27 เม.ย. 2021 เวลา 23:55 • หุ้น & เศรษฐกิจ
EP. 13.1 - Stable coin สินค้าที่สำคัญที่สุดใน Cryptocurrencies ตอนที่ 1
ขอเปิดบทความด้วย pin tweet ของ Do kwon CEO ของ Terra
ปัญหาของ crypto currency ส่วนใหญ่นั้น ไม่สามารถเอามาใช้ในโลกจริงได้ เพราะความผันผวนของมัน ลองคิดภาพว่าถ้าทุกอย่างในโลกถูกซื้อขายกันในหน่วย bitcoin eth bnb หรือ doge จะเป็นยังไง
(สาเหตุหนึ่งที่ผมไม่ค่อยชอบใช้คำว่า crypto currency เรียกเหรียญโดยรวม ก็เพราะว่าเหรียญส่วนใหญ่มันไม่ได้ทำหน้าที่เป็น currency ที่ดีได้ บางเหรียญใช้เป็น store of value เช่น bitcoin บางเหรียญทำตัวเหมือนเป็นหุ้น เช่น eth bnb luna จะมีก็แค่ stable coin เท่านั้นที่ผมมองว่าใกล้เคียง currency ที่สุด)
1
ตอนเที่ยง ผมออกจาก office ไปกินข้าวกลางวันร้านอาแป๊ะ CZ
"แป๊ะครับ เอากระเพราไก่ไข่ดาว 1 จาน"
"ได้ๆ เดี๋ยวแป๊ะคิดราคาแป๊บนึงนะ" แล้วแป๊ะก็เปิดมือถือเพื่อเช็คราคา bnb แล้วกดเครื่องคิดเลข
"จานละ 0.00526 bnb"
ผมเปิดมือถือขึ้นมาเพื่อดูว่าราคา bnb คิดเป็นเงินเท่าไหร่กันแน่ หลังจากคำนวณเสร็จผมก็เปิด pancakeswap mobile ขึ้นมา
"แป๊บนึงนะแป๊ะ พอดีไม่มีเหรียญ bnb อยู่เลย เดี๋ยวไปขาย btc มาซื้อ bnb แป๊บนึง แล้วเดี๋ยวโอนไปให้"
ขั้นตอนทั้งหมดในการซื้อข้าวกระเพราะ ใช้เวลาประมาณ 5 นาที จากที่แต่ก่อนใช้เงินบาทซื้อใช้เวลาประมาณ 30 วินาที
แป๊ะ CZ เจ้าของร้านข้าวราดแกงใกล้ office
หลังกินข้าวเสร็จ ผมเดินไปซื้อกาแฟจากร้านลุงอีลอน
"ลาเต้แก้วใหญ่หวานน้อยแก้วนึงครับลุงลอน"
"8 doge ครับ"
ผมโอนเงินให้ลุงลอนและรับกาแฟมา
เพื่อนผมที่มาด้วยกันก็สั่งกาแฟตาม
"เอาลาเต้แก้วใหญ่หวานน้อยเหมือนกันลุง"
"แก้วละ 12 doge ครับ"
"เฮ้ย ทำไมแพงจังลุง เมื่อกี้ยังขายแก้วละ 8 doge เอง"
"ก็ราคา doge มันเพิ่งลงไปมะกี้นี้เอง ขายแก้วละ 8 ลุงขาดทุนตายเลย"
"งั้นจ่ายเป็น eth แทนคิดแก้วเท่าไหร่"
"eth ไม่รับ ขายกาแฟได้แก้วละ 100 บาท จ่ายค่า gas ครั้งละพัน ลุงจะเอากำไรมาจากไหน แล้วกว่าจะโอนเสร็จกาแฟเย็นกลายเป็นกาแฟอุ่นพอดี"
ลุงลอน
ปัญหานี้จะเหล่านี้จะหมดไป เพียงแค่หันมาใช้ stable coin ที่มีราคาไม่ผันผวนเหมือนกับเหรียญอื่นๆ
โอเคครับ มาเข้าสาระกันดีกว่า
Stable coin แบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มหลักๆ คือ
1. Asset back - ตัวหลักคือ USDT USDC BUSD ซึ่งแต่เดิมเค้าเรียกกลุ่มนี้กันว่า fiat back คือทุก 1 เหรียญที่สร้างขึ้นมาจะต้องมีเงิน usd 1 dollar ไป lock เอาไว้ในธนาคาร
แต่ตอนนี้ก็เปลี่ยนมาเรียกเป็น Asset back แทน เพราะหลายๆ เหรียญเริ่มไม่ได้ใช้ fiat back ตรงๆ ละ บางส่วนเป็นเงิน fiat ฝากธนาคารเอาไว้ บางส่วนเอาไปซื้อ bond บางส่วนเอาไปปล่อยกู้ บางส่วนอาจจะเป็นทอง
ข้อดีของ asset back คือ scale ได้เร็ว, peg ได้ใกล้เคียง 1 สม่ำเสมอ (อนาคตอาจจะไม่แน่โดยเฉพาะเหรียญที่ขาดการ audit ที่น่าเชื่อถือพอ), สภาพคล่องสูง เป็นที่นิยมมากที่สุด
ข้อเสีย คือ ความน่าเชื่อถือของบริษัทที่ออกเหรียญ, รัฐบาลเข้ามาแทรกแซงได้ง่าย, เหรียญสามารถโดย freeze ได้โดยไม่ต้องแจ้งล่วงหน้า (เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับ udst)
ส่วนตัวผมแล้วในกลุ่มนี้มีความเสี่ยงอีกอย่างนึงคือ เรื่องของการ double spending ลองคิดดูว่าสินทรัพย์ที่เอามา back เหรียญนั้น ถูกเอาไปฝากธนาคาร (ก็คือการไปปล่อยกู้ให้ธนาคารนั้นเอง) เอาไปซื้อ gov bond (ก็คือการปล่อยกู้ให้รัฐบาล) หรือเอาไปปล่อยกู้ให้เอกชน
1
ในขณะเดียวกัน ก็สร้างเหรียญใหม่ขึ้นมา แล้วเหรียญนี้เราก็เอาไปปล่อยกู้อยู่บน Blockchain อีกรอบ กลายเป็นว่าเงินก้อนเดียวกันนี้ สามารถเอาไปปล่อยกู้พร้อมๆ กันได้ 2 ครั้ง ซึ่งในทางทฤษฏีแล้วมันไม่น่าจะยั่งยืนได้
ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตคือ ธนาคารที่เอาไปฝากเจ๊ง bond ที่ไปซื้อราคาลงมาก หรือเบี้ยวหนี้ไปเลย ที่ไปปล่อยกู้เอกชนก็อาจจะได้คืนไม่ครบ ทองที่ซื้อไว้อาจจะลง ที่นี้พอสินทรัพย์ที่ back เอาไว้มันต่ำกว่ามูลค่าเหรียญที่ออกมา ราคามันก็ไม่ควรจะอยู่ที่ 1 แต่ควรจะลดลงไปตามสินทรัพย์ที่มัน Back
ตอนนี้เนื่องจากขนาดของมันยังไม่ใหญ่มากเมื่อเทียบกับ fiat เพราะฉะนั้นปัญหานี้เลยยังไม่มีใครมาสนใจเท่าไหร่ แต่ถ้ามันใหญ่ขึ้นมาเรื่อยๆ ผมว่ามีโอกาสสูงที่รัฐจะเข้ามายุ่ง หรืออาจจะถึงขั้น Ban ไปเลยก็ได้ (แล้วให้มาใช้ Stable coin ของรัฐแทน)
ในกลุ่มนี้เหรียญที่พอจะถือได้ก็มี usdc กับ busd ในขณะที่ usdt นั้นส่วนตัวผมจะใช้เป็นแค่ทางผ่านในการไปซื้อขายเหรียญอื่นๆ เท่านั้น ไม่กล้าถือยาว เพราะปัญหาเรื่องความน่าเชื่อถือของผู้ออกเหรียญ และความเสี่ยงมากมายอีกอาจจะตามมา
ใครอยากเข้าใจเรื่อง usdt เพิ่มขึ้นไปดูคลิปนี้เอานะครับ
ว่าจะเขียนสั้นๆ สุดท้ายยาวอีกละ อีก 2 ประเภทของ Stable coin ไปต่อบทความหน้านะครับ
โฆษณา