30 เม.ย. 2021 เวลา 05:48 • ข่าว
การประกาศใช้รถเมล์ไฟฟ้าของเวียดนามครั้งนี้ จะเป็นไปได้หรือไม่ ที่เวียดนามกำลังพัฒนาประเทศแซงไทย
แล้วประเทศไทยเองพัฒนาวงการเทคโนโลยีรถไฟฟ้าไปถึงไหนแล้ว ใครจะแซงใครก่อนกันแน่ บทความนี้มีคำตอบ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าข่าวการประกาศใช้รถไฟฟ้ากว่า 200 คัน ในเวียดนาม ซึ่งนำมาเผยแพร่โดย "เพจอย่าชะล่าใจ เพื่อนบ้านเค้าไปไกลแล้ว" สร้างความตกใจแก่ผู้อ่านเป็นจำนวนมาก เมื่ออยู่ๆ ระบบขนส่งของเวียดนามกำลังมีรถเมล์ไฟฟ้าที่สามารถผลิตได้เองในประเทศใช้แล้ว
ขณะที่รถเมล์ไทยส่วนใหญ่ยังเป็นรถพัดลม ควันดำ จนหลายคนได้ตั้งคำถามว่า ประเทศไทยของเรากำลังถูกเวียดนามพัฒนาตีตื้นจนอาจจะไปไกลกว่าเราได้หรือไม่?
ก่อนอื่น ต้องเข้าใจว่าระบบขนส่งของเวียดนามกับของไทยนั้น ค่อนข้างคล้ายคลึงกัน คือมีทั้งระบบรถเมล์ รถแท็กซี่ หรือแม้แต่ BTS แต่หากเทียบกับคุณภาพระบบขนส่งแล้ว ต้องยอมรับว่าเวียดนามยังไม่ครอบคลุมเท่าไทย
โดยเฉพาะการก่อสร้าง BTS สายแรกของเวียดนามล้วนเต็มไปด้วยปัญหาการก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐานจนกินเวลามา 10 ปีแล้ว ส่วนไทยมีโครงการรถไฟฟ้าถึง 14 สายทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล
อย่างไรก็ตาม แม้ภาพรวมระบบขนส่งของไทยโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ จะมีตัวเลือกที่หลากหลายและมากมายกว่า แต่ขณะนี้เวียดนามได้เตรียมปล่อยรถเมล์ไฟฟ้ากว่า 200 คันออกมาวิ่งกันแล้ว
ซึ่งนี่จะเป็นก้าวของการพัฒนาระบบขนส่งเวียดนามไปอีกขั้น และจะเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจของชาวเวียดนาม ที่พวกเขากำลังมีรถเมล์ไฟฟ้าที่ทันสมัยใช้แทนขี่มอเตอร์ไซค์เสียที
รถเมล์ไฟฟ้าของเวียดนามที่กำลังออกมาใช้อยู่นั้น เรียกว่า VinBus มีความจุแบตเตอรี่อยู่ที่ 281 กิโลวัตต์ วิ่งได้ 220 - 260 กิโลเมตร โดยการชารจ์เต็มภายใน 2 ชั่วโมง
แถมมีฟังชั่นการอำนวยความสะดวกสบายเยอะมากๆ เช่น ระบบควบคุมพฤติกรรมคนขับ ระบบควบคุมการทำงานอัตโนมัติเมื่อมีผู้สูงอายุ ผู้พิการ คนท้อง เด็ก ระบบบอกป้ายสถานีต่อไป ระบบฟรีไวไฟ และที่ชาร์จ USB สำหรับผู้โดยสารโดยเฉพาะ
ทั้งหมดนี้เวียดนามวางแผนจะปล่อยให้บริการราวๆ กว่า 3,000 คัน เพื่อลดการปล่อยมลพิษอย่างสมบูรณ์แบบ
แน่นอน ว่าด้วยการพัฒนาของเวียดนามในครั้งนี้เป็นไปอย่างก้าวกระโดด ส่งผลให้ประเทศไทยถูกนำมาเปรียบเทียบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าบ้านเขามีรถเมล์ไฟฟ้าจำนวนมากใช้กัน แล้วบ้านเราล่ะ พัฒนาเรื่องนี้ไปถึงไหนกันแล้ว
สำหรับประเทศไทย จริงๆ เรามีการวิ่งรถเมล์ไฟฟ้าในบางสาย แต่ส่วนใหญ่อยู่ในช่วง "ทดลอง" และเตรียมวางแผนตามขั้นตอนของรัฐ
ที่ผ่านมา ภาครัฐเตรียมแผนใช้รถขนส่งสาธารณะไฟฟ้าไว้เรียบร้อยแล้ว โดย ขสมก. ร่วมมือกับ สวทช จ้างให้บริษัทเอกชนไทยอย่างบริษัทโชคนำชัย ไฮ-เทค เพรสซิ่ง จำกัด ออกแบบรถบัสไฟฟ้า ซึ่งได้มีการทดลองวิ่งและปรับปรุงพัฒนาก่อนนำมาใช้จริง
ในขณะเดียวกันยังมีแผนทดลองวิ่งรถขนส่งสาธารณะไฟฟ้าแบบนำร่อง 6 เส้นทาง ครอบคลุม 6 จังหวัด คือ
1.จังหวัดกรุงเทพมหานคร เส้นทางสาย 137 (รามคำแหง - ถนนรัชดาภิเษก)
2.จังหวัดเชียงใหม่ เส้นทางเดินรถในเส้นทางระบบขนส่งมวลชนหลักสายสีเขียว (ท่าอากาศยานเชียงใหม่ - ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล)
3.จังหวัดนครราชสีมา เส้นทางเดินรถในเส้นทางระบบขนส่งมวลชนหลักสายสีส้ม (อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี – โรงเรียนสุรนารีวิทยา)
4. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เส้นทางเดินรถโดยสารสาธารณะสายที่ 1 (วนซ้าย) และ 2 (วนขวา) เริ่มต้นจากศาลากลางจังหวัด
5.จังหวัดชลบุรี เส้นทางเดินรถโดยสารสาย 1 (เส้นทางนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร - สถานีรถไฟชลบุรี)
6. จังหวัดภูเก็ต เส้นทางเดินรถสาย 1814 (ภูเก็ต – ป่าตอง)
ภาพจาก ไทยรัฐ
จากที่กล่าวมา เรียกได้ว่าบ้านเราเอง ภาครัฐก็กำลังตื่นตัวในการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะให้เป็นพลังงานสะอาดในแบบประเทศที่พัฒนาแล้วอยู่เหมือนกัน
โดยในหลายๆ พื้นที่เริ่มนำระบบรถบริการไฟฟ้ามาใช้ แม้แต่ในสถานศึกษา เช่น รถพลังงานไฟฟ้าแบบ 100% หรือ EVT – CU POPBUS ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โครงการรถไฟฟ้า (EV Sharing) ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รถ EV ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม แม้บ้านเรารถพลังงานสะอาดกำลังขยายตัวมากขึ้น แต่สำหรับประเทศเวียดนาม พวกเขากลับพัฒนาได้เร็วมากๆ จากที่ไม่กี่ปีก่อนยังใช้รถเมล์พัดลมธรรมดาในการขนส่งผู้โดยสาร แต่มาในวันนี้ชาวเวียดนามกำลังมีรถเมล์ไฟฟ้าที่ทันสมัยใช้กันแล้ว ไม่ธรรมดาเลย
ทั้งนี้ สำหรับบ้านเราจุดที่ต้องระวังเพื่อแข่งขันกับประเทศอื่น ไม่ใช่เรื่องความรู้หรือนวัตกรรม แต่เป็นเรื่องความรวดเร็วในการบริหารจัดการของภาครัฐ โดยเฉพาะข้อจำกัดทางกฎหมาย
ซึ่งครั้งหนึ่ง คุณกฤศ โกษานันตชัย ซีอีโอ บริษัท รถไฟฟ้า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เคยถึงกับกล่าวเรื่องการพัฒนาระบบขนส่งไฟฟ้าไว้ว่า "เราอยากจะผลักดันให้เกิดขึ้น แต่ติดอยู่ที่ภาครัฐเอง ก็อาจจะมองเรื่องความคุ้มค่าและข้อติดขัดทางกฎหมายด้วย"
จนถึงตอนนี้จะเห็นได้ว่า แม้ประเทศไทยจะมีการพัฒนารถพลังงานไฟฟ้าเยอะขึ้นแล้ว แต่เพื่อนบ้านเราเองก็กำลังเร่งพัฒนาอยู่เช่นกัน ยิ่งในสถานการณ์ตอนนี้ ประเทศเวียดนามห่างไหลจากโควิด-19 มาก มีเวลาพัฒนาประเทศได้อีกเยอะ
ส่วนไทยเราเอง ยังต้องมีหลายเรื่องให้เคลียร์ แถมการบริหารจัดการและข้อจำกัดด้านกฎหมายซึ่งเป็นปัญหาทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งทำให้การพัฒนาเป็นไปอย่างล่าช้าเข้าไปอีก
ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า ตอนนี้ในภาพรวม บ้านเรามีระบบขนส่งที่ดีกว่า แต่ไม่แน่ว่าหากเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ เพื่อนบ้านอาจจะตามทันและแซงไปได้เหมือนกัน
โฆษณา