30 เม.ย. 2021 เวลา 12:24 • ไลฟ์สไตล์
หลังจากที่เราจับลูกพันธุ์ปลาขึ้นมารอจำหน่าย เราจะแยกไซส์และขังในบ่อเพื่อทะยอยขายให้ลูกค้า ซึ่งจะพบว่าลูกพันธุ์ปลาที่ได้ลงบ่อเลี้ยงไปก่อนจะมีขนาดใหญ่กว่าปลาที่จะยังขังอยู่ในบ่ออย่างชัดเจน
และเมื่อลองมาเพาะพันธุ์ผักก็เจอเหมือนกัน คือ จากผักที่เราหยอดเมล็ดพร้อมกันในกระบะเพาะเริ่มโตขนาดไล่เลี่ยกัน แต่พอเราทะยอยย้ายลงกระถางเพาะขนาดใหญ่ขึ้น ต้นผักเหล่านั้นก็โตขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ต้นผักที่ยังอยู่ในกระบะเพาะมีขนาดไม่ต่างไปจากเดิมมาก
1
ขอบคุณภาพจาก Pixabay
ซึ่งเหตุผลที่ทั้งลูกพันธุ์ปลาและผักที่เราย้ายภาชนะแล้วเติบโตอย่างรวดเร็วก็ด้วยสภาพแวดล้อมใหม่ที่อุดมสมบูรณ์ เอื้อให้เขาสามารถเติบโตได้อย่างเต็มที่ ไม่ถูกจำกัดด้วยขนาดของพื้นที่
แล้วเราก็เกิดคำถามขึ้นมาว่า
ถ้าเป็นลูกของเราเองล่ะ ? เราจะทำอย่างไรให้เขาได้เติบโตอย่างเต็มที่ ทำอย่างไรที่เราจะขยายภาชนะทางความคิด ความสามารถของเขาให้เต็มศักยภาพ โดยไม่ถูกจำกัดด้วยต้นทุนต่าง ๆ ในชีวิต
ขอบคุณภาพจาก Pixabay
มีงานวิจัยมากมายที่บอกว่าการประสบความสำเร็จของเด็กคนหนึ่งไม่ใช่แค่เรื่องไอคิวหรือความฉลาด แต่มาจากความมุ่งมั่น กัดไม่ปล่อย (Grit), ความนับถือตัวเอง (Self Esteem), การมี Executive Function (EF) ที่ดีและการมี Growth Mindset
งานวิจัยของ Carol Dweck จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดได้ทำการวิจัยและค้นพบว่า Growth Mindset เป็นสิ่งที่ไม่ได้มีมาแต่กำเนิด แต่เป็นสิ่งที่ถูกหล่อหลอมให้เกิดขึ้น โดยพ่อแม่มีส่วนสำคัญในการหล่อหลอมให้ลูกมี Growth Mindset ได้
ขอบคุณภาพจาก Pixabay
ซึ่ง Growth Mindset คือ คนที่เชื่อว่าความสามารถจะเปลี่ยนแปลงและพัฒนาได้เสมอโดยผ่านการพยายาม การขวนขวายหาความรู้ การไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค การเชื่อในสิ่งที่ไร้ขีดจำกัด ไม่ว่าเราจะเติบโตมาด้วยต้นทุนชีวิตอย่างไร เราก็สามารถจะพัฒนากลายเป็นคนเก่งขึ้นได้
2
ตรงข้ามกับ Fixed Mindset คือ คนที่เชื่อว่าความสามารถต่าง ๆ เป็นเรื่องของพรสวรรค์ ไม่สามารถพัฒนาต่อได้ เป็นเรื่องที่มีติดตัวมาเท่านั้น
ขอบคุณภาพจาก Pixabay
มีคนสำเร็จมากมายที่เริ่มต้นจากจุดที่ไม่ได้เก่งหรือได้เปรียบกว่าคนอื่น แต่ด้วย Mindset ที่ดีเลยพาเขาเหล่านั้นไปสู่จุดที่ต้องการได้
บุคคลนึงที่เรานึกถึงเพราะทราบมาว่าคนใกล้ชิด คือ พ่อแม่และคุณครู เป็นคนจุดประกายให้เขาเป็นคนมุ่งมั่น ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค
1
บุคคลนั้น คือ คุณกระทิง หรือคุณเรืองโรจน์ พูนผล ประธาน Kasikorn Business - Technology Group (KBTG)
และเจ้าของฉายา Godfather แห่งโลก Startup เมืองไทย ผู้ที่ทำให้วงการสตาร์ทอัพของไทยก้าวขึ้นมาเป็นประเทศที่นักลงทุนจากทั่วโลกให้ความสนใจ
1
ขอบคุณภาพจาก https://www.brandage.com/article/15064/KBTG
จากเด็กต่างจังหวัดที่เรียนโรงเรียนวัดฝ่าฟันจนได้เข้าเรียนที่ Stanford ทำงานที่ Google Silicon Valley และนำความรู้กลับมาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศ
ภาพคุณกระทิงในวันนี้ คือ คนเก่งที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ต่างจากคุณกระทิงในวัยเด็กที่เป็นเด็กตัวเล็กเพราะคลอดก่อนกำหนด และต้องเปลี่ยนโรงเรียนบ่อยมากเพราะโดนเพื่อนแกล้ง เรียนหนังสือไม่เก่ง ได้ที่ 6 จากท้าย
ตอนเด็กรู้สึกว่าชีวิตมืดมนจนเมื่อได้เจอคุณครูท่านหนึ่งที่สังเกตเห็นข้อดีของคุณกระทิง คือ ออกเสียง ร.เรือ ล.ลิง ชัดเจน จึงช่วยฝึกการอ่านออกเสียงและพาไปประกวดอ่านร้อยแก้วจนได้ที่ 2 ของจังหวัดกำแพงเพชร
ขอบคุณภาพจาก Pixabay
จากจุดนี้ทำให้คุณกระทิงมีความมั่นใจมากขึ้นและคุณกระทิงสนใจในวิทยาศาสตร์เพราะมีนิสัยชอบอ่านหนังสือเหมือนคุณพ่อ หนังสือที่ชอบ คือ สารานุกรมคนสำคัญของโลก
เขาอ่านประวัติและเห็นภาพของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ แล้วมีความฝันอยากเก่งฟิสิกส์และอยากเป็นนักคิดที่ยิ่งใหญ่แบบนั้นบ้าง
และเมื่อคุณครูวิทยาศาสตร์เล่าให้เขาฟังว่าในจังหวัดกำแพงเพชรยังไม่มีใครที่สอบได้เหรียญทองโอลิมปิกเป็นตัวแทนประเทศไทยมาก่อนและคนคนนั้นอาจเป็นคุณกระทิงก็ได้
เมื่อคนใกล้ชิดให้การสนับสนุนว่าเขาทำได้ ทำให้เขาตั้งใจทำตามเป้าทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือไม่แต่เขาก็มุ่งมั่นที่จะทำ
ขอบคุณภาพจาก Pixabay
คุณกระทิงจึงเริ่มต้นตื่นตี 4 เพื่อมาอ่านหนังสือ ไฟดับก็จุดเทียน ทำแบบนี้อยู่ 6 ปี สุดท้ายได้รางวัลเหรียญทองฟิสิกส์โอลิมปิกและที่ 3 สอบคณิตศาสตร์แห่งประเทศไทยและเป็นคนแรกของจังหวัด
4
นอกจากนี้คุณกระทิงยังพาตัวเองไปอยู่ใน "Winning Environment" โดยอ่านหนังสือศึกษาบุคคลที่สำเร็จระดับโลก ปีละ 100 กว่าเล่มและพกหนังสือตลอดเวลาไปไหนมาไหน ถ้าบอกว่าทำอะไรไม่ได้ก็จะตอบกลับไปว่า
"จงสู้ด้วยทุกอย่างที่คุณมี"
1
ขอบคุณภาพจาก Pixabay
Growth Mindset เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้คุณกระทิงไม่เคยหยุดอยู่กับที่และมุ่งมั่นพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง โดยใช้แนวคิดการมีความล้มเหลวหรือข้อผิดพลาดเป็นเรื่องที่ดี
ซึ่งเขายกความดีนี้ให้กับคุณแม่เพราะการที่เขาเป็นคนที่มุ่งมั่นและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคนี้เพราะคุณแม่เคยเป็นโรคหอบหืดขั้นรุนแรง เคยหยุดหายใจมาแล้ว 6 ครั้ง และครั้งที่นานที่สุดเกือบ 1 นาที จนเห็นภาพหลอนว่าจะมีคนมารับ
สุดท้ายก็สู้กับความตายมาได้และได้สอนว่า "ลูกชื่อกระทิง มีสายเลือดของแม่ ถ้าอุปสรรคนั้นไม่ได้ยิ่งใหญ่เท่าความตาย ต้องเอาชนะมันได้" 🌿
2
ขอบคุณภาพจาก Pixabay
เราทุกคนล้วนแต่มีทั้ง Fixed Mindset และ Growth Mindset ผสมกัน ขึ้นอยู่กับว่า Mindset แบบไหนเรามีมากกว่ากัน แต่เราสามารถพัฒนาให้เป็นคนมี Growth Mindset ได้เสมอ ซึ่งมีอยู่หลายวิธี เช่น
📍เปิดใจยอมรับจุดอ่อนของตัวเอง
ยอมรับว่าไม่มีใครสมบูรณ์แบบ เปิดใจมองดูตัวเองอย่างเป็นกลาง เหมือนคุณกระทิงที่รู้ว่าตัวเองไม่ได้ฉลาดมากมาย เลยใช้ความขยันเข้าสู้ มุ่งมั่นและมีวินัยให้มากกว่าคนอื่น
2
📍มองว่าปัญหาและอุปสรรคคือโอกาส
งานยากจะดึงศักยภาพเราออกมา ถ้าหากเราเอาแต่อยู่ในพื้นที่ปลอดภัยเราก็จะไม่ได้พัฒนาและเติบโตไปไหน คุณกระทิงแบ่งวันเป็น 2 วัน คือ
Good day คือ วันที่เหงื่อออกเต็มหลัง ได้เจอปัญหา เพราะเท่ากับได้พัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้น
Bad day คือ วันที่ตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกสบายแต่ไม่ได้พัฒนาตัวเอง
ขอบคุณภาพจาก Pixabay
📍จำไว้ว่าสมองเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้
โครงสร้างในสมองของเราสามารถจัดระเบียบใหม่ได้เอง แสดงให้เห็นว่าคนเราสามารถปรับแต่งตัวเองไปทางไหนก็ได้ ทุกครั้งที่คนเราฝึกอะไร ลงมือทำอะไร จะทำให้เซลล์สมองเติบโต สมองสามารถยืดขยายได้
📍เรียนรู้และสร้างแรงบันดาลใจจากความสำเร็จของผู้อื่น
คนที่มี Fixed Mindset จะเอาความสำเร็จของผู้อื่นมาบั่นทอนความรู้สึกของตัวเอง แต่คนที่มี Growth Mindset จะชื่นชมและมองหาแรงบันดาลใจจากความสำเร็จของผู้อื่น
📍ตั้งเป้าหมายเพื่อให้เราเติบโต
เป้าหมายที่ดีจะต้องทำให้เราได้ฝึกฝนทักษะใหม่ ๆ หรือทำให้เราได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น ท้าทายตัวเองมากขึ้น
ขอบคุณภาพจาก Pixabay
📍สนใจที่กระบวนการระหว่างทางมากกว่าปลายทาง
หากเราจดจ่อแต่ปลายทางว่าเมื่อไหร่จะถึง เราอาจหมดสนุก ท้อ และเลิกทำไปก่อนในที่สุด การสนุกกับกระบวนการเรียนรู้ของตัวเอง รู้สึกดีที่เห็นตัวเองเชี่ยวชาญขึ้น เก่งขึ้น จะทำให้เราเดินต่อไปได้เรื่อย ๆ
📍หลีกเลี่ยงคำพูดเชิงลบที่มีต่อตัวเองและผู้อื่น
คำพูดลบ ๆ ย่อมมาจากการคิดลบ ๆ และเมื่อไหร่ที่เราพูดลบ ๆ พฤติกรรมและการการะทำของเราก็จะเป็นลบด้วย
📍ปรับมุมมองที่มีต่อ Feedback
Feedback ที่ตรงไปตรงมาจะทำให้เราพัฒนาตัวเองได้ดี เปรียบเสมือนของขวัญเพราะทำให้เราได้เรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง การเปิดใจต่อคำวิพากษ์วิจารณ์จะช่วยเปลี่ยนแปลงความรู้สึกท้อแท้ที่เกิดจากคำติเตียนเหล่านั้น มาเป็นความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ ปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้เกิดการพัฒนาต่อไป
ขอบคุณภาพจาก Pixabay
ส่วนในฐานะพ่อแม่ย่อมอยากให้ลูกมี Growth Mindset เราก็ต้องเริ่มที่การสื่อสารกับลูกที่ถูกวิธี
📍ดูกระบวนการคิดของลูก เปิดโอกาสให้ลูกคิดเอง หาสาเหตุเอง เช่น ลูกบอกว่าไม่ชอบวิชาเลข มันยาก พ่อแม่ก็ต้องชวนลูกหาสาเหตุว่าทำไมถึงไม่ชอบ
ถ้าลูกตอบไม่ได้ก็ต้องช่วยนำทางจนกว่าเขาจะหาสาเหตุเจอ เช่น หยิบหนังสือมาไล่ดูกันว่ามาจากอะไร จนลูกหาสาเหตุเจอและชวนคิดต่อว่าจะแก้ไขกันยังไงโดยไม่คิดแทนลูก
ขอบคุณภาพจาก Pixabay
📍ใช้ภาษาเพื่อสร้างพลังบวก เช่น "ลูกทำไม่ได้ไม่เป็นไร ลองหาวิธีใหม่" หรือความเชื่อที่ลูกบอกว่า "หนูทำไม่ได้" ด้วยคำพูด "หนูยังทำไม่ได้ แต่ถ้าหนูพยายามอีกนิด ต้องทำได้แน่ ๆ"
🔸หลีกเลี่ยงคำพูดตีตรา เช่น โง่ ขี้เกียจ นิสัยไม่ดี เพราะจะทำให้ลูกมี Fixed Mindset เชิงลบต่อตัวเอง
🔸หลีกเลี่ยงการพูดเปรียบเทียบลูกเรากับลูกคนอื่น
🔸ชมอย่างเหมาะสม ไม่มากเกินไป หลีกเลี่ยงคำชมที่ส่งผลต่อการพัฒนา Fixed Mindset เช่น เก่ง ฉลาด อัจฉริยะ เพราะเป็นการลดแรงกระตุ้นและจะทำให้เด็กคิดว่าเก่งแล้ว
🔸ชมลูกที่ "กระบวนการ" มากกว่า "ผลลัพธ์" เช่น ความพยายาม ความคิดสร้างสรรค์ เช่น "แม่ภูมิใจที่ลูกตั้งใจอ่านหนังสือสอบ" ไม่ใช่ "แม่ภูมิใจที่ลูกสอบได้ที่หนึ่ง"
1
ขอบคุณภาพจาก Pixabay
📍ให้ความสำคัญกับความก้าวหน้าทีละนิด แม้จะเล็กน้อย อย่ารอภูมิใจในผลลัพธ์สุดท้าย เช่น ชื่นชมลูกว่า "วันนี้ลูกท่องศัพท์ได้ถูกมากกว่าเมื่อวาน 2 คำ เยี่ยมเลย ลูกก้าวหน้าขึ้นนะ"
ทุก ๆ ความก้าวหน้าเล็ก ๆ จะถูกสะสมเรื่อย ๆ จนสามารถไปถึงจุดหมายที่ต้องการได้ อนาคตลูกจะไม่ท้อถอยในชีวิตหากพบว่าหนทางยังอีกไกล เพราะรู้ว่าตนเองยังอยู่บนเส้นทางแห่งความสำเร็จนั่นเอง
ขอบคุณภาพจาก Pixabay
สุดท้ายที่สำคัญ คือ พ่อแม่อย่างเราก็ต้องเป็น "ต้นแบบ" ที่มี Growth Mindset ก่อน เพราะพ่อแม่มี Mindset อย่างไร ก็จะส่งผลต่อการเลี้ยงลูกและถ่ายทอดไปให้ลูกด้วยเช่นกัน 🌿🌿
ขอบคุณข้อมูล
โฆษณา