27 เม.ย. 2021 เวลา 15:01 • สุขภาพ
แชร์ประสบการณ์ผ่าตัดไทรอยด์
"สิ่งที่ฉันกลัวและกังวลที่สุดไม่ใช่การเข้าห้องผ่าตัด
แต่เป็น......"
...ถึงคุณผู้อ่านที่รัก...
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 3 ปีก่อน
เอ่อ..น่าจะเกือบๆ 4ปีเห็นจะได้
ตอนนั้นฉันทำงานที่ประเทศเนปาล เมื่ออยู่ที่นั่นได้ประมาณ 1 ปี ก็ได้มีโอกาสกลับมาเยี่ยมครอบครัวที่เมืองไทย
บ่ายวันหนึ่งขณะที่นั่งรับประทานอาหารอยู่ในร้านอาหารกับแม่ของฉัน
" มดดี้!..ไหนหันหน้าไปข้างๆให้ดูหน่อยซิ
รู้สึกว่าคอเราจะโตๆขึ้นผิดปกตินะ"
เมื่อแม่ทักท้วงขึ้นมา ฉันจึงไม่รอช้าที่จะรีบไปตรวจที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน
" ผลก็คือฉันมีค่าไทรอยด์ที่ผิดปกติ
แต่ไม่ถึงขั้นไทรอยด์เป็นพิษ"
หมอให้ยาเม็ดเล็กๆมารับประทาน เพื่อรักษาระดับฮอร์โมนให้สมดุล ฉันกินยาตามที่แพทย์สั่งนานนับปี แต่ก้อนเนื้อในลำคอที่โตขึ้นเพียงเล็กน้อยก็ไม่มีวี่แววที่จะยุบลงไปเป็นปกติ
ด้วยภาระหน้าที่ที่ต้องเดินทางไปอยู่ประเทศเนปาลและประเทศบังคลาเทศเป็นเวลานาน ไม่ได้กลับมาพบหมอตามนัดเพื่อเช็คอาการเป็นประจำ ทำให้การรักษาไม่ต่อเนื่อง จะว่าไปสาเหตุสำคัญๆก็เกิดจากตัวฉันเองทั้งนั้น
" -คงไม่เป็นอะไรมากหรอกมั้ง
-เดี๋ยวค่อยไปตรวจแล้วกัน
- โอ้ย! ...ก็ยังลางานกลับบ้านไม่ได้นี่! "
2
สารพัดสิ่งที่จะอ้างไหนจะนอนดึกอีก ไหนจะกินอาหารไม่เป็นเวลาอีก ฉันไม่เห็นความสำคัญของสุขภาพตัวเอง
1
ต่อมไทรอยด์ด้านซ้ายโตขึ้นเรื่อยๆโดยที่ฉันเองก็ไม่รู้ตัว เริ่มมีเพื่อนร่วมงานชาวบังคลาเทศหลายคนเข้ามาทัก ว่ามองเห็นก้อนเนื้อที่คอของฉันมีขนาดใหญ่มาก เมื่อใครต่อใครทักท้วงก็เริ่มมีความกังวลใจ ยิ่งเมื่อโควิดระบาดอย่างหนักที่บังคลาเทศ
ฉันก็หมดหนทางที่จะกลับมาตรวจเช็คสุขภาพ
แล้ววันหนึ่งไม่รู้ว่าจะเรียกว่าโชคดีหรือโชคร้าย เกิดการเปลี่ยนแปลงในองค์กรกระทันหัน ทำให้ทีมงานของฉันทุกคนต้องกลับมาเมืองไทยอย่างเร่งด่วน
(เรียกง่ายๆว่าตกงานนั่นแหละค่ะ)
มีทั้งอารมณ์เสียใจและดีใจ ในที่สุดฉันก็ได้กลับไทยมาหาหมอเพื่อตรวจสุขภาพอย่างละเอียดอีกครั้งเสียที
ปล. คนไทยส่วนใหญ่ที่อยู่ในประเทศเนปาลและบังคลาเทศ จะสะดวกใจเข้ารับการรักษาพยาบาลที่ประเทศไทยมากกว่า ด้วยความเจริญทางการแพทย์ต่างๆนานา
ฉันเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลของรัฐซึ่งมีชื่อเสียงด้านการแพทย์อย่างมากในภาคอีสาน โดยตัวฉันอาศัยอยู่อีกจังหวัดหนึ่ง ที่เดินทางมารักษาที่นี่เพราะมีความเชื่อมั่นว่าจะได้รับการรักษาที่ดีและปลอดภัยหายห่วง
"ผลจากภาพอัลตร้าซาวด์ ก้อนเนื้อลำคอด้านซ้ายมีขนาดใหญ่มาก ยังพบก้อนเนื้อทางด้านขวาโตขึ้นด้วย หมออาจจะต้องผ่าตัดต่อมไทรอยด์ของคุณออกทั้งสองข้าง ผลข้างเคียงจะทำให้เสียงของคุณแหบ และต้องกินยาไปตลอดชีวิต"
หมอบอกผลอัลตร้าซาวด์กับฉัน เธอเป็นสาวใหญ่วัยประมาณ 50 ต้นๆ ตั้งแต่กลับมาจากบังคลาเทศ ฉันก็ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องจากคุณหมอท่านนี้หลายครั้งเพื่อประเมินอาการ ว่าจะเลือกการรักษาอย่างไรให้ได้ผลดีที่สุด
...ในที่สุดการผ่าตัดก็คือทางออก...
" เสียงของหนูจะแหบด้วยเหรอคะคุณหมอ?"
(ฉันถามคุณหมอด้วยความวิตกกังวลอย่างมาก)
ฉันไม่อยากเสียงแหบ
แผลเป็นอ่ะรับได้
แต่ฉันกลัวเสียงแหบ
....ช้านไม่อยากเสียงแหบบบบ!!! (คิดค้านในใจ)
" อ้อ! ที่น่าเป็นห่วงอีกอย่างก็คือ ถึงแม้ว่าค่าฮอร์โมนไทรอยด์ของคุณจะผิดปกติไม่มาก แต่ก้อนเนื้ออาจจะมีความเสี่ยงที่จะเป็นเนื้อร้าย ยังไงวันนี้หมอขอเจาะของเหลวออกจากคอของคุณไปตรวจดูเบื้องต้นก่อนนะคะ "
คุณหมอกล่าวพร้อมกับนำกระบอกฉีดยาขนาดกลางๆใส่เข็มอันแหลมคม ดูดของเหลวสีแดงลักษณะข้นหนืดจากก้อนเนื้อที่ลำคอของฉันไปเต็มกระบอก....อ๊ากกกส์
คุณหมอนัดมาฟังผลในอาทิตย์ต่อมา
ฉันก็นับวันจดจ่อรอฟังผล
"ผลตรวจของเหลวออกมาแล้ว
เอ่อ...ไม่พบอะไรผิดปกตินะคะ "
(คุณหมอเอ่ยขึ้นมา)
" เย้...รอดตัวแล้ว"
(ฉันนึกในใจด้วยความยินดีปรีดา)
"แต่ก็ต้องมีการนำชิ้นเนื้อหลังจากผ่าตัดไปตรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง เพราะก้อนเนื้อของคุณยังมีความเสี่ยงที่จะเป็นเซลล์มะเร็งนะคะ"
(คุณหมอกล่าวเสียงเรียบๆ)
" เห้ยยย! ยังไม่รอดเหรอเนี้ยตรู!
...ฉันคิดในใจ....
หมอนัดผ่าตัดในอีกหนึ่งเดือนต่อมา
ฉันเข้ามาแอดมิทก่อนวันผ่าตัดหนึ่งวัน และได้เข้าห้องตรวจเพื่อฟังคำแนะนำต่างๆก่อนการผ่าตัดจากคุณหมอท่านเดิม
" สวัสดีค่ะคุณหมอ "
ฉันกล่าวทักทายคุณหมอ พร้อมกับยื่นถุงที่ใส่กล่องขนมอันแสนน่ารักให้กับเธอ ก่อนที่จะเดินทางข้ามจังหวัดมาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ในตอนเช้าตรู่ ฉันได้บรรจงตั้งใจทำขนมอย่างสุดฝีมือ เพื่อนำมามอบให้คุณหมอและพยาบาลคู่ใจโดยเฉพาะ
" สวัสดีค่ะ
อุ้ย! มีขนมมาฝากหมอด้วย
ขอบคุณนะคะ "
คุณหมอกล่าวขอบคุณฉัน พร้อมกับแจ้งแนวทางการรักษา เพื่อให้ฉันได้เข้าใจและปฏิบัติตัวเองได้ถูกต้องก่อนเข้าห้องผ่าตัดในวันพรุ่งนี้
1
" เนื่องจากก้อนเนื้อที่ลำคอของคุณมีขนาดใหญ่มากและอาจจะต้องผ่าออกทั้งสองข้าง หมอคิดว่าการผ่าตัดแบบเปิดจะเป็นผลดีที่สุด คุณต้องงดน้ำงดอาหารหลังเที่ยงคืนเป็นต้นไปนะคะ หลังจากผ่าตัดเวลาดื่มน้ำคุณจะมีอาการสำลักสักระยะหนึ่ง หลังจากนั้นประมาณ4-5 วันก็จะดีขึ้นเองค่ะ เพราะในระหว่างการผ่าตัดจะต้องใส่ท่อลงไป จะทำให้เกิดการระคายเคือง อ้อ! เมื่อเข้าห้องผ่าตัดต้องถอดชุดชั้นในออก ให้ใส่แต่ชุดที่โรงพยาบาลจัดไว้ให้นะคะ"
1
ฉันทำความเข้าใจในสิ่งที่คุณหมอบอกและเซ็นต์เอกสารยินยอมเข้ารับการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ในที่สุด
...หมอทำการตรวจโควิดฉันก่อนเข้าแอดมิท...
เมื่อได้ทำธุระเกี่ยวกับเอกสารต่างๆเสร็จเรียบร้อย ฉันได้เข้าพักในห้องพิเศษตามที่แจ้งประสงค์ไว้ ผู้ที่มาให้กำลังใจในการผ่าตัดและดูแลฉันก็คือ คุณแม่และคุณอาของฉันเอง
หลังจากผ่าตัดที่ลำคอคงจะทำให้เราสระผมไม่ได้อีกหลายวัน ค่ำวันนั้นฉันจึงเตรียมการสระผมสระเผ้าอย่างเต็มที่ให้สะใจไปเล้ยยย...
ฉันตื่นเต้นกับการผ่าตัดมิใช่น้อย ความคิดต่างๆวนเวียนอยู่ในหัว ฉันไม่อยากอยู่ในสภาวะที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ฉันไม่อยากให้แม่และอาต้องลำบากมาดูแลเพราะพวกท่านอายุมากแล้ว ฉันนึกไม่ออกว่าหลังจากผ่าตัดใหม่ๆสภาพร่างกายจะเป็นอย่างไร
" -ถ้าหากปวดฉี่ขึ้นมาล่ะ?
- ปวดอึจะทำยังไง?
- ไหนจะอาบน้ำอาบท่าไม่ได้อีก
ฯลฯ...โอ้ยย..ยิ่งคิดยิ่งกลุ้ม "
คืนนั้นฉันนอนไม่หลับเลยทั้งคืน สิ่งที่ฉันไม่ลืมที่จะสั่งเสีย เอ้ยย! บอกกับแม่เอาไว้ก็คือ
" ถ้าหากออกจากห้องผ่าตัดแล้ว ห่มผ้าให้หนูหนาๆนะแม่ และขอถุงเท้าด้วย "
เพราะฉันเป็นคนขี้หนาวมาก
นี่สิ่งเดียวที่ฉันนึกออกและขอร้องท่านเอาไว้
เวลาเช้าตรู่วันต่อมา
พยาบาลแจ้งว่าฉันได้คิวผ่าตัดเป็นคนแรกของเช้าวันนี้ ก่อนเข้าผ่าตัดจะต้องมีการให้น้ำเกลือเสียก่อน
ว่าแล้วพยาบาลสาวสวยคนนั้นก็จัดแจงอุปกรณ์ต่างๆ ใส่ในรถเข็นคันเล็กๆ เดินเข็นมายังข้างเตียงของฉัน
" ขอเจาะเส้นเลือดให้น้ำเกลือ เจ็บนิดนึงนะคะคนไข้"
(เธอบอกกับฉันเสียงหวาน)
" ใกล้เข้าห้องผ่าตัดจริงๆแล้วสินะเรา
ของให้ทุกอย่างราบรื่นด้วยเทอญ "
(ฉันคิดในใจ)
ขณะที่กำลังทำสมาธิเพื่อเตรียมความพร้อม ฉันไม่ได้สนใจมองสิ่งที่พยาบาลสาวทำมากนัก เพราะมัวแต่จดจ่ออยู่กับความคิดของตัวเอง ในระหว่างนั้นคุณพยาบาลก็จับหาเส้นเลือดพร้อมกับเช็ดแอลกอฮอล์เบาๆที่หลังมือของฉัน
"ทันใดนั้นฉันก็สะดุ้งเฮือก!
เจ็บแปล๊บบบที่เส้นเลือดหลังมือเข้าอย่างจัง "
คุณพยาบาลสาวทำหน้าตาเลิ่กลั่ก แสดงอาการตกอกตกใจไม่น้อยไปกว่าฉัน
" ขอโทษด้วยค่ะๆ
เมื่อกี้ใช้เข็มไซส์ใหญ่ เส้นเลือดของคนไข้ขนาดเล็กมากๆเลยทำให้เส้นเลือดแตก
คนไข้เจ็บไหมคะ?
ขอเจาะอีกครั้งนึง
ขอโทษจริงๆนะคะ "
เธอรีบขอโทษฉันในความผิดพลาด พร้อมกับรีบเช็ดคราบเลือดที่เปรอะเปื้อนออกมาจากการปริแตกของเส้นเลือดอย่างร้อนรนใจ เพราะอาจกลัวว่าฉันจะตำหนิเธอ
" ไม่เป็นไรค่ะๆ "
ฉันบอกกับเธอด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่ได้โกรธและเจ็บปวดอะไรมากมาย มีแต่ความตกใจที่เห็นเลือดสีแดงสดๆไหลออกมามากกว่า จากใจที่ฮึกเหิมพร้อมเข้าสู่สนามรบในตอนแรก อยู่ๆใจก็แป้วลงทันที
" เสียฤกษ์แล้วมั้ยนี่เรา"
หลังจากให้น้ำเกลือเรียบร้อยแล้ว ฉันเตรียมตัวตามที่หมอสั่งและใส่หน้ากากอนามัยเพื่อความปลอดภัย เพราะวันนั้นโรงพยาบาลแห่งนี้มีผู้ป่วยโควิดมารักษาจำนวนมาก สักพักมีพนักงานผู้ชายคนหนึ่งเข็นเปลนอนสำหรับผู้ป่วยมารับฉันที่ห้อง
" ทำใจสบายๆนะลูก เดี๋ยวก็ได้ออกมาเจอกันแล้ว"
( แม่บอกฉันด้วยน้ำเสียงร่าเริง)
" ไม่ต้องกังวลนะจ๊ะมดดี้ "
(เสียงคุณอาของฉันไล่หลังตามมา)
พนักงานเข็นเปลพาฉันไปยังห้องผ่าตัด โดยมีคุณพยาบาลเดินเคียงข้างไปส่งด้วย
ณ ห้องผ่าตัด
มีบุรุษพยาบาลมารับฉันที่หน้าห้อง หลังจากพวกเขาทำการส่งมอบงานซึ่งกันและกันเสร็จเรียบร้อย
ห้องนี้จะมีแสงที่สว่างจ้ากว่าห้องใดๆในโรงพยาบาล เป็นห้องกว้างๆสีเขียวอ่อน ฉันนอนอยู่บนเปลโดยมีบุรุษพยาบาลเข็นอย่างเข้าไปอย่างว่องไว แสงไฟบนเพดานทำให้ฉันเริ่มแสบตา มันช่างเหมือนฉากอุบัติเหตุเข้าห้องฉุกเฉินในละครไม่มีผิด
1
เมื่อถึงห้องที่มีอุปกรณ์อะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด ฉันต้องลุกจากเปลเพื่อมานอนที่เตียงสำหรับผ่าตัด
เมื่อฉันนอนลงทันทีทันใดนั้นความชุลมุนวุ่นวายก็เริ่มเกิดขึ้น ฉันก็จำเหตุการณ์อะไรไม่ได้มากนัก
-เริ่มจากมีพยาบาลสาวมาเช็คความเรียบร้อย ตรวจสอบว่าฉันใส่ชุดชั้นในเข้ามาหรือไม่ ถ้าใส่ให้ถอดออก
- ฉันกำลังใส่ฟันปลอมอยู่หรือไม่ ถ้าใส่ให้ถอดออก
- แพ้ยาอะไรหรือไม่
จากนั้นมีคุณหมอหญิงสาวคนหนึ่งมาวัดความดัน
และบุรุษพยาบาลมาจัดการล็อกตัวฉันเอาไว้ด้วยสายรัดหรืออะไรไม่ทราบเป็นวัตถุนุ่มๆ แต่ทำให้ลำตัวของฉันขยับเขยื้อนได้ลำบากยิ่งนัก
คุณหมอสาวอีกท่านหนึ่งจัดเตรียมสายอะไรต่อมิอะไรไว้ข้างตัวฉันเต็มไปหมด และนำหน้ากากออกซิเจนมาสวมให้ฉัน
"เมื่อเร็วๆนี้ได้ไปในที่ที่มีความเสี่ยงโรคระบาดโควิดมามั้ยคะ"
เสียงใครสักคนถามฉันไม่แน่ใจว่าคุณหมอหรือพยาบาล
" เอิ่มม..
ทำไมเพิ่งมาถามเอาตอนนี้คะ555"
(ฉันคิดในใจ)
ฉันทำได้แค่ส่ายหน้าเบาๆ เพราะพูดคุยไม่ได้เนื่องจากติดหน้ากากออกซิเจนอยู่
"หายใจเข้าลึกๆนะคะ"
เสียงคุณหมอสาวท่านหนึ่งบอกกับฉัน
ฉันคิดว่าตอนนี้ฉันกำลังดมยาสลบอยู่แน่ๆ ฉันอยากจะรู้เหมือนกันว่าฉันจะหลับไปตอนไหน
หายใจเข้าหายใจออกไปนับสิบครั้งก็ยังไม่หลับสักที
"พร้อมแล้วค่ะอาจารย์ ! "
เสียงคุณหมอสาวอีกท่านพูดเสียงดังฟังชัด
ฉันเห็นคุณหมอเดินใกล้เข้า เธอก้มหน้ามาใกล้ๆแล้วบอกกับฉันว่า
" ขนมที่นำมาให้หมอวันนั้นอร่อยมากๆเลยนะคะ
ขอบคุณมากค่ะ"
ก่อนสติสุดท้ายของฉันจะดับวูบไปฉันได้ยินเสียงใครสักคนบอกว่า
" หายใจเข้าอีกครั้งลึกๆนะคะ "
..หลังจากนั้นฉันก็ไปสู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น..
ไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไหร่ ฉันรู้สึกว่าตัวของฉันถูกใครหลายคนยกขึ้นมาโดยการห่อผ้าผืนหนา หรือห่อด้วยอะไรสักอย่าง ฉันพยายามลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ
"อ้าว! แล้วช้านมานอนบนเตียงนี้ได้ยังไงเนี่ย?"
ฉันรู้สึกปวดร้าวไปหมด มันเป็นสิ่งที่ไม่ชินเอาเสียเลย
" เป็นไงบ้างมดดดดี้ ? "
ฉันได้ยินเสียงแม่และคุณอาถามประสานเสียงพร้อมเพรียงกัน
" โอ..เค..อยู่...ค่ะ"
อ้าวเสียงของฉันหายไปไหน?
ทำไมฉันพูดออกมาไม่ได้?
" เอ้า ..ดื่มน้ำก่อนนะยังไม่ได้กินอะไรมาทั้งคืนนี่"
แม่ของฉันพูดขณะที่เธอกำลังเทน้ำใส่แก้วพร้อมหลอดดูด ถือมาให้ฉันใกล้ๆ
" โอ้ยยย! คอตึงยกหัวไม่ขึ้น
มันปวดร้าวไปหมด "
ฉันพยายามผงกหัวขึ้นมาแต่ไม่สามารถทำได้ แม่ของฉันจึงประคองขึ้นมา
ฉันรู้สึกกระหายน้ำมาก เมื่อแม่วางแก้วน้ำใส่ไว้ให้ในมือ ฉันจึงดูดน้ำปร๊วดเดียวกลืนลงคอเลยทันที ฉันเกิดอาการสำลักน้ำอย่างรุนแรง ย้อนนึกถึงคำที่หมอบอกว่าหลังผ่าตัดจะมีอาการสำลักน้ำ
"ก็ไม่คิดว่ามันจะสำลักรุนแรงเหมือนกับการจมน้ำอย่างนี้นี่นา"
หลังจากนั้นฉันก็นอนหลับไปนานหลายชั่วโมงมาก แม่มาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้
"อยากจะอาบน้ำจังเลยยย"
(คิดในใจ)
ฉันพยายามที่จะลุกขึ้นมาเองแต่มันก็หนักหัวหนักตัวไปหมด ถ้าจะลุกก็ต้องมีคนช่วยพยุงหลังขึ้นมา
"ปวดฉี่มั้ยล่ะลูก ?
มีกระโถนสำหรับคนป่วยนะ"
แม่ถามฉันด้วยความเป็นห่วง
ฉันโบกมือเบาๆแทนคำตอบ
ฉันอยากจะเดินไปเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัว
เพื่อล้างนอกล้างในอะไรด้วยน่ะสิ!
ค่ำๆวันเดียวกัน แม่กับคุณอาต้องลงไปเอาสัมภาระที่รถ ฉันอยู่ในห้องพักเพียงลำพัง ด้วยความอยากไปเข้าห้องน้ำจึงพยายามหาทางลุกขึ้นจากเตียงด้วยตัวเอง เพราะสายน้ำเกลือถูกถอดออกไปแล้ว
1
พอยกหัวยกตัวขึ้นมาได้ ขั้นตอนต่อไปก็สบายมาก
เพราะขาของฉันยังดีอยู่ แต่พอจะก้าวลงจากเตียง
ฉันก็สังเกตเห็นสายอะไรบางอย่างต่อลงมาจากบาดแผลที่คอ
" มันเป็นสายยางเส้นเล็กที่เสียบเข้าไปในบาดแผล เพื่อระบายน้ำเลือด น้ำเหลือง และของเสียจากการผ่าตัดที่ต่อใส่ในกระปุกเล็กๆ ดังนั้นถ้าจะเดินไปไหนก็ต้องเอาเจ้ากระปุกนี้ติดไปด้วย"
ฉันสามารถลุกเดินเหินทำธุระส่วนตัวได้ในวันแรกของการผ่าตัด แม้จะรู้สึกเจ็บแผลอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร
พอวันต่อมาความเจ็บปวดก็ค่อยๆลดลงมาเรื่อยๆ
ฉันนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลอีกสองวัน คุณหมอก็ให้ออกจากโรงพยาบาลกลับมาพักฟื้นที่บ้าน
การดูแลตัวเองหลังการผ่าตัดได้แก่
1. ห้ามยกของหนัก
2. อย่าดื่มเครื่องดื่มหรือกินอาหารอะไรร้อนๆ
ให้ดื่มหรือกินอาหารที่มีความเย็นหรืออุณหภูมิปกติ
3. อย่าให้แผลโดนน้ำ
4. พยายามบริหารลำคอบ่อยๆ เพื่อให้แผลไม่ยึดหรือเป็นพังผืด
หนึ่งอาทิตย์ต่อมาก็สามารถตัดไหมได้ ฉันจึงไปตัดไหมที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน เพราะโควิดเริ่มระบาดทุกหนทุกแห่งแล้ว การเดินทางมาตัดไหมที่นี่จึงเป็นเรื่องยาก เพราะการเข้าออกข้ามจังหวัดค่อนข้างลำบาก
ส่วนเรื่องแผลเป็นนั้นไม่น่าเป็นห่วง คุณหมอเย็บแผลสวยเนียนกริบเส้นเล็กมาก แต่ต้องใช้เวลาที่จะทำให้ลบเลือนหายไปซึ่งมันไม่เป็นปัญหาสำหรับฉันเลย
1
"นักรบย่อมมีบาดแผล"
หลังจากการผ่าตัดครั้งนี้ ทำให้ฉันรู้สึกอยากกลับมารักษาสุขภาพให้ดีกว่าเดิม ฉันไม่อยากป่วยและทำให้แม่ต้องลำบากมาคอยดูแล เพราะอายุท่านมากแล้ว
ร่างกายคงจะเตือนฉันว่า
" ถ้าแกไม่ดูแลสุขภาพ แกจะแย่กว่านี้นะจะบอกให้"
ฉันได้รับข่าวดีจากคุณหมอในอาทิยต์ต่อมาว่า ผลจากการตรวจชิ้นเนื้อไม่พบเซลล์มะเร็งหรือโรคร้ายใดๆ คุณหมอได้ผ่าตัดต่อมไทรอยด์ออกเพียงด้านเดียวคือข้างซ้ายเท่านั้น อีกข้างหนึ่งคุณหมอมีความเห็นว่ายังสามารถเก็บรักษาไว้ได้ ดังนั้นฉันจึงยังไม่ต้องกินยาไปตลอดชีวิต เพราะมีต่อมไทรอยด์ที่สามารถทำงานได้
...แต่สิ่งที่ฉันกังวลที่สุดก็คือ...
"เสียงของฉันยังไม่สามารถกลับมาเป็นปกติ
ซึ่งต้องใช้เวลาฟื้นฟูอีกนานหลายเดือน "
ขอให้คุณผู้อ่านรักษาสุขภาพด้วยนะคะ
โปรดติดตามตอนต่อไป
"มดดี้"

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา