29 เม.ย. 2021 เวลา 01:40 • ปรัชญา
ลาภยศ และ อำนาจ และ ความเป็นชาวพุทธ
ผมได้ฟังถึงสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องชื่อเสียงเงินทองมา จึงอยากทำมาเล่าเสนอต่อให้ท่านผู้อ่านได้รู้กันครับ
หากจะพูดถึงเรื่องนี้อาจจะต้องเกริ่นนำถึงเรื่องศาสนา พุทธ ของเราก่อน
ในมุมมองของผมศาสนาพุทธของเรานี้เป็นศาสนาที่มีหลักคำสอนดีๆ มากมายครับ มีตัวอย่างที่ให้เราเห็นอย่างชัดเจน จากศาสดาของเราที่เราเรียกว่าพระพุทธเจ้า ที่ทิ้งความสะดวกสบายของชีวิตในวังที่สามารถเสวยสุขอยู่ในวังอย่างสะดวกสบายได้เพราะเขาเป็นเจ้าชาย
แต่กลับออกมาตามหาความลำบากในชีวิต บำเพ็ญทุกกรกริยา จนเกือบเสียชีวิต การที่คนๆ หนึ่งจะทำแบบนี้ได้ผมคิดว่าเขาคงต้องเป็นคนที่ไม่ห่วงเรื่องชื่อเสียง หรือ ลาภยศ ของตนแน่ๆ เพราะฉะนั้น ศาสนาพุทธ หรือ พุทธศาสนิกชนนั้นย่อมต้องใช้หลักการเดียวกันนี้กับพระพุทธเจ้า จึงสามารถเรียกตัวเองได้ว่าเป็นชาวพุทธหรือไม่?
เข้าใจได้ว่า ศาสนาและคำสอนนั้นก็ต้องวิวัฒนาการตามกาลเวลาไป เมื่อพระองค์ทรงปรินิพพาน เหล่าลูกศิษย์ก็รวบรวมคำสอนแล้วก็เขียนบันทึกไว้เป็นพระไตรปิฎก แล้วกาลเวลาก็ผ่านไป สิ่งที่เป็นแก่นแท้ของพุทธก็เริ่มศูนย์หาย กลายร่างไปเป็นอย่างอื่นเสียหมด ไปเน้นเรื่องการทำบุญหาเงินเข้าวัด หรือ วัดนี้ของขลังอาจารย์มี
อภินิหารย์ ทั้งหมดนี้ไม่ได้บอกว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ดี แต่มันไม่ใช่ความเป็นพุทธแท้เท่านั้น
เอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับพระพุทธเจ้านั้นเป็นการกระทำที่ไม่มีประโยชน์เพราะบริบทชีวิตนั้นต่างกัน แต่หากเราบอกว่าเราเป็นชาวพุทธเราก็ควรนำหลักคำสอนที่เป็นแก่นแท้มาปฏิบัติด้วย คำสอนนั้นมีมากมายแต่ในบทความนี้ผมอยากขอพูดถึงเพียงเรื่อง ลาภยศ ชื่อเสียง และ อำนาจ
การที่เรายังต้องใช้ชีวิตอยู่ในสังคมยุคปัจจุบันที่เรายังต้องมีหน้าที่การงานต้องรับผิดชอบ การมีตำแหน่ง มีลาภยศ อำนาจนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมันเป็นโครงสร้างของสังคมที่เรากำลังอยู่ ณ ตอนนี้ ในความคิดผมนั่นจึงไม่จำเป็นที่เราจะต้องใช้ชีวิตแบบสุดโต่งเหมือนที่พระองค์ทำ แต่เราสามารถนำแก่นมาปฏิบัติตามได้นั่นก็คือการไม่หลงไหลไปกับสิ่งที่เราได้มา และ ทำความเข้าใจกับสิ่งๆ นั้นเสีย
หากเราทำงานมาช่วงเวลาหนึ่งทุ่มเทแรงกายใจลงไปในเนื้องาน เมื่อเราได้รับการเลื่อนขั้นเราก็คงภูมิใจที่ผลงานที่เราทำนั้นถูกยอมรับ และ ผู้อื่นมองเห็นค่า มันเป็นผลตอบแทนที่เราทำงานหนัก เช่นนี้แล้วคงไม่เป็นอะไร
แต่บางครั้งคนมีอำนาจหน้าที่ หรือ ตำแหน่งใหญ่โตนั้น ปฏิบัติตนต่อผู้อื่นไม่ค่อยดีนัก วางท่าใหญ่โต ผิดกับเมื่อก่อนที่ตัวเองไม่มีตำแหน่งอะไร คนแบบนี้เป็นคนที่หลงในอำนาจ คนรอบตัวก็ยิ่งมอมเมาเขาด้วยคำพูดเยินยอ นำข้าวของมาให้ อย่างกับเป็นผู้ใหญ่ที่เคารพรักมากมาย แต่ ถ้าเกิดคุณรอสักหน่อยวันหนึ่งที่เขาจะหมดอำนาจมันก็จะมาถึง แล้วเมื่อนั้นคนที่เยินยอ นำข้าวของมาให้ เคารพกันดั่งญาติมิตร ถึงเวลาเขาเหล่านั้นก็หายไป
แล้วชีวิตของคนๆ นั้นจะเป็นอย่างไร เมื่อหมดอำนาจลงเขาคงเศร้าไม่น้อย อาจนึกเสียใจที่ทระนงตนคิดว่าแน่ แล้วตอนที่มีอำนาจอาจเคยทำเรื่องผิดต่อใครมากมาย ถึงเวลานี้มานึกย้อนหลัง ทำได้เพียงเสียใจ
กลับกันหากเราไม่หลงไหลในสิ่งเหล่านั้น การใช้ชีวิตนั้นย่อมง่าย และ สามารถมีความสุขได้มากกว่า เมื่อเรียนรู้และ พยายามทำความเข้าใจกับมันว่า ลาภยศเงินทอง ชื่อเสียง อำนาจนั้นจะเข้ามาแล้วก็จากไป คุณก็จะไม่ยึดติดหลงไหล เพราะคงเป็นความเขลาหากยังคงยึดติดกับสิ่งเหล่านั้นในเมื่อทราบว่ามันจะผ่านไป
คงจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าเกิดว่าเราไม่เคยยึดติดจะไม่ยึดติดได้ เราต้องมีประสบการณ์และผ่านการเรียนรู้มาก่อนถึงจะเข้าใจ และ เห็นภาพ หากลองมองย้อนนึกไปในอดีตของเราทุกคนคงมีเหตุการณ์ไม่น้อยที่เกิดขึ้นและสามารถนำมาเป็นประโยชน์กับตัวคุณได้ เพราะบางครั้งเราก็ปล่อยให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผ่านไปโดยไม่ได้เรียนรู้อะไรจากมัน
หากเราเป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย ใช้ชีวิตตามปกติของตัวเอง เป็นอย่างไรเมื่อห้าปีที่แล้วก็ปฏิบัติตนเช่นเดิม ไม่ได้หมายถึงไม่พยายามพัฒนาตนจนย่ำอยู่กับที่ แต่หมายถึงการปฏิบัติตัวต่อผู้อื่น และ กับตนเอง เมื่อเข้าใจเช่นนี้แล้ว ชีวิตก็จะมีความสุขได้เพราะไม่ยึดติดกับเปลือกนอกที่สักวันมันก็จะหลุดไป
ทั้งหมดที่พูดมานี้ไม่ได้หมายความว่าคนที่มีตำแหน่งแล้วยังหลงไหลนั้นเป็นคนชั่วหรืออย่างไร แต่หากพูดในมุมมองที่ว่าท่านเป็นชาวพุทธ ที่ยังคงเชื่อและเข้าใจผิดๆ อยู่ ก็ควรหันกลับมามองว่าสิ่งที่ควรทำคืออย่างไร เพื่อที่จะได้มีชีวิตที่สงบและมีความสุข เราอาจไม่ต้องเป็นเหมือนพระพุทธเจ้า เพราะมันไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นได้อยู่แล้ว แต่เพียงพยายามศึกษาหลักธรรม คำสอน ที่เป็นแก่นแท้ไม่ใช่เพียงแต่เปลือกคงจะช่วยทุกท่านดำเนินชีวิตได้ดีขึ้นไม่มากก็น้อย
โฆษณา