30 เม.ย. 2021 เวลา 16:00 • กีฬา
ทำไมลิเวอร์พูล กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดถึงเป็น 2 สโมสรที่เกลียดกัน ในวาระแดงเดือดที่กำลังจะเตะวันอาทิตย์นี้ เป็นธรรมเนียมที่เราจะย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ ที่อธิบายเหตุผลของความแค้นที่สองทีมมีให้กัน
3
ตอนนี้บรรยากาศของเกมหงส์ vs ผี ที่จะเตะกันวันอาทิตย์นี้มีความน่าสนใจมาก เพราะลิเวอร์พูลจำเป็นต้องมีแต้มที่โอลด์แทรฟฟอร์ด เพื่อโอกาสลุ้นท็อปโฟร์ แต่ทว่าพวกเขาทำไม่ได้ง่ายๆแน่ เพราะคู่แข่งคือยูไนเต็ด ฟอร์มกำลังคึกสุดๆจริงๆ ล่าสุดอัดโรม่าไป 6-2
1
ผลการแข่งขันจะเป็นอย่างไร 22.30 วันอาทิตย์นี้ เราจะรู้เรื่องว่าใครจะแพ้จะชนะ แต่ก่อนที่จะไปถึงวันนั้น เราไปย้อนถึง "แบ็กกราวน์" ของเกมนี้กันหน่อย
1
ทุกคนรู้ว่าสองทีมนี้เกลียดกัน แต่คำถามคือ "ทำไม"
1
ที่อังกฤษเขามีการค้นคว้าวิจัยเรื่องนี้ออกมาแล้วครับ ซึ่งแอดมินขอสรุปมาให้อีกครั้งนะครับ
"พาร์ก พาร์ก นายอาจกินหมาในบ้านเกิดที่เกาหลี แต่ก็ยังดีกว่าพวกสเกาซ์ ที่แดกหนู ในบ้านเอื้ออารี"
1
นี่คือ Chant หรือ เพลงเชียร์ที่แฟนแมนฯยูไนเต็ด ร้องเพื่อให้กำลังใจพาร์ก จี-ซอง ซึ่งเราฟังเพลงนี้ก็ตลกดี ที่คนอังกฤษ เขายังคิดว่าคนเกาหลีกินหมาเป็นอาหารหลักอยู่เลย!
6
ไม่ใช่แค่เพลงนี้เท่านั้น แต่ยังมี chant อื่นๆอีกมาก ที่แฟนผี แต่งขึ้นมาเพื่อล้อเลียนหงส์ โดยมีการนับจำนวนเพลง ปรากฎว่า เพลงที่เอาไว้ด่า หรือล้อเลียนลิเวอร์พูล มีจำนวนมากกว่าเพลงที่เอาไว้ล้อแมนฯซิตี้ คู่ปรับร่วมเมือง มันแสดงให้เห็นว่า ความเกลียดชังของสองทีมนี้ อยู่ในเลเวลที่ไม่ธรรมดาจริงๆ
1
ตามปกติแล้ว คู่ปรับในฟุตบอลอังกฤษ ส่วนใหญ่มักจะเป็นทีมที่อยู่ในเมืองเดียวกัน คือเป็นเรื่องศักดิ์ศรี ว่าทีมไหนคือผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของเมืองนั้นอย่างเช่น สเปอร์ส กับอาร์เซน่อล ก็วัดกันใครคือราชาของลอนดอนเหนือ หรืออย่าง แอสตัน วิลล่ากับเบอร์มิงแฮม ซิตี้ ก็พิสูจน์กันว่าใครเจ๋งสุดในเมืองเบอร์มิงแฮม
2
แต่กับลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สองทีมนี้เป็นกรณีพิเศษ คือเกลียดกันข้ามเมือง และดีกรีความไม่ชอบหน้ากัน ไม่ด้อยไปกว่าดาร์บี้แมตช์เลย ซึ่งคำถามของเราก็คือ ทำไมสองทีมที่อยู่คนละเมือง ถึงเกลียดกันได้ขนาดนี้
5
[ 1-ความเจ็บใจที่ถูกขูดรีด ]
2
จุดเริ่มต้นของความเกลียดชัง ของทีมฟุตบอล มันมีจุดเริ่มต้นมาจากการปะทะกันระหว่างเมืองก่อน
ย้อนกลับไปในยุค 1800 ในอดีตลิเวอร์พูลคือเมืองท่าอันดับ 1 ของโลก และเป็นประตูออกสู่ทวีปอเมริกาเหนือ สินค้าทุกอย่างจะมีจุดเริ่มต้นลิเวอร์พูล แม้แต่เรือไททานิคก็ยังลงทะเบียนที่ลิเวอร์พูล (แต่เดินทางออกจากเซาธ์แฮมป์ตัน)
3
ส่วนแมนเชสเตอร์ คือเมืองอุตสาหกรรมที่รุ่งเรืองมากๆ ในการผลิตฝ้ายดิบ มีคำกล่าวว่าประชากร 1 ใน 4 ของโลกสวมใส่เสื้อผ้าที่ผลิตจากแมนเชสเตอร์
1
แต่ปัญหาของแมนเชสเตอร์ก็คือถึงจะมีกำลังผลิตมากแค่ไหน แต่การส่งออกไปทั่วโลกก็จำเป็นต้องใช้เรือ และแมนเชสเตอร์ไม่ติดทะเล ดังนั้นจึงช่วยไม่ได้ที่ต้องขนส่งสินค้าทางบก เอาไปขึ้นเรือที่ท่าลิเวอร์พูล ซึ่งเมืองลิเวอร์พูลก็เก็บค่าภาษีปากเรือแพงมาก ลิเวอร์พูลไม่ต้องลงแรงผลิตอะไร เก็บเงินกินเปล่าอย่างเดียว ไม่ว่าจะนำเข้าหรือส่งออก พวกเขาเก็บกินเรียบ ซึ่งทางแมนเชสเตอร์ ก็คับแค้นใจมาหลายปีเพราะเหมือนถูกขูดรีด โดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย ครั้นจะไปท่าเรือที่อื่นก็อยู่ไกลเกินไป ค่าขนส่งจะเพิ่มมากกว่านี้อีกเยอะ
1
นั่นทำให้สภาเมืองจึงตัดสินใจ ว่าจากนี้ไปแมนเชสเตอร์จะไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างอีกแล้ว ในการประชุม ได้มีมติขุดคลองแมนเชสเตอร์ขึ้นมา ทะลุจากทะเลยาวมาถึงตัวเมืองแมนเชสเตอร์ โดยใช้เวลาในการขุด 7 ปี ระยะทาง 58 กิโลเมตร
4
คลองแมนเชสเตอร์ (Manchester Ship Canal) เปิดใช้บริการวันแรก 1 มกราคม 1894 ซึ่งขนาดของคลองกว้างใหญ่พอที่เรือใหญ่จะแล่นผ่านได้ เมื่อการขุดคลองเสร็จสิ้นทำให้คราวนี้เรือจากทั่วโลกไม่จำเป็นต้องแวะจอดที่ลิเวอร์พูลอีก แต่สามารถเอาสินค้าขึ้นหรือลงที่ท่าแมนเชสเตอร์ได้เลย
4
หลังคลองสร้างเสร็จ อำนาจทางเศรษฐกิจของเมืองลิเวอร์พูลก็ลดถอยลงไป และกลายเป็นแมนเชสเตอร์ที่มีความมั่งคังแทนที่ ความคับข้องใจที่ถูกขูดรีด และการเอาคืนอย่างเจ็บแสบ เริ่มสร้างรอยบาดหมางให้กับทั้งสองเมือง
3
[ 2- การเหยียดหยันกันจากทั้ง 2 ฝั่ง ]
ในอดีตแมนเชสเตอร์ เป็นเมืองอุตสาหกรรม คนทำงานที่โรงงานผ้าฝ้าย ส่วนลิเวอร์พูลเป็นเมืองท่าเรือ ผู้คนแต่งตัวหรูดูดี เป็นนักบัญชี เป็นนายหน้าของบริษัทประกันภัย ซึ่งทำงานเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าที่ท่าเรือ
1
จึงมีสำนวนที่คนเมืองลิเวอร์พูลชอบพูดกันว่า "Liverpool gentlemen imported cotton, Manchester men made it in to cloth" แปลว่าสุภาพบุรุษจากเมืองลิเวอร์พูลนำเข้าผ้าฝ้าย เอามาให้ผู้ชายจากเมืองแมนเชสเตอร์เอาไปทำเสื้อผ้า
เป็นการเหยียดหยันของคนเมืองลิเวอร์พูล ที่ชอบดูถูกคนแมนเชสเตอร์ว่าเป็นพวกใช้แรงงาน แต่ในเวลาต่อมา เมื่อบทบาทของท่าเรือลดลงไปจากเดิม ลิเวอร์พูลเองก็แปรสภาพจากเมืองท่าเรือ กลายเป็นเมืองอุตสาหกรรมเช่นกัน
ปัญหารุนแรงเกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1980 เมื่อเศรษฐกิจของอังกฤษอยู่ในภาวะฝืดเคือง ขณะที่รัฐบาลเองก็ไม่ยื่นมือมาช่วยเหลืออะไรเมืองลิเวอร์พูล ส่งผลให้โรงงานอุตสาหกรรมต้องปิดตัวหลายแห่ง ผู้คนพากันตกงาน อดอยากหิวโหย ซึ่งตรงข้ามกับแมนเชสเตอร์ ที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ จนผู้คนแมนเชสเตอร์ได้ที มีโอกาสเย้ยหยันคืน
2
เพลงของพาร์ก จี-ซอง ที่ร้องว่า "พาร์ก พาร์ก นายอาจกินหมา ในบ้านเกิดที่เกาหลี แต่ก็ยังดีกว่าพวกสเกาซ์ที่แดกหนูในบ้านเอื้ออารี"
ท่อนตรงนี้ ก็มีที่มาจากการที่คนแมนเชสเตอร์เหยียดหยันคนลิเวอร์พูลว่ายากจน ไม่มีเงินแม้แต่จะซื้อข้าวกิน ต้องกินหนูสกปรกประทังชีวิต และไปใช้ชีวิตอยู่ในบ้านเอื้ออาทร (Social council) นั่นเอง
การเหยียดหยันกันของทั้งสองฝั่ง โดนผลิตซ้ำๆ จากรุ่นสู่รุ่น เยาวชนรุ่นใหม่โตขึ้นมา ก็ซึมซับความเกลียดชังอันนี้ไปโดยปริยาย
[ 3- เรื่องฟุตบอล ]
ที่กล่าวมา ทั้ง 2 ข้อด้านบน ก็เป็นปัจจัยส่งเสริมความเกลียดชัง แต่ในที่สุดแล้ว มันคือเรื่องฟุตบอลเป็นหลัก เพราะถ้าเกลียดกันแค่เรื่องเมืองอย่างเดียว ลิเวอร์พูลก็ต้องเกลียดแมนฯซิตี้ หรือ แมนฯยูไนเต็ดก็ต้องเกลียดเอฟเวอร์ตันด้วยสิ
1
ในเรื่องฟุตบอลนั้น นี่คือการแย่งชิงความยิ่งใหญ่กันของสองทีม ที่ครองแชมป์ลีกสูงสุดมากสุดในอังกฤษ ย้อนกลับไปในยุคก่อนพรีเมียร์ลีกจะก่อตั้ง ลิเวอร์พูลคือทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่มีใครสู้พวกเขาได้และได้แชมป์ลีกสูงสุดถึง 18 สมัย ซึ่งดูเหมือนจะไม่มีใครไล่ทัน
3
แต่พอแมนฯยูไนเต็ด มีอเล็กซ์ เฟอร์กูสันเข้ามาคุมทีม พวกเขาก็พัฒนาทีมจนแข็งแกร่งมากๆ และได้แชมป์ทุกอย่างที่มีบนโลก โดยเฉพาะลีกสูงสุด สุดท้ายก็ได้แชมป์ 20 สมัย แซงหงส์แดงจนได้
3
ตอนทีมปีศาจแดงได้แชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกๆ แล้วฉลองดีใจกันเกินหน้าเกินตา แฟนหงส์ ทำป้ายผ้าบอกว่า "แมนฯยูไนเต็ด พวกมึงค่อยกลับมาอีกที ตอนได้แชมป์ 18 สมัยนะ"
1
แล้วพอแมนฯยูไนเต็ดได้แชมป์สมัยที่ 18 ก็ทำป้ายเอาคืน บอกว่า "พวกกูมานี่แล้วไง"
1
แถมยังทำป้ายผ้าซ้ำอีกดอกด้วยว่า "ลิเวอร์พูล พวกมึงค่อยมาคุยกับกู ตอนได้แชมป์พรีเมียร์ลีกสักสมัยแล้วกัน" ซึ่งกว่าที่ลิเวอร์พูลจะพลิกกลับมาเป็นแชมป์ได้ก็ต้องรอจนถึงซีซั่น 2019-20 เลยทีเดียว
3
อย่างไรก็ตาม ในรายการถ้วยใบใหญ่ที่สุดของยุโรป ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ลิเวอร์พูลยังเหนือกว่ามาก คว้าแชมป์ไป 6 ครั้ง ส่วนแมนฯยูไนเต็ด ทำได้แค่ 3 ครั้ง ซึ่งจุดนี้ก็เป็นเรื่องที่แฟนลิเวอร์พูลยกมาเย้ยหยันได้เสมอ
1
ท้ายที่สุด อาจมีเรื่องประวัติศาสตร์มาเกี่ยวข้องบ้าง แต่เรื่องในสนามมันชัดเจนที่สุดอยู่แล้ว นี่คือการสู้กันของสองทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศอังกฤษ ศักดิ์ศรีมันค้ำคออยู่
1
บทสรุปในความสัมพันธ์ของ ลิเวอร์พูล กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทั้งสองทีมมีเรื่องให้บลัฟให้โจมตีกัน ไม่มีใครยอมใคร
ถ้าไม่ใช่เรื่องสุดวิสัยจริงๆ อย่างเหตุฮิลส์โบโร่ หรือ เหตุไว้อาลัยโศกนาฏกรรมที่มิวนิค จะไม่มีการญาติดีกันเลย
4
สองทีมนี้ ไม่มีการซื้อขายนักเตะระหว่างกัน คนสุดท้าย คือฟิล คริสนัล ในปี 1964 ผ่านมาแล้ว 57 ปี ยังไม่มีใครข้ามฟากระหว่างสองทีมนี้โดยตรงอีกเลย
ลองคิดดูว่าโดยในช่วง 57 ปีนี้ ทีมที่เกลียดกันสุดๆ อย่างบาร์เซโลน่า กับเรอัล มาดริด ยังซื้อขายนักเตะให้กันมาแล้ว 9 คน แต่ลิเวอร์พูลกับแมนฯยูไนเต็ดไม่มีเลย
1
แน่นอน สองทีมนี้ไม่ขายนักเตะให้กัน แต่จะมีบางเคส ที่ผู้เล่นคนหนึ่งออกจากสโมสรไปแล้ว ไปอยู่ที่อื่นก่อน แล้วค่อยย้ายไปลิเวอร์พูลหรือแมนฯยูไนเต็ด ซึ่งนักเตะที่กล้าทำแบบนั้น ก็จะโดนแฟนบอลทีมตัวเองหมดรักไปโดยปริยาย
3
พอล อินซ์ ออกจากแมนฯยูไนเต็ดในปี 1995 ไปอินเตอร์ มิลาน จากนั้น 2 ปี เขากลับมาอยู่ลิเวอร์พูล ซึ่งก็ทำให้แฟนแมนฯยูไนเต็ดไม่ได้รู้สึกผูกพันอะไรกับอินซ์อีก
เช่นเดียวกับ ไมเคิล โอเว่น ได้บัลลงดอร์กับลิเวอร์พูล ย้ายไปเรอัล มาดริด ไปนิวคาสเซิล ก่อนจะมาอยู่กับแมนฯยูไนเต็ดในช่วงท้ายอาชีพเพื่อแชมป์พรีเมียร์ลีก โอเคว่าเขาอาจจะได้โทรฟี่จริงๆ แต่ความรู้สึกในใจของแฟนหงส์ที่มีต่อโอเว่นก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
2
แม้กระทั่ง กาเบรียล ไฮน์เซ่ เคยออกตัวว่าสนใจอยากย้ายไปลิเวอร์พูล จากสเตตัสฮีโร่ของปีศาจแดง เคยเป็นนักเตะยอดเยี่ยมประจำปีของสโมสร กลายเป็นคนที่แฟนผีแดง ไม่ชอบหน้าไปในพริบตา คือสองทีมนี้ไม่ต้องเฟคว่ารู้สึกดีต่อกัน เกลียดก็บอกว่าเกลียด แช่งก็แช่ง ด่าก็ด่ากันไปเลย
ลิเวอร์พูลมีเพลงด่า "Who the fuck are Man United" ที่ล้อเลียนมาจาก "Glory Glory Man United"
2
ส่วนแมนฯยูไนเต็ด มีเพลง "You'll never get a job" หรือมึงจะตกงานตลอดไป ที่ล้อเลียนชาวเมืองลิเวอร์พูล โดยใช้ทำนองของ "You'll never walk alone"
3
ความเกลียดชังของสองทีมนี้ถูกสร้างซ้ำไปเรื่อยๆ แล้วตอนนี้ไม่ใช่แค่ที่อังกฤษ แต่เป็นทั้งโลก แม้แต่ที่ไทย ยังล้อยังด่ากันแบบสุดตัว
และ เชื่อไหมว่าดีกรีความเกลียดชังของสองทีมนี้ จะคงมีไปเรื่อยๆ ตราบจนชีวิตของแฟนบอลอย่างพวกเราจะตายกันไปข้างเลยทีเดียวล่ะ
1
โฆษณา