เนื้อเพลงของ Taylor Swift ในอัลบั้มชุดนี้พูดถึงเรื่องของการหลบหนีจากบางสิ่งและเรื่องราวความรักอันแสนโรแมนติค สำหรับพาร์ทดนตรีเธอยังคงไว้ใจ Jack Antonoff โปรดิวเซอร์ที่ร่วมงานกันมาอย่างยาวนานตั้งแต่อัลบั้ม 1989, Reputation และ Lover ส่วนโปรดิวเซอร์อีกคนคือ Aaron Dessner มือกีต้าร์วง The National เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของไวรัส COVID-19 ทั้ง Swift, Antonoff และ Dessner ต่างก็ต้องกักตัวอยู่กันคนละที่ การทำงานในอัลบั้ม Folklore จึงใช้วิธีส่งไฟล์ดิจิตอลแลกเปลี่ยนกันทั้งเสียงเครื่องดนตรีและเสียงร้อง อาจจะเรียกได้ว่าอัลบั้มนี้ใช้กระบวนการผลิตแบบ D.I.Y. (Do It Yourself) มิกซ์และเอนจิเนียร์โดยบุคลากรที่กระจายอยู่ทั่วอเมริกา
Swift ได้เจอกับวง The National ในรายการ Saturday Night Live (ปี 2014) หลังจากนั้นเธอก็ถูกเชิญให้ไปชมคอนเสิร์ตของพวกเขาในปี 2019 ซึ่งทำให้เธอได้พูดคุยกับ Dessner และ Bryce พี่น้องฝาแฝดของเขา Swift ได้ถาม Dessner ถึงเทคนิคการแต่งเพลง เพราะมันคือ "เรื่องโปรดปรานของฉัน ที่จะถามจากคนที่ฉันเป็นแฟนเพลง" โดย Dessner บอกว่าสมาชิกวงของเขานั้น อาศัยอยู่คนละที่ทั่วโลก เขาจะทำแบคกิ้งแทร็คและส่งเมลให้นักร้องนำ Matt Berninger เพื่อเขียนเนื้อเพลง ซึ่งทำให้ Swift ได้ไอเดียในการทำอัลบั้มในช่วงกักตัว
หลังจากห้องบันทึกเสียงทุกที่ปิดให้บริการเนื่องจากการระบาดของ COVID-19 เธอจึงสร้างโฮมสตูดิโอที่บ้านของเธอเองใน L.A. โดยใช้ชื่อว่า Kitty Committee Studio จากการช่วยเหลือของ Laura Sisk (เอนจิเนียร์) ส่วน Jack Antonoff โปรดิวเซอร์ที่ร่วมแต่งเพลง 5 เพลงในอัลบั้มนั้นจะทำงานของเขาอยู่ที่นิวยอร์ค ขณะที่ Sisk จะอัดเสียงร้องของ Swift และส่งไปให้จาก L.A.
"My Tears Ricochet" คือเพลงแรกที่เริ่มทำในอัลบั้ม Folklore ซึ่ง Swift เล่าถึงความสัมพันธ์กับ Scott Borchetta เจ้าของอดีตต้นสังกัดของเธอที่จบลงอย่างกระทันหัน Antonoff บอกว่ากระบวนการเขียนเพลง "Mirrorball" และ "August" นั้นคล้ายกับเพลง "Out of the Woods" ในปี 2014 เขาจะส่งแบ็คกิ้งแทร็คให้กับ Swift และเธอก็ส่งเนื้อเพลงทั้งหมดกลับมา Swift เขียนเพลง "Mirrorball" หลังจากทัวร์ Lover Fest ถูกยกเลิก เป็นเหมือนบทกวีปลอบใจให้กับแฟนเพลงที่อยากดูคอนเสิร์ตของเธอ ในเพลง "August" เล่าถึงตัวละครสมมติที่เป็นชู้ ส่วน "This Is Me Trying" เกี่ยวกับหลายเรื่องราว เช่น การติดยา อุปสรรคในชีวิต และปัญหาสุขภาพจิตของเธอในช่วงปี 2016-2017 ที่เธอรู้สึกว่าตัวเอง "ไม่มีคุณค่าอะไรเลย"
หลักจากผ่านไปสองสัปดาห์ เมื่อ Swift และ Dessner ทำเพลงได้ประมาณ 6-7 เพลง เธอก็อธิบายถึงคอนเซ็ปในอัลบั้ม Folklore กับเขา และบอกว่ามีเพลงบางส่วนที่เธอทำเสร็จแล้วกับ Antonoff งานที่เธอทำร่วมกับพวกเขาทั้งคู่คือส่วนผสมให้เกิดอัลบั้มนี้ ในเพลง "The Last Great American Dynasty" นั้นมีเสียงกีต้าร์ที่ได้รับอิทธิพลจากอัลบั้ม In Rainbows ของ Radiohead เนื้อเพลงของ Swift เขียนเสร็จอย่างรวดเร็วในระหว่างที่ Dessner ออกไปวิ่งจ๊อกกิ้งแล้วกลับมาถึงบ้าน เนื้อหาพูดถึงเรื่องราวของ Rebekah Harkness ชนชั้นสูงในอเมริกา ซึ่ง Swift อยากเขียนถึงเรื่องของเธอมานานแล้ว Dessner แต่งเมโลดี้เปียโนในเพลง "Mad Woman" โดยได้แรงบันดาลใจจากสองเพลงที่ทำเสร็จไปก่อนหน้านั้นคือ "Cardigan" และ "Seven" ส่วนในเพลง "Epiphany" นั้น Dessner ดึงจังหวะให้ช้าลงและนำเสียงเครื่องดนตรีต่างๆมาเล่นถอยหลัง( Reverse) เพื่อสร้างกำแพงเสียงประสาน เขาเพิ่มเสียงเปียโนเข้าไปเพื่อสร้างบรรยากาศแบบภาพยนต์ เนื้อหาในเพลงนี้ Swift เล่าถึงประสบการณ์ของคุณตาของเธอซึ่งเป็นทหารผ่านศึก และบุคลากรทางการแพทย์ในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19
Swift แต่งเพลง "Exile" และ "Betty" ร่วมกับ William Bowery โดยเธออยากให้เพลง "Exile" เป็นเพลงร้องคู่ หลังจากปรึกษากันถึงคนที่จะมาร้องด้วย Justin Vernon นักร้องนำจาก Bon Iver และเคยร่วมงานกับ Dessner มาก่อนตอนอยู่กับวง Big Red Machine ก็เป็นผู้ถูกเลือก เมื่อ Justin ได้ฟังเดโมเขาก็ตอบตกลง เขาแต่งเนื้อเพลงและอัดร้องในพาร์ทของเขา ในเพลง "Betty"
นั้นเป็นเพลงเดียวในอัลบั้มที่โปรดิวซ์โดย Dessner และ Antonoff ซึ่ง Swift นั้นได้รับอิทธิพลจากอัลบั้ม "The Freewheelin' Bob Dylan และ John Wesley Harding ของ Bob Dylan ในส่วนของพาร์ทดนตรี