Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Wealthy Thai
•
ติดตาม
28 เม.ย. 2021 เวลา 03:36 • หุ้น & เศรษฐกิจ
เทียบฟอร์ม DMT-BTS-BEM ตัวไหนน่าเคาะขวาเก็บเข้าพอร์ต
อีกหนึ่งหุ้นไอพีโอที่ถูกพูดถึงจำนวนมากในวงการตลาดทุนอย่าง DMT บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) หรือ DMT ผู้บริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมของประเทศ ล่าสุดประกาศออกมาชัดเจนแล้วว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ในวันที่ 7 พฤษภาคมนี้
ทั้งนี้แน่นอนว่าการเข้ามาในตลาดหุ้นของ DMT ก็ย่อมเกิดการเปรียบเทียบกับทั้ง 2 หุ้นอย่าง BTS หรือ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และBEM หรือ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) โดยจะมีความน่าสนใจมากน้อยแค่ไหน วันนี้ทีมข่าว Wealthy Thai หาคำตอบมาให้แล้ว
DMT ชูจุดเด่นปันผลกว่า 90%
.
เริ่มจาก DMT ผู้บริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม โครงการทางยกระดับอุตราภิมุข หรือ ทางยกระดับดอนเมือง กำหนดราคาขายหุ้น IPO ที่ 16.00 บาทต่อหุ้น พาร์หุ้นละ 5.20 บาท เปิดจองซื้อ 26-28 เมษายนนั้น โดยคาดนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 7 พฤษภาคมนี้
จากราคาไอพีโอที่ 16.00 บาทต่อหุ้นดังกล่าว จะคิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) เท่ากับ 23.88 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิ 12 เดือนที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 แต่เทียบกับอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ (P/E) เฉลี่ย 6 เดือนย้อนหลังของบริษัทจดทะเบียนที่ดำเนินธุรกิจคล้ายคลึงกันกับบริษัทฯ คือ BEM และ BTS เท่ากับ 41.12 เท่า
ทั้งนี้วัตถุประสงค์ในการเข้าระดมทุน บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหลักทรัพย์ในครั้งนี้หลังหักค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเสนอขายหลักทรัพย์เป็นจำนวนเงินประมาณ 2,172 ล้านบาท ไปใช้ดังต่อไปนี้ 1.ชำระคืนภาระหนี้สินระยะยาวจากสถาบันการเงิน (เงินกู้เพื่อใช้ชำระคืนหุ้นกู้ของบริษัทฯ) ประมาณ 1,354 ล้านบาทภายในปี 2564 2.ชำระคืนภาระหนี้สินระยะสั้นจากสถาบันการเงิน (เงินกู้ที่ใช้ในการจ่ายเงินปันผลในปี 2561) ประมาณ 330 ล้านบาทภายในปี 2564 และ3.ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการดำเนินงาน ประมาณ 488 ล้านบาท ภายในปี 2564
โดย DMT จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปเป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการดำเนินงานและชำระคืนเงินกู้ ซึ่งจะทำให้ DMT ไม่มีหนี้สินที่มีภาระต้นทุนทางการเงิน ทำให้ผู้ถือหุ้นจะได้รับผลตอบแทนที่ดีตามการเติบโตของผลการดำเนินงาน โดยมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 90% ของกำไรสุทธิภายหลังการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมาย
จากงานแถลงข่าว นายธานินทร์ พานิชชีวะ กรรมการผู้จัดการ DMT บอกว่า บริษัทมีเป้าหมายก้าวสู่ผู้นำการพัฒนาและบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมของไทย สนับสนุนการขนส่งและโลจิสติกส์เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจและภาคการท่องเที่ยว
DMT ให้ความสนใจพัฒนาและบริหารโครงการใหม่ ๆ จากนโยบายภาครัฐเปิดให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนและบริหารโครงการทางหลวงพิเศษและทางพิเศษ ตามแผนระยะ 20 ปี (2560-2579) เช่น โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสาย บางขุนเทียน-บางบัวทอง (M9) โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสาย นครปฐม-ชะอำ (M8) โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสาย บางขุนเทียน-บ้านแพ้ว (M82) โครงการทางพิเศษสาย กะทู้-ป่าตอง โครงการส่วนต่อขยายทางยกระดับอัตราภิมุขช่วง รังสิต-บางปะอิน (M5) เป็นต้น รวมถึงแผนขยายการให้บริการไปสู่ธุรกิจหรือโครงการอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ทางด่วนและทางพิเศษ ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ เช่น โครงการจุดพักริมทางหลวงพิเศษและทางหลวงสัมปทาน (Rest Area) เป็นต้น
ส่วนการเดินทางสัญจรลดลงจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดและทำให้เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวชะลอตัวลง ทำให้ปี 2563 มีปริมาณการจราจรเฉลี่ยต่อวันของทางยกระดับดอนเมืองช่วงดินแดง–ดอนเมือง อยู่ที่ 58,140 คันต่อวัน ลดลงจากปี 2562 ที่มีจำนวน 92,914 คันต่อวัน และช่วงดอนเมือง–อนุสรณ์สถานแห่งชาติ อยู่ที่ 37,143 คันต่อวัน จากเดิมปี 2562 ที่มีจำนวน 54,376 คันต่อวัน
ทำให้ผลประกอบการปี 2563 บริษัทมีรายได้จากการค่าผ่านทางรวม 2,047 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้นที่ระดับ 0.8 บาท เทียบกับปี 2562 อยู่ที่ 2,816.2 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิทั้งปีอยู่ที่ 791 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 1.1 บาท เทียบกับปี 2562 อยู่ที่ 1,152.9 ล้านบาท
ขณะที่อัตราส่วนแสดงความสามารถในการทำกำไร (Profitability Ratio) ในปี 2563 นั้น มีอัตรากำไรจากการดำเนินงาน เท่ากับ 69.4% อัตรากำไรสุทธิ 38.7% และอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น 10.8% ส่วนอัตราการจ่ายปันผล ปี 2561 เท่ากับ 196.5% ปี 2562 เท่ากับ 35.6% และปี 2563 เท่ากับ 19.7% ขณะที่เงินปันผล ปี 2561 เท่ากับ 2.8 บาท ปี 2562 เท่ากับ 0.4 บาท และ ปี 2563 เท่ากับ 0.2 บาท
BEM เป็นโอกาสทยอยสะสม
.
ต่อมา BEM ผู้ดำเนินธุรกิจก่อสร้างและบริหารทางพิเศษและบริหารจัดการโครงการระบบขนส่งมวลชนด้วยรถไฟฟ้า รวมถึงธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้อง มีนโยบายเงินปันผลไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิของแต่ละปี โดยคำนึงถึงผลประกอบการ โครงสร้าง และภาระผูกพันทางการเงิน การลงทุน ตลอดจนความสม่ำเสมอในการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น ซึ่งงวดปี 2563 จ่ายปันผลจากกำไรสุทธิหุ้นละ 0.10 บาท
หากย้อนกลับไปดูผลประกอบการปี 2563 มีกำไร 2,051.09 ล้านบาท หรือ 0.13 บาท/หุ้น ลดลง 62.3% จากปี 62 ที่มีกำไร 5,434.81 ล้านบาท หรือ 0.36 บาท/หุ้น โดยมีรายได้รวมเท่ากับ 14,316.16 ล้านบาท ลดลง -29.8% จากปี 2562 ที่มีรายได้รวมเท่ากับ 20,221.19 ล้านบาท และปี 2563 มีอัตรากำไรสุทธิ 14.35% เทียบกับปี 2562 ที่อยู่ระดับ 26.96%
หากแยกออกมาในแต่ละธุรกิจ พบว่า รายได้จากธุรกิจทางพิเศษ มีจำนวน 8,145 ล้านบาท ลดลง 20.9% จากปีก่อน โดยภาพรวมปี 2563 มีปริมาณรถที่ใช้ทางด่วนเฉลี่ยอยู่ที่วันละ 1,050,000 เที่ยว ลดลง 15% จากปี 2562 ขณะที่ธุรกิจระบบรางมีรายได้ 4,520 ล้านบาท ลดลง 10% จากปีก่อน ซึ่งมีผู้โดยสารรถไฟฟ้าเฉลี่ยทุกประเภทวันอยู่ที่ 260,500 เที่ยว ลดลง 23% จากปีก่อน และธุรกิจพัฒนาเชิงพาณิชย์มีรายได้ 825 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.4%จากปีก่อน
แม้เกิดการระบาดระลอกใหม่อีกครั้ง ล่าสุดนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ยังแนะนำ ซื้อ BEM ราคาเป้าหมาย 10.80 บาท โดยมองเป็นโอกาสทยอยสะสมรอการฟื้นตัวในครึ่งหลังของปี 2564 โดยเรามีมุมมอง Negative คาดกำไรสุทธิไตรมาส 1/64 ที่ 248 ล้านบาท ลดลง 51% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 56%จากไตรมาสก่อนกระทบ COVID-19 ระลอกสองฉุดปริมาณการใช้ทางด่วนและรถไฟฟ้า
1
ส่วนแนวโน้มไตรมาส 2/64 กำไรอ่อนแอต่อเนื่องจากผลกระทบ COVID-19 ระลอกสาม (แต่ฟื้นตัว y-y จากฐานต่ำ) เราปรับกำไรสุทธีปี 64 ลง -44% เป็นทรงตัวจากปี 2563 สะท้อนผลกระทบ COVID-19 ระลอกสาม
ขณะที่นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ระบุว่า ยังคงแนะนำ “ซื้อ” มูลค่าที่เหมาะสม 10 บาท โดยปัจจัยเสี่ยงสำหรับ BEM มาจากการระบาดของ COVID-19 ซึ่งจะกระทบต่อจำนวนรถใช้ทางด่วนและผู้โดยสารมากกว่าที่คาด ซึ่งประเมิน ว่า BEM จะรายงานกำไรสุทธิ 1/64 อยู่ที่ 305 ล้านบาท ลดลง 40% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 46%จากไตรมาสก่อน
เป็นผลมาจากการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ตั้งแต่ปลายปี 63 ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน ส่งผลให้จำนวนผู้โดยสารและรถใช้ทางด่วนลดลงมาอยู่ที่ 213,693 เที่ยวต่อวัน ลดลง 35%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง27% จากไตรมาสก่อน และ 971,103 เที่ยวต่อวัน ลดลง 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 14% จากไตรมาสก่อน ตามลำดับ
แต่เรามองว่าผลกระทบต่อ BEM ในรอบนี้จะไม่รุนแรงเท่าปีที่แล้ว เราคาดสถานการณ์จะผ่อนคลายมากขึ้นในเดือนพฤษภาคม โดยปี 64 เรายังคงประมาณการจำนวนผู้โดยสารและรถใช้ทางด่วนของเราที่ 2.95 แสนเที่ยวต่อวันและ 1.073 ล้านคันต่อวัน และคงประมาณการกำไรสุทธิที่ 2,645 ล้านบาท เติบโต 29% จากปีก่อน
BTS ปี 64/65 จะกลับมาฟื้นตัวได้
.
สุดท้าย BTS ผู้ประกอบธุรกิจ 4 ประเภทหลัก ได้แก่ (1) ธุรกิจระบบขนส่งมวลชน (รถไฟฟ้าบีทีเอสและรถโดยสารด่วนพิเศษบีอาร์ที) (2) ธุรกิจสื่อโฆษณา (3) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และ (4) ธุรกิจบริการ โดยรอบงบของ BTS รอบปี 62/63 ระหว่างเดือน เม.ย.62-มี.ค.63
ขณะที่รอบงบปัจจุบันของปี 63/64 (เม.ย.63-มี.ค.64) นั้น ล่าสุดจากรายงานของคำอธิบายผลประกอบการของ BTS ที่แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่า ได้รายงานผลประกอบการงวด 9 เดือนของปี 63/64 โดยมีรายได้รวมจำนวน 32,733 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 2,894.28 ล้านบาท ลดลง 37.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่เมื่อเข้าไปตรวจสอบอัตรากำไรสุทธิผ่านกระดานตลาดหลักทรัพย์ฯพบว่าอยู่ที่ 11.26%
ด้านนักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า การฟื้นตัวของผู้โดยสาร BTS เป็นไปอย่างช้าๆ จำนวนผู้โดยสาร BTS ฟื้นตัวดีขึ้นในเดือน ก.พ.64 เป็น 8.9 ล้านเที่ยวคน เทียบกับเดือน ม.ค.64 ที่ 7.0 ล้านเที่ยวคน แม้เทียบ ก.พ.63 ยังลดลงมากถึง 50.3% ซึ่งได้รับผลกระทบจากโควิด 19 รอบ 2 และยังไม่สามารถไต่ระดับไปถึงในไตรมาส 4/63 ที่มากกว่า 13 ล้านเที่ยวคนต่อเดือน ซึ่งเป็นช่วงที่มีการคลายล็อกดาวน์ได้
อีกทั้งในระยะนี้ก็มีคลัสเตอร์ใหม่ๆเกิดขึ้น เช่น สถานบันเทิงทองหล่อ และเอกมัย รวมทั้งเรือนจำที่จ.นราธิวาส สิ่งที่น่ากังวลคือ แผนการเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา หลังมีการฉีดวัคซีน อาจจะต้องล่าช้าออกไปอีก ก็จะมีผลกระทบทางลบต่อการฟื้นตัวของผู้โดยสารได้
ดังนั้นปรับลดคำแนะนำเป็น ถือ จากเดิม ซื้อ ราคาพื้นฐานใหม่ปรับลดเป็น 10.05 บาท ส่วนคาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผลงวดปี 64/65 (มี.ค.65) อยู่ในเกณฑ์ดีเป็น 4.5% เพิ่มขึ้นจากปีนี้หรือปี 63/64 ที่ 2.9% การที่แนะนำให้ถือ เพราะคาดว่าปี 63/64 กำไรหลักเป็นจุดต่ำสุดแล้วคือลดลงถึง 44% จากปีก่อนหน้า แต่ปี 64/65 จะกลับมาฟื้นตัวได้ หรือเติบโต 59% จากปีก่อน
ติดตามอัพเดตความรู้ทางการเงิน-การลงทุนได้ที่
.
Facebook : Wealthy Thai
Website :
www.wealthythai.com
Twitter :
www.twitter.com/WealthyThai
YouTube :
https://bit.ly/2GoS9Z4
LINE :
http://nav.cx/hm9uy1i
Blockdit :
https://www.blockdit.com/wealthythai
1 บันทึก
2
1
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย