Maximilians University Munich (LMU)
🔹️ Goethe University Frankfurt
🔹️ RWTH Aachen University
🔹️ University of Münster
🔹️ Ruhr University Bochum
🔹️ University of Duisburg-Essen
🔹️ Universität Hamburg
🔹️ FAU Erlangen-Nürnberg
🔹️ Technical University of Munich (TUM)
🔹️ University of Würzburg
แต่อย่างไรก็ตาม นักเรียนต่างชาติหรือนักเรียนไทยก็ยังต้องมีค่าใช้จ่ายสำหรับการกินอยู่ ซึ่งค่าใช้จ่ายเป็นเงินยูโรต่อเดือนเฉลี่ยในปัจจุบัน เป็นดังนี้
1
🔹️ ค่าเช่าบ้าน(หรือหอพัก)รวมไฟฟ้าประปา 300 - 500
🔹️ ค่ากิน 200 - 250
🔹️ ค่าประกันสุขภาพ 100
🔹️ ค่าโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ต 30
🔹️ ค่าเที่ยวและบันเทิง 50 - 100
🔹️ รวมๆ แล้วก็ประมาณ 700 ยูโรหรือ 30,000 - 44,000 บาทต่อเดือน หรือปีละประมาณ 400,000 - 520,000 บาท
หากเงินที่ทางบ้านส่งมาไม่เพียงพอก็สามารถทำงานพิเศษเสริมระหว่างเรียนได้ โดยอนุญาตให้ผู้ที่ถือวีซ่านักเรียนทำงานพาร์ทไทม์ได้ 20 ชั่วโมง/สัปดาห์ หรือ 120 วันตลอดทั้งปี และ 60% ของนักศึกษาต่างชาติก็เรียนด้วยทำงานด้วยเช่นเดียวกัน
แต่แม้จะเรียนฟรีก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะสมัครเรียนอะไรก็ได้ เพราะแต่มหาวิทยาลัยก็จะมีความเชี่ยวชาญหรือมีชื่อเสียงในสาขาวิชาต่างๆ ที่แตกต่างกัน บางมหาวิทยาลัยดังเรื่องวิศวกรรมยานยนต์ หรือบางมหาวิทยาลัยดังเรื่องการแพทย์และเคมี ก็จะต้องแย่งชิงสอบเข้าให้ได้ตามเกณฑ์ที่มหาวิทยาลัยนั้นๆ กำหนด ซึ่งถือว่ายากมาก เพราะทางสถาบันก็ต้องการเด็กหัวกะทิจริงๆ ที่จะแข่งขันเข้าเรียน
1
และหลักสูตรส่วนใหญ่เป็นภาษาเยอรมนี ดังนั้นนักศึกษาต่างชาติก็ต้องเรียนภาษาเยอรมันให้อ่านออก เขียนได้ ฟัง พูด สื่อสารเข้าใจ ในระดับที่ดีพอจะเรียนหนังสือ และที่สำคัญการเรียนปรับพื้นภาษานั้นไม่ฟรี จะมีค่าใช้จ่ายซึ่งหากไม่มีพื้นฐานภาษาเยอรมัน จะต้องเตรียมเงินอย่างน้อย 70,000 – 220,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเรียนภาษาเยอรมัน
🔵 เรียนจบ เรียนดี มีสิทธิ์ได้งาน สร้างโอกาสอยู่ถาวร
นักศึกษาต่างประเทศเมื่อเรียนจบแล้วก็มีโอกาสที่จะได้ทำงานในเยอรมนีต่อ โดยต้องมีวีซ่า Post-Study Work ที่สามารถยื่นขออยู่ต่อได้สูงสุด 18 เดือน และเมื่อได้งานแล้วก็ค่อยเรื่องขอวีซ่า EU-Blue Card ซึ่งเป็นใบอนุญาตทำงานที่รับรองจาก 25 ใน 28 ประเทศของสมาชิกสหภาพยุโรป โดยจะสามารถทำงานและรับเงินเดือนในอัตราเดียวกันกับคนในยุโรป ได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ ทั้งทางเศรษฐกิจและสวัสดิการสังคม และมีโอกาสขอเป็นผู้อยู่อาศัยถาวร (Permanent Residence) เมื่อทำงานเป็นระยะเวลา 5 ปี ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับฝีมือและความสามารถว่าจะให้นายจ้างหรือบริษัทรั้งเราไว้จนถึงวันที่ได้สิทธิ์นี้หรือไม่อีกด้วย
ทั้งนี้ถือเยอรมนีนับว่าเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ให้ความสำคัญด้านการศึกษาอย่างมาก ทั้งกับพลเมืองและชาวต่างชาติที่เข้ามาเรียน เพราะเยอรมนีสามารถสร้างความเจริญของประเทศจากพื้นฐานการศึกษาที่ดี และให้สิทธิ์ชาวต่างชาติในการแข่งขันอย่างเท่าเทียม เพราะเยอรมนีก็เป็นหนึ่งในประเทศที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติสูง มีชาวต่างชาติหลายวัฒนธรรมอยู่ในประเทศนี้ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เยอรมนีจะคุ้นเคยกับความแตกต่างทางสังคม และให้โอกาสได้แข่งขันเท่าเทียมกับพลเมืองของประเทศ
ส่วนใครที่อยากจะไปเรียนต่อหรืออยากส่งลูกหลานไปเรียนก็ลองศึกษาข้อมูลดูได้ เผื่อเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับการก้าวสู่โลกใบใหม่ที่จะได้โอกาสในชีวิตเพิ่มขึ้น นอกจากประเทศยอดนิยมอย่างอังกฤษ หรือสหรัฐอเมริกา
╔═══════════╗
ไม่พลาดบทความสาระดีๆ ที่ Reporter Journey ตั้งใจสร้างสรรเพื่อผู้ติดตามทุกท่าน อย่าลืมกดติดตามเพจเป็นรายการโปรด โดยคลิกที่จุด [...] ด้านบนมุมขวาบนของเพจ เลือก "การตั้งค่าการติดตาม" และกดเลือกให้เป็น "#Favourites" หรือ “#รายการโปรด” ไว้จะได้ไม่พลาดเรื่องราวจากเพจเรา
╚═══════════╝
ติดตาม Reporter Journey ได้ทุกช่องทางที่
โฆษณา