Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Lumpsum : ที่ปรึกษาวางแผนการเงินส่วนบุคคล
•
ติดตาม
27 เม.ย. 2021 เวลา 14:21 • หนังสือ
📌3 เทคนิคไปสู่เป้าหมายโดยไม่ล้มเลิกไปซะก่อน
ผ่านมา 4 เดือนแล้ว เป้าหมายที่เคยตั้งไว้เมื่อตอนต้นปี เป็นยังไงบ้างคะ?
📌3 เทคนิคไปสู่เป้าหมายโดยไม่ล้มเลิกไปซะก่อน
ส่วนแอดมินนั้น ... ละไว้ในฐานที่เข้าใจ 555
เป็นเหมือนกันมั้ยคะ ที่เมื่อมีเป้าหมายอะไร ก็จะฮึดทำได้แค่ในช่วงแรก ก่อนที่จะเหี่ยวเฉาและค่อย ๆ เลิกไปในที่สุด แล้วก็ค่อยตั้งเป้าใหม่ปีหน้าละกัน วันนี้แอดมินค้นพบคำตอบแล้วว่ามันเกิดจากอะไร และจะแก้ไขได้ยังไง
คอนเทนต์วันนี้จะทำให้คุณหลุดจากการเป็นคนที่ทำอะไรไม่สำเร็จได้ เพราะจริง ๆ มันมีเทคนิคที่ทำไม่ยากเลย แต่อาจจะเพราะความเรียบง่ายของมันนี่แหละ คนเลยเฉย ๆ ไม่ค่อยใช้กัน
📌เทคนิคนี้แอดมินได้มาจากหนังสือที่ดีมาก ๆ ถึงกับเคยขาดตลาดอยู่พักนึง นั่นคือ ATOMIC HABITS เพราะชีวิตดีได้กว่าที่เป็น เขียนโดยคุณ เจมส์ เคลียร์ ซึ่งเค้าเป็นอดีตนักเบสบอล และนักยกน้ำหนัก
ในหนังสือเริ่มต้นด้วยเรื่องเล่าของอุบัติเหตุร้ายแรงที่สุดในชีวิตของเขา ที่โดนไม้เบสบอลหลุดมากระแทกกลางหน้าจนกระดูกจมูกแตกและสมองบวมเฉียบพลัน
อุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้เขาต้องหยุดเล่นเบสบอลที่รักไป 1 ปีเต็ม และต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่กับกีฬาที่เขาชอบ ไม่ได้ตำแหน่งใด ๆ ในทีมในปีแรกที่เข้ามหาวิทยาลัย แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ จนในปี 3 ขึ้นปี 4 เขาก็ได้รับเลือกให้เป็นกัปตันทีมเบสบอล พร้อมกับผลการเรียนที่ดีเยี่ยม
ปัจจุบันเขากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาตนเองที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ATOMIC HABITS เล่มนี้ขายได้หลายล้านเล่มทั่วโลก แปลแล้วกว่า 40 ภาษา ที่เขาประสบความขนาดนี้ได้ เพราะรู้วิธีสร้างนิสัยดีให้ติดตัวได้อย่างถาวร
📌วันนี้ให้หัวเรื่องว่า 3 เทคนิคไปสู่เป้าหมายโดยไม่ล้มเลิกไปซะก่อน แต่จะบอกว่าสิ่งแรกที่แนะนำให้ทำคือ โยนเป้าหมายอันยิ่งใหญ่นั้นทิ้งไปก่อนค่ะ
เพราะตราบใดที่เรายังไม่มีนิสัยของคนสำเร็จ เราจะไม่มีวันทำอะไรสำเร็จ มันจะวนกลับไปเหมือนทุก ๆ ครั้งที่เราตั้งเป้าหมายแล้วทำไม่ได้
ในหนังสือเขียนไว้น่าคิดมาก ๆ ว่า เป้าหมายของผู้ชนะกับผู้แพ้นั้น คือเป้าหมายเดียวกัน นั่นก็คือ ต้องการเป็นผู้ชนะ ดังนั้นการตั้งเป้าหมาย จึงไม่ใช่จุดตัดสินว่าคนจะประสบความสำเร็จ หรือจะได้ชัยชนะ แล้วอะไรล่ะ ที่เป็นตัวตัดสิน ระหว่างผู้ชนะกับผู้แพ้
คำตอบคือ กระบวนการ ค่ะ
ถ้าเป็นนักกีฬา ทุกคนก็ตั้งเป้าหมายว่าต้องได้รับชัยชนะ แต่มันจะมีคนเดียวที่ได้สิ่งนั้นไป ซึ่งหากย้อนไปดูกระบวนการว่าเค้าทำยังไง ทุกคนก็จะอ๋อ เพราะมันเรียบง่ายมาก ๆ เค้าซ้อมเยอะกว่าคู่แข่ง และปรับปรุงกระบวนการให้ดีขึ้นทุกครั้ง … เรื่องโชคเรื่องดวงก็อาจมีบ้าง แต่หลักใหญ่ ๆ มันมาจากจุดนี้
ในเรื่องการตั้งเป้าหมายชีวิตหรือว่าเป้าหมายการเงิน ก็เช่นเดียวกัน ทุกคนมีเป้าว่าจะต้องมีเงินเท่านั้น เท่านี้ ในเวลาเท่านั้น เท่านี้ แต่ทำไมมีแค่บางคนที่ทำได้
แอดมินอ่านหนังสือของคนที่ประสบความสำเร็จด้านการเงินมาเยอะมาก และพบว่ามันมีสิ่งนึงที่ทุกคนมีเหมือนกัน บอกเหมือนกัน ก็คือ วินัยในการทำอย่างสม่ำเสมอ พูดไปก็เหมือนเป็นเรื่องพื้น ๆ ที่ทุกคนรู้ แต่ทำไมมีคนแค่ส่วนน้อยที่ทำได้ คนส่วนใหญ่ล้มเลิกไปก่อน
ก็เพราะว่ากว่าที่เราจะมีนิสัยอย่างใดอย่างหนึ่ง มันเป็นสิ่งที่ถูกเก็บสะสมมานานเท่า ๆ กับอายุของเรา การเปลี่ยนนิสัยจึงเป็นเรื่องที่ต้องใช้พลัง ใช้ความพยายามอย่างมาก และสมองของเรานั้นฉลาดเหลือเกิน กลัวเราตาย กลัวเราลำบาก ดังนั้นอะไรที่ยากเค้าจะปกป้องเรา โดยที่เค้าไม่รู้หรอกว่ามันเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี
มันจึงต้องมีเทคนิคที่จะทำให้เราฝึกนิสัยใหม่ ๆ โดยที่ไม่ขัดกับการทำงานของสมอง โดยเฉพาะในเรื่องของการสร้างวินัยในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง มันจะสำเร็จไม่ได้เลยถ้าเราหลอกสมองตัวเองไม่สำเร็จ
หลักการใหญ่ ๆ เลยคือต้องทำให้เหมือนการกินข้าว แปรงฟัน คือใช้จิตใต้สำนึกสั่งการ เราไม่ต้องคิดแต่ทำมันออกมาแบบอัตโนมัติ ซึ่งการกระทำทุกอย่างในชีวิตของเรา ถูกสั่งการด้วยจิตใต้สำนึกถึง 95% และจิตสำนึก คือต้องคิดวิเคราะห์แค่ 5% เท่านั้นเอง
และนี่คือ 3 เทคนิคการฝึกนิสัย ให้ลงลึกถึงระดับจิตใต้สำนึกค่ะ
📌1. เริ่มให้เล็กมาก ๆ จนยากจะปฎิเสธ
อย่างที่บอกว่าสมองเค้าจะปกป้องเราจากความยากลำบาก ดังนั้น จงตั้งเป้าหมายให้ใหญ่ แต่เริ่มด้วยการทำแบบเล็กที่สุด สมมติเราตั้งเป้าหมายที่จะเก็บเงินล้าน สิ่งที่จะแนะนำคือ เอาตัวเลขเงินล้านโยนทิ้งไปก่อน
แล้วมาสร้างนิสัยของนักเก็บเงินให้ได้ ถึงตอนนั้นถ้าเรามีนิสัยนี้ติดตัวแล้ว ไม่ว่าเป้าจะใหญ่แค่ไหน เงินจะมากแค่ไหน เราก็จะเก็บได้ แต่ถ้ายังไม่สร้างนิสัย แต่กลับตั้งเป้าเก็บเงินล้าน ทำไปไม่กี่เดือนมันจะเลิกค่ะ … เชื่อแอดมิน เพราะแอดมินเป็นมาแล้ว 5555
การเริ่มให้เล็กคือยังไง ก็คือการเก็บเงินให้ได้เป็นนิสัย โดยที่ไม่เอาตัวเงินเป็นเป้าหมาย แต่ตั้งเป้าหมายที่กระบวนการเก็บ เช่น เราจะเก็บแบงก์ 50 อันนี้เป็นกุศโลบายที่ดีมาก ๆ หรือเราจะหักบัญชีอัตโนมัติเลยหลังเงินเดือนออก
บางคนมีหนี้มีภาระเยอะ เก็บเดือนละร้อยสองร้อยก็ต้องเอา เพราะมันเป็นการสร้างนิสัย ถ้าเก็บเงินเดือนละร้อยสองร้อยได้จนเป็นนิสัย ก็จะเก็บเงินล้านได้เช่นเดียวกัน
แต่ถ้าคิดแต่ว่าจะต้องเก็บเงินก้อนใหญ่ เดือนละเท่านั้นเท่านี้ ซึ่งมันเบียดเบียนชีวิต เราจะทำได้ไม่นานหรอก มันจะท้อ มันจะอึดอัด มันจะล้มเลิก จริงไม่จริง
แอดมินเคยฟังโค้ชหนุ่มเล่าบ่อย ๆ ว่าช่วงที่เป็นหนี้เยอะ ๆ แต่โค้ชก็เก็บเงินไปด้วย เดือนละไม่กี่บาท พอเอาสมุดไปอัพ เห็นตัวเลขเพิ่มขึ้นทุกเดือน มันดีต่อใจ มันคือความหวัง แล้วแอดมินก็ลองทำตาม เอาสมุดไปอัพแล้วนั่งดูตัวเลขที่เพิ่มขึ้นทุกเดือน เฮ้ยย มันดีจริง ลองทำกันดูนะคะ
📌2. แบ่งออกเป็นย่อย ๆ
กินช้างตัวใหญ่ให้กินทีละคำ หมายถึง การซอยเป้าหมายนั่นเอง สมมติว่าเราอยากเก็บเงินล้าน ลองซอยเป้าเป็นเงินแสน หรือเงินหมื่นก่อน แล้วใช้เทคนิคข้อ 1 คือเริ่มให้ง่ายจนยากที่จะปฏิเสธ ทำให้เป็นนิสัยก่อน แล้วมันจะดีเอง มันจะเก็บได้มากขึ้นเอง
ตอนนี้แอดมินมีนิสัยเป็นนักออมเงินแล้วน๊า 😊
📌3. ถ้าหลุดจากเป้าหมาย ต้องรีบกลับมาให้เร็วที่สุด
ในหนังสือเขียนว่า อย่าผิดพลาดเป็นครั้งที่ 2 เพราะการพลาดครั้งแรก คือ พลาดจริง ๆ แต่ถ้ามีครั้งที่ 2 แสดงว่าคุณจงใจ
เรื่องนี้ยกตัวอย่างการลดน้ำหนักจะเห็นชัดที่สุด คือถ้ากินหลุดวันเดียว มันไม่ได้ทำให้เราอ้วนขึ้นมาได้หรอก แต่ถ้าเราไหล คือหลุดในมื้อต่อ ๆ ไป ในวันต่อ ๆ ไปอีก นั่นแหละที่จะทำให้เราอ้วน และลดน้ำหนักไม่สำเร็จ
การเงินก็เช่นกัน ถ้าสมมติเราพลาดไปเดือนนึง คือ ใช้เงินเกิน budget ซื้อของออนไลน์เกินงบ เรายังไม่จนลงจากการทำแค่ครั้งเดียวหรอก แต่ถ้าเราคิดว่าแย่จังทำไม่ได้แล้ว เลยตามเลย นั่นแหละถึงจะล้มเหลว
อย่าลืมว่า ชีวิตของเราไม่ได้เปลี่ยนเพราะความผิดพลาดในครั้งเดียว แต่เปลี่ยนเพราะเราสะสมความผิดพลาดซ้ำ ๆ มาหลาย ๆ ครั้งต่างหาก ดังนั้นถ้ามื้อนี้กินหลุด มื้อหน้าให้กลับมากินดี ถ้าเดือนนี้ใช้เงินหลุด เดือนหน้ารีบกลับมาอยู่ในเส้นทางของเป้าหมายให้เร็วที่สุด
📌ปิดท้ายด้วยพลังของการทำสิ่งเล็ก ๆ แต่สม่ำเสมอ เป็นสมการที่แอดมินชอบมาก ๆ และคุณเจมส์ เคลียร์ ก็เขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้ด้วย คือ
1.01 ยกกำลัง 365 = 37.78 หมายความว่า หากความสามารถของเราเริ่มที่ 1 แล้วเราพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องเพียงวันละ 1% ครบ 1 ปีเราจะเก่งขึ้นถึง 37 เท่า
ในทางกลับกัน ถ้าเราละเลยความสามารถหรือถดถอยลงวันละ 1% ทุก ๆ วัน สมการคือ 0.99 ยกกำลัง 356 = 0.03 เท่ากับว่าครบ 1 ปี ความสามารถด้านนั้นของเราแทบจะเป็นศูนย์
จะเห็นว่า 1% ไม่ว่าจะเป็นในด้านบวก หรือ ลบ มันน้อยมาก ๆ จนเราแทบไม่รู้ตัวเลย แต่เมื่อสะสมไปเป็นปีจะเกิดความเปลี่ยนแปลงมหาศาล ดังนั้นแอดมินอยากชวนทุกคนมาพัฒนาตัวเอง ไม่ต้องมาก แค่วันละ 1% ทุก ๆ วันนะคะ
เรื่องนี้แอดมินอินมาก เขียนซะยาวเลย มีใครอ่านจบบ้างพิมพ์คำว่า ok มาหน่อยนะคะ หรือใครมีเทคนิคอะไรเพิ่มเติม คอมเมนต์มาแชร์กันได้ค่ะ
#แอดมินเก๋
หากเห็นว่าคอนเทนต์นี้มีประโยชน์ แชร์ให้เพื่อน ๆ ได้อ่านด้วยนะคะ
ฝากกด like และติดตามเพจ Lumpsum
เพื่อไม่พลาดเรื่องราวดี ๆ เกี่ยวกับการบริหารเงิน
และการประสบความสำเร็จในชีวิตค่ะ
#Lumpsum #วางแผนการเงิน #วิธีเอาตัวรอดทางการเงิน
2 บันทึก
2
5
2
2
5
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย