28 เม.ย. 2021 เวลา 07:52 • นิยาย เรื่องสั้น
5 ข้อคิด จากหนังสือ "ฮารูกิ มูราคามิ นักเขียนนวนิยายเป็นอาชีพ"
1
ฮารูกิ มูราคามิ นักเขียนนวนิยายเป็นอาชีพ
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน วันนี้ผมจะพาท่านไปทำความรู้จักกับ ฮารูกิ มูราคามิ นักเขียนนวนิยายชาวญี่ปุ่นขวัญใจนักอ่านทุกเพศทุกวัย ความนิยมของเขาการันตีด้วยผลงานมากมายที่ดังระดับโลก ก่อนอื่นเราจะมาพูดถึงสไตล์การเขียนและเทคนิคการเล่าเรื่องของเขาไปพร้อมๆ กัน มูราคามิเขียนหนังสือต่อเนื่องมามากกว่า 40 ปีแล้ว โดยไม่มีวันหยุด
หากการเขียนคือการออกรบ มูราคามิคือทหารที่มีครบทั้งระเบียบและวินัยอย่างเคร่งครัด มีความอดทน รวมถึงประสบการณ์อันโชกโชนที่ทำให้เขาประสพความสำเร็จทั้งในระดับประเทศและในระดับโลก
 
มูราคามิ มีงานเขียนหลากหลายแนวที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เขาใช้การเล่าเรื่องธรรมดาๆ ที่พวกเราทุกคนประสบพบเจอกันอยู่ทุกวันๆ ออกมาเป็นเรื่องเล่าได้อย่างเป็นธรรมชาติ เช่น การฟังเพลง การทำอาหาร การเลี้ยงแมว การฆ่าตัวตาย ความตายของคนอื่น ความรู้สึกตัว ความรัก ความสูญเสีย และการเลือกใช้ชีวิต มูราคามิถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้ออกมาเป็นเรื่องเล่าแบบซื่อๆ ตรงไปตรงมาและยังน่าสนใจอีกด้วย
ด้วยวิธีการเขียนแบบนี้นี่แหละครับที่ชวนให้นักอ่านทุกเพศทุกวัยติดงานเขียนของคุณลุงวัย 72 ปีคนนี้อย่างงอมแงมมาแล้วทั่วโลก มูราคามิเคยเปรียบเทียบการเขียนของเขาเอาไว้ว่า "ผมเขียนนวนิยายแบบเดียวกับจังหวะของเพลงที่กำลังบรรเลง และเมื่อผมเริ่มเขียน ผมพยายามเขียนราวกับว่าผมกำลังเล่นดนตรี”
น่าสนใจใช่ไหมครับ ผมเองก็ชอบไสตล์การเขียนของเขาอย่างมาก ผมจึงได้นำ 5 ข้อคิด จากหนังสือ "ฮารูกิ มูราคามิ นักเขียนนวนิยายเป็นอาชีพ" มาฝากท่านผู้อ่านที่น่ารักทุกท่านครับ
ฮารูกิ มูราคามิ นักเขียนนวนิยายเป็นอาชีพ
มูราคามินิยมใช้วิธีการเล่าเรื่องธรรมดาๆ ให้เป็นเป็นเรื่องโรแมนติก หากคุณได้อ่านงานของมูราคามิ คุณจะสังเกตได้ว่า ทันทีที่เปิดหนังสือของเขาและอ่านประโยคแรกในแต่ละหน้า คุณจะรู้สึกได้ทันทีถึงความเรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยความโรแมนติก มูราคามิจะพาเราเข้าไปสำรวจในโลกของจิตใต้สำนึกของมนุษย์ ที่ปกติเรามักเก็บซ่อนมันเอาไว้เป็นความลับในรูปแบบของ 'ความทรงจำ'
ตัวอย่างเช่น ตัวเอกที่ยังไม่ลืมรักแรกของตัวเองและกำลังสับสนกับความรู้สึกข้างในของเขา แต่แล้ววันหนึ่งมันก็ถูกบางสิ่งกระตุ้นให้ความรู้สึกที่ถูกเก็บซ่อนไว้ในจิตใต้สำนึกของเขาให้โผล่ออกมา
'ความทรงจำมันเหมือนกันกับน้ำ ถ้าอยู่ในภาชนะปิด มันก็นิ่งอยู่ แต่ถ้าไอ้ภาชนะนั่นถูกเจาะรูให้รั่วแม้เพียงสักรูเล็กๆ รูหนึ่ง มันก็จะต้องไหลออกมาจนได้' มูราคามิสามารถเล่าเรื่องจิตใต้สำนึกที่ถูกซ่อนไว้ภายในสมองของพวกเราได้อย่างน่าสนใจ ดังตัวอย่างด้านล่างนี้ครับ
"ผมไม่อาจดำเนินชีวิตต่อไปอย่างนี้ได้ มันไม่ถูกต้อง ในฐานะมนุษย์ ในฐานะสามี ในฐานะพ่อ ผมต้องมีชีวิตอยู่เพื่อความรับผิดชอบของตัวเอง แต่ตราบใดที่ภาพหลอนเหล่านี้ยังล้อมรอบผมอยู่ ผมก็เหมือนเป็นอัมพาต เวลาฝนตกยิ่งแย่ไปใหญ่ เพราะผมจะหลงเพ้อไปว่า "ชิมาโมโตะ" อาจมาปรากฏตัว เปิดประตูเข้ามาเงียบๆ พาเอากลิ่นของสายฝนมากับเธอด้วย..." จากหนักสือ (การปรากฎตัวของหญิงสาวในคืนฝนตก South Of The Border, West Of The Sun)
การเขียนสไตล์นี้ดึงดูดความสนใจของผู้อ่านโดยมุ่งเน้นไปที่สิ่งธรรมดาๆ ที่เรียบง่าย เช่น วันที่ฝนตก สีของท้องฟ้า กลิ่นกาแฟ หรือการคุยกับแมว มูราคามิใส่ใจในรายละเอียดปลีกย่อย เขาให้ความสำคัญกับสิ่งเล็กๆ แต่ก็ไม่ได้ทิ้งเอกลักษณ์ของตัวเอง งานของเขาจึงออกมาสดใหม่เสมอ
แต่ในอีกด้านหนึ่งคนที่ไม่ชอบผลงานแนวนี้อาจจะมองว่ามันเป็นนวนิยายที่แปลกประหลาดหรือน่าเบื่อ อ่านแล้วไม่เข้าใจ ฟังดูคล้ายๆ กับงานศิลปะประเภท abstract ที่เข้าถึงได้ยาก แต่สำหรับแฟนๆ ที่ชื่นชอบผลงานของมูราคามินั้น การที่นักเขียนให้ความสำคัญกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ กลับชวนให้งานเขียนของเขายิ่งน่าหลงใหลมากยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ
ฮารูกิ มูราคามิ นักเขียนนวนิยายเป็นอาชีพ
มูราคามิชอบฟังเพลงมาก เขาเปรียบวิธีการเขียนนวนิยายว่าเป็นวิธีการเดียวกันกับการบรรเลงเพลง เสียงเพลงคือโลกอีกใบของเขา มูราคามิเคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร เดอะ นิวยอร์กเกอร์ (The New Yorker) ในปี 2018 เอาไว้ว่า "ผมได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างจากดนตรี เกี่ยวกับการเขียนก็ด้วย ผมคิดว่าการเขียนกับการเล่นดนตรีมีสามองค์ประกอบที่สำคัญเหมือนๆ กัน คือ จังหวะ ความกลมกลืน และความลื่นไหลต่อเนื่อง (rhythm, harmony, and free improvisation)
ผมเรียนรู้สิ่งเหล่านี้จากการฟังดนตรี ไม่ได้เรียนรู้จากวงการวรรณกรรม และเมื่อผมเริ่มเขียน ผมพยายามเขียนราวกับว่าผมกำลังเล่นดนตรี”
มูราคามิเติบโตขึ้นมาในประเทศญี่ปุ่นก็จริง แต่เขาก็ไม่ได้ชอบอ่านวรรณกรรมญี่ปุ่น เขาเลือกอ่านวรรณกรรมของทางฝั่งตะวักตก ทั้งยุโรป รัสเซีย และอมเริกา ส่วนเพลงก็ชอบฟังเพลงของตะวันตก เช่น The Beatles The Beach Boys และ Creedence Clearwater Revival เป็นต้น นอกจากนี้ตัวละครในนวนิยายของเขาส่วนใหญ่แม้ว่าจะเป็นคนญี่ปุ่นแท้ๆ แต่ทุกคนก็ชอบที่จะฟังเพลงและอ่านวรรณกรรมของทางฝั่งตะวันตก
ด้วยเหตุนี้ทำให้งานของเขามีกลิ่นนมเนยและความโรแมนติกแบบยุโรปผสมอยู่อย่างลงตัว เช่น เมื่อเขียนเรื่องความรัก ถึงแม้ว่าตัวละครของเขาส่วนใหญ่จะเป็นคนญี่ปุ่น แต่เขาเลือกใช้การแสดงออกแบบอเมริกันเพื่อปลดปล่อยตัวละครที่เป็นคนญี่ปุ่น ที่ใช้ชีวิตอยู่ในวัฒนธรรมและกรอบของสังคมแบบญี่ปุ่นให้เป็นอิสระจากกรอบและขนบเดิมๆ
ดังนั้นตัวละครของมูราคามิจะเปิดกว้างมากกับความรู้สึกและความคิด เช่น การพูดเรื่องเซ็กส์ การเป็นปัจเจก และการอยู่ภายใต้ระบบทุนนิยม
ฮารูกิ มูราคามิ นักเขียนนวนิยายเป็นอาชีพ
โดยพื้นฐานแล้วงานเขียนของมูราคามิ คือการหลีกหนีจากกรอบของวัฒนธรรมญี่ปุ่นเพื่อความเป็นปัจเจกที่มากขึ้น ในช่วงแรกที่นวนิยายของเขาเริ่มวางขายในญี่ปุ่น เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นแกะดำหรือพังก์ในวงการวรรณกรรม เขาจึงย้ายออกไปอยู่ต่างประเทศ เช่น อเมริกา ยุโรป ฮาวาย และอิตาลี ซึ่งในระหว่างอาศัยอยู่ที่อิตาลี เขาได้เขียนนวนิยายขายดีขึ้นมาอีกเล่มหนึ่ง เรื่อง "ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย Norwegian Wood"
ถึงแม้ว่าระบบโครงสร้างทางสังคมที่เข็มแข็งจะส่งผลดีต่อระบบการปกครองประเทศ แต่ในอีกแง่หนึ่งระบบที่เคร่งเครียดเกินไปก็สามารถส่งผลกระทบทางจิตใจต่อความเป็นปัจเจกได้อย่างลึกซึ้ง มูราคามิจึงได้เขียนนวนิยายขึ้นมาอีกเรื่อง คือ "คาฟกา วิฬาร์ นาคาตะ Kafka on the Shore"
เป็นเรื่องราวที่ตัวละครเอกหนีเอาตัวรอดจากพ่อที่กดขี่ข่มเหง มูราคามิเคยบอกเอาไว้ว่า เขาพบว่าการเขียนนวนิยายเป็นยารักษาโรคอย่างหนึ่ง เขาใช้มันเพื่อสร้างตัวละครที่แตกต่างจากตัวตนในปัจจุบันของเขา เพื่อที่เขาจะได้รับการขัดเกลาจากตัวละครเหล่านั้น
ดังนั้น มูราคามิอาจจะกำลังใช้เรื่องเล่าผ่านทางตัวละครต่างๆ ในนวนิยาย เพื่อเยียวยาจิตใจและขัดเกลาอะไรบางอย่างให้กับตัวตนในปัจจุบันของเขา ให้มีช่วงเวลา 'พักหายใจ' หรืออีกแง่ก็คือการ ผ่อนคลายความตึงเครียดจากข้อจำกัดทางสังคมเพื่อเยียวยาความเป็นปัจเจกและหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ
ฮารูกิ มูราคามิ นักเขียนนวนิยายเป็นอาชีพ
มูราคามิผสมผสานรูปแบบการเขียนทั้งแบบตะวันตกและตะวันออกเข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกล่อม เขาคิดค้นเทคนิควิธีการเขียนของตัวเองขึ้นมาใหม่ จากความบังเอิญในระหว่างที่กำลังเขียนนวนิยายเรื่องแรกเป็นภาษาญี่ปุ่น เรื่อง "สดับลมขับขาน Hear the Wind Sing"
ในขณะที่เขากำลังเขียนนวนิยายเล่มนี้ ดันเกิดปัญาหาติดขัดขึ้นมา เนื่องจากความรุ่มรวยของภาษาญี่ปุ่นที่มีทั้งระดับของภาษาและความหลากหลายของคำให้เลือกใช้อย่างมากมาย ทำให้มูราคามิเกิดความสับสน เพราะมีคลังคำศัพท์อยู่ในหัวให้เลือกใช้มากเกินไป ทำให้เขาต้องคิดหาทางแก้ไขใหม่ เพื่อให้นวนิยายเล่มแรกชิ้นนี้เกิดความน่าสนใจ
มูราคามิเคยแปลนวนิยายจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาญี่ปุ่นมาแล้วหลายเรื่อง เช่น "The Great Gatsby by F. Scott Fitzgerald" เขาจึงทดลองนำหลักการแปลมาใช้กับนวนิยายเล่มแรกของเขา เขาทดลองแปลจากต้นฉบับภาษาญี่ปุ่นให้เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ผลก็คือเมื่อตัดความฟุ่มเฟือยออกไป ประโยคก็จะสั้นลงและความหมายก็กระชับขึ้น ทำให้เวลาอ่านแล้วเข้าใจง่ายขึ้น
ขั้นตอนต่อไปเมื่อการแปลครั้งที่หนึ่งเสร็จสิ้นแล้ว เขาก็แปลครั้งที่สอง แต่คราวนี้เป็นการแปลกลับจากภาษาอังกฤษมาเป็นภาษาญี่ปุ่นอีกครั้ง และในขั้นตอนสุดท้ายก็คือการบรรจงแก้อย่างละเอียดถี่ถ้วน เมื่อทำครบทุกขั้นตอนทั้งหมดแล้ว ในที่สุดเขาก็สามารถเขียนนวนิยายเล่มแรกจนสำเร็จลุล่วง เขาบอกว่าการค้นพบนี้ทำให้รู้สึกว่าตัวเองได้ทำการ 'ก้าวผ่านครั้งสำคัญ'
เมื่อลองอ่านงานชิ้นนี้ดูก็รู้สึกว่าน่าสนใจและสนุกกว่าต้นฉบับภาษาญี่ปุ่น ในที่สุดด้วยวิธีนี้มูราคามิก็ได้พบกับสไตล์การเขียนในแบบของตัวเอง
ฮารูกิ มูราคามิ นักเขียนนวนิยายเป็นอาชีพ
ในนวนิยายของมูราคามิมักจะมีใครบางคนหรือมีบางอย่างขาดหายไป ซึ่งนับว่าเป็นอีกเทคนิคหนึ่งในวิธีการเขียนที่ต้องการสร้างความสงสัยให้กับผู้อ่าน ทำให้เราเกิดความอยากรู้อยากเห็น และต้องการออกไปค้นหาบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหายไป โดยหวังเอาไว้ว่าในท้ายที่สุดเราจะสามารถพบกับคำตอบเหล่านั้น
พูดอีกอย่างก็คือมูราคามิกำลังชวนผู้อ่านให้เป็นอิสระ เขากำลังกระตุ้นให้เราตั้งคำถามกับสิ่งต่างๆ รอบตัว ให้พวกเราออกไปค้นหาความหมายในชีวิตของพวกเราเองให้เจอ
มูราคามิสอนให้เราอยู่ร่วมกับบางสิ่งที่ขาดหายไป ไม่ว่ามันจะเป็น ความหมายบางอย่าง บุคคลที่เรารัก ความเชื่อ หรือความศรัธทา พูดอีกอย่างก็คือ มูราคามิทำให้ตัวละครในหนังสือมีชีวิตชีวาขึ้นมานั่นเอง
แน่นอน การที่จะเขียนได้อย่างมีชีวิต ต้องผ่านประสบการณ์จากชีวิตเขาเอง ทั้งความสุขและความทุกข์ เขาต้องผ่านมาด้วยตัวเอง ผมเชื่อว่าการที่เขาเขียนได้ดี เป็นเพราะว่าผู้เขียนยังมีความหวังท่ามกลางความทุกข์ทั้งหลาย ยังเห็นความดีงาม แสงสว่าง ความรัก และความหวังอยู่ เขาถึงทำออกมาได้ดี
ในแง่นี้ผมจึงนับถือนักเขียนทุกคนและตัวละครทุกตัว ตัวละครบางตัวถึงแม้จะพิการ แขนหรือขาหายไป ร่างกายบางส่วนไม่สมบูรณ์ ลิ้นไม่รับรส จมูกไม่ได้กลิ่น ต้องดำเนินชีวิตในรูปแบบที่แตกต่างออกไป ถึงแม้จะถูกข้อจำกัดเหล่านี้ติดตามอยู่ จะไล่มันออกไปก็ทำไม่ได้และยังรู้สึกแปลกแยกจากสังคม
แต่พวกเขาก็ยังสามารถค้นหาความหมายในชีวิตของตัวเองได้ และใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยความเป็นปกติสุข สิ่งที่น่าสนใจก็คือพวกเขาสามารถทำมันได้อย่างดีและอย่างลึกซึ้งเสียด้วย...
ฮารูกิ มูราคามิ นักเขียนนวนิยายเป็นอาชีพ
คะแนน
5/5 คุ้มค่า
นักอ่านที่อยากลองเขียนไม่ควรพลาด
ฮารูกิ มูราคามิ นักเขียนนวนิยายเป็นอาชีพ
สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณท่านผู้อ่านทุกท่านที่อ่านจนจบ คราวหน้าผมจะมารีวิวหนังสือน่าอ่านเล่มอื่นๆ ให้ได้อ่านกันอีกแน่นอน รอติดตามกันด้วยนะครับ
เครดิตภาพทั้งหมด : wikipedia และผู้เขียน (ชาร์โคล) ภาพปกจาก สำนักพิมพ์กำมะหยี่
ชาร์โคล เขียน
Hi! my name is Charcoal and I talk about books.
Murakami
Sapiens
Etc.
•••••••••••••
I review all the many books I meet.
•I also talk about books in these link •
(I'll receive a little money to support my works, and thank you so much)
โฆษณา