Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
TK Read & Share
•
ติดตาม
30 เม.ย. 2021 เวลา 07:01 • หนังสือ
| Read&Share | หนังสือ Why we sleep "นอนเปลี่ยนชีวิต"
หนังสือ : Why we sleep "นอนเปลี่ยนชีวิต"
| รีวิวหนังสือ |
คุณคิดเห็นอย่างไรกับประโยคที่ว่า “อย่าเพิ่งรีบนอน ค่อยไปนอนตอนตายก็ได้...” คนที่พูดประโยคนี้คงเป็นคนที่เห็นความสำคัญของเวลาเป็นอย่างมาก จนไม่อยากเสียเวลาไปกับ “การนอน” แม้แต่วินาทีเดียว ! (ช่างโหดร้ายจริง ๆ)
แต่พนันได้เลยว่า สุดท้ายเขาคนนั้นก็จะต้องไปนอนหลับปุ๋ยเหมือนพวกเราทุก ๆ คนนั่นแหละ ไม่สิ….เหมือนสิ่งมีชีวิตทุก ๆ สปีชีส์บนโลกนี้ต่างหาก ! (ใช่แล้ว รวมถึงพวกแบททีเรียก็ด้วย)
แต่น่าเสียดาย(จริง ๆ ก็ดีแล้วนะ) ที่เราไม่สามารถอดนอนแล้วไปนอนทีเดียวตอนตายได้ แล้วทำไมเราต้องนอนด้วยนะ….?
ในตอนต่อไป TK read&share จะขอแชร์เรื่องราวเกี่ยวกับพฤติกรรมสุดฮิตนั่นก็คือ
“การนอนหลับ” จากการอ่านหนังสือเรื่อง Why we sleep : นอนเปลี่ยนชีวิต ไขความลับสุขภาพด้วยวิทยาศาสตร์แห่งการนอน
- ผู้เขียน : Mathew Walker
- ผู้แปล : ลลิตา ผลผลา
- สำนักพิมพ์ : บุ๊คสเคป
ซึ่งมีเนื้อหาโดยรวมเพื่อตอบคำถามที่ว่า “ทำไมเราต้องนอน (ตามชื่อหนังสือเลย)” โดยเราจะนำเนื้อหาบางส่วนที่น่าสนใจในหนังสือเล่มนี้มาแชร์ให้คุณอ่านกัน 🙂
หนังสือมีทั้งหมด 16 บท แบ่งออกเป็น 4 ภาค รวมทั้งหมด 503 หน้า (ไม่เบาเลย) เนื้อหาอ่านไม่ยากจนเกินไป จะออกแนววิทยาศาสตร์ + อ้างอิงผลการวิจัยต่าง ๆ และยังมีการสอดแทรกอารมณ์ขันด้วย นอกจากนี้หนังสือเล่มนี้ยังเป็น 1 ใน 5 หนังสือที่ บิล เกตส์ แนะนำในปี 2019 อีกด้วยนะ
1
สำหรับใครที่ชอบแนววิทยาศาสตร์และสนใจหามาอ่านกันก็ขอแนะนำเลย +++ (ห้ามพลาด)
รับรองว่าคุณจะนอนหลับอย่างมีความสุขขึ้นอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว
ทำไมเราต้องนอน ?
"เนซึโกะจัง" จากอนิเมะเรื่องดาบพิฆาตอสูร เป็นตัวละครที่หลาย ๆ คนชื่นชอบในความน่ารักน่าชังของเธอ และเธอก็เป็นอสูรที่มีความพิเศษอย่างหนึ่งนั่นก็คือ เธอไม่ดื่มเลือดมนุษย์เหมือนอสูรตนอื่น ๆ แต่เธอจะใช้ “การนอนหลับ” เพื่อฟื้นฟูร่างกายและความหิวแทน (สำหรับใครยังไม่เคยดูสามารถไปหาดูได้นะ)
นอกจากเนซึโกะจังแล้ว "มนุษย์" ก็สามารถ “นอนหลับ” เพื่อฟื้นฟูร่างกายได้อย่างเหลือเชื่อ ไม่ใช่แค่การฟื้นฟูทางร่างกายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงระบบที่ซับซ้อนอย่างเช่น จิตใจ อารมณ์ และความคิด
ธรรมชาติสร้างกลไกการนอนหลับขึ้นมาไม่ใช่เพียงเพื่อทำหน้าที่อนุรักษ์พลังงาน แต่ยังรวมถึงการทำงานในรูปแบบอื่น ๆ ที่ซับซ้อนและยากที่จะหยั่งถึง ซึ่งมีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่การนอนหลับนั้นกินเวลาของเราโดยเฉลี่ยถึง 1 ใน 3 ของชีวิต (สมมติถ้าคุณมีอายุขัย 90 ปี คุณจะใช้เวลาประมาณ 30 ปี ไปกับการนอนหลับ)
1
"การนอนหลับส่งผลดีต่อร่างกายอย่างมหาศาล" แต่ในทางกลับกัน "การนอนหลับไม่เพียงพอก็ส่งผลเสียต่อร่างกายอย่างมหาศาลเช่นกัน" แม้ว่าจะลดเวลานอนลงเล็กน้อยเป็นเวลาติดต่อกันเพียง 1 สัปดาห์ ก็สร้างความปั่นป่วนให้ระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างร้ายแรง จนมีภาวะก่อนเบาหวาน (pre-diabetes) ได้ และส่งผลให้หลอดเลือดหัวใจเปราะและอุดตัน รวมถึงลดความมั่นคงทางอารมณ์และความคิด (อารมณ์เสียง่าย) และอื่น ๆ อีกสารพัด
1
ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเชื่อว่าหลายคนก็คงทราบกันดีอยู่บ้างแล้วในประเด็นของการนอนหลับกับสุขภาพ แต่ก็น่าแปลกใจที่เรามักฝ่าฝืนกระบวนการอันสำคัญนี้ไปอย่างง่ายดาย เพื่อแลกกับกิจกรรมบางอย่าง เช่น การโต้รุ่งอ่านเนื้อหาที่จะต้องสอบในวันรุ่งขึ้นถึงแม้ว่าอ่านไปก็ทำไม่ได้อยู่ดี
สรุป “การนอนหลับเป็นสิ่งที่มีประสิทธิภาพสูงสุดเพียงอย่างเดียวที่เราทำได้เพื่อตั้งค่าสุขภาพของสมองและร่างกายใหม่ในแต่ละวัน และเป็นความพยายามต้านความตายอย่างดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาของธรรมชาติ”
เพราะฉะนั้น อย่าละเลยการนอนหลับหล่ะ เนซึโกะจังคงไม่ปลื้มแน่ ๆ
2
การนอนเกี่ยวข้องกับความจำอย่างไร ?
"พรุ่งนี้จะสอบแล้วทำยังไงดีอ่านหนังสือยังไม่ถึงไหนเลย…" ในช่วงวัยเรียนของใครหลายคนอาจพบกับปัญหาดังกล่าวมาบ้าง (โดยเฉพาะช่วงมหาลัย) และแน่นอนว่านั่นเป็นช่วงเวลาแห่งความเครียดช่วงหนึ่งในชีวิตวัยรุ่นเลยหล่ะ ความเครียดดังกล่าวกระตุ้นสมองให้เกิดตัวเลือกว่า “จะสู้ หรือ จะหนี” (fight or flight) ในสถานะการณ์ดังกล่าวอาจหมายถึง “จะอ่าน หรือ จะเท” นั่นเอง
สำหรับบางคนที่ถือคติ “อ่านก็ A เท ก็ B” คงไม่มีปัญหากับเรื่องนี้นัก แต่สำหรับคนที่ถือคติ “ถึงอ่านก็ไม่ A แต่จะเทก็คง F” คงจะตัดสินใจลำบากพอสมควร แต่หลายคนเลือกที่จะสู้ต่อไป ด้วยการถวายช่วงเวลาแห่งการนอนเพื่อแลกกับการอ่านหนังสือโต้รุ่ง จากนั้นก็ไปสอบด้วยความรู้ที่เต็มเปี่ยม และความหวังที่จะสอบได้คะแนนดี ๆ แต่เมื่อเห็นข้อสอบก็ต้องกุมขมับแล้วบอกตัวเองว่า “รู้งี้เอาเวลาไปนอนดีกว่า”
ทั้ง ๆ ที่อ่านหนังสือไปทั้งคืนแท้ ๆ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นหล่ะ ? นั่นก็เพราะว่า “การนอน” ส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการจำของเราเป็นอย่างมาก
ขณะตื่นสมองเรารับชุดข้อมูลต่าง ๆ จากภายนอกมามากมาย(ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม) ซึ่งสมองในส่วนที่มีชื่อว่า ฮิปโปแคมปัส ทำหน้าที่เป็นแหล่งกักเก็บความจำที่รับเข้ามานี้ไว้ชั่วคราวและยังมีพื้นที่จำกัด ดังนั้นเป็นไปได้ยากมากที่เราจะจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ครบถ้วนขณะที่ตื่นตลอดทั้งวันทั้งคืน (เปรียบเหมือนน้ำเต็มแก้ว เติมเท่าไหร่ก็ล้นออกมา มิหนำซ้ำแก้วอาจจะรั่วอีกด้วย) ทำให้คนที่อดนอนนั้นจะมีประสิทธิภาพในการเรียนรู้และการจำที่ลดลงอย่างมาก
แล้วทำอย่างไรถึงจะเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้และการจำของเราให้ดีขึ้น ?
1.) การนอนก่อนการเรียนรู้ หากเราได้นอนเต็มอิ่มในคืนก่อนหน้า หรือแม้กระทั่งงีบหลับมาก่อน จะเกิดกระบวนการโอนย้ายความจำจากแหล่งเก็บความจำระยะสั้น(ฮิปโปแคมปัส) ไปยังแหล่งเก็บความจำระยะยาวที่คงทนถาวร (คอร์เทกซ์) ซึ่งทำให้ฮิปโปแคมปัสมีพื้นที่ว่างรองรับสำหรับการเรียนรู้ใหม่ ๆ
2.) การนอนหลังการเรียนรู้ หากเราเรียนรู้ขณะตื่นมาอย่างหนักหน่วงแล้ว การนอนหลับอย่างเพียงพอ จะทำหน้าที่กดปุ่ม "save" สิ่งที่เราเรียนรู้ขณะตื่นไปยังแหล่งเก็บข้อมูลระยะยาว (ฮิปโปแคมปัสไปยังคอร์เทกซ์) เมื่อเราตื่นขึ้นมาก็จะพบว่าสมองพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น และยังสามารถจดจำสิ่งที่เคยเรียนรู้ไปก่อนหน้านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
นอกจากนี้ การนอนหลับยังช่วยให้ร่างกายส่วนอื่น ๆ นอกจากสมองสามารถจดจำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ เช่น เมื่อคุณฝึกเล่นกีตาร์มาทั้งวันพบว่ายังเล่นได้ไม่ค่อยคล่องเลย แต่พอคุณนอนหลับไปอย่างเต็มอิ่มและตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ อยู่ดี ๆ คุณดันเล่นกีตาร์ได้คล่องแคล่วอย่างกับปาฏิหาริย์
1
สรุป หากต้องการเรียนรู้หรือจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น คุณไม่ควรอดนอนในคืนก่อนหน้าหรืออาจงีบหลับซักหน่อยก็ได้ และควรเรียนรู้ฝึกฝนสิ่งนั้นให้มาก จากนั้นก็นอน ZzZzZz
การนอนเกี่ยวข้องกับอารมณ์อย่างไร ?
"ทำไมวันนี้อารมณ์ไม่ค่อยดีเลย ขึ้นแล้วลงไม่ได้…." บางครั้งเราอาจจะสังเกตเห็นตัวเองหรือคนรอบข้างที่มีพฤติกรรมแปลกไปจากเดิม (หรือบางคนอาจจะเป็นบ่อย ๆ) นั่นก็คือ วันนี้ดูอารมณ์เสียง่ายนะ โดนสะกิดอะไรนิดหน่อยก็รู้สึกเฟล หงุดหงิด อารมณ์ฉุนเฉียวโดยไม่ทราบสาเหตุ ที่แย่กว่านั้นก็คือเอาความหงุดหงิดไป
เหวี่ยงใส่คนอื่นอีกด้วย
บางทีอาจจะเริ่มต้นด้วยคำถามที่ว่า “เมื่อคืนนอนหลับเพียงพอหรือเปล่า ?” เพื่อหาสาเหตุของพฤติกรรมที่ไร้ซึ่งเหตุผล และนั่นเป็นคำถามที่ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว เพราะการนอนหลับไม่เพียงพอเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราอารมณ์เสียง่าย ซึ่งหลายคนคงทราบดีอยู่แล้ว
โครงสร้างหนึ่งของสมองที่มีชื่อว่า “อะมิกดาลา (amygdala)” เป็นจุดสำคัญที่คอยกระตุ้นอารมณ์รุนแรง เช่น อารมณ์โกรธและฉุนเฉียว รวมถึงเกี่ยวข้องกับการตอบสนองแบบ “สู้ หรือ หนี (fight or flight response)” และสมองในส่วน “คอร์เทกซ์กลีบหน้าผากส่วนหน้า” ที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการคิด การตัดสินใจอย่างมีเหตุผล โดยปรกติสมองสองส่วนนี้จะทำงานเชื่อมโยงกันเพื่อจัดระเบียบสมดุลของอารมณ์
ซึ่งจากการวิจัยพบว่า การนอนไม่เพียงพอหรืออดนอนจะส่งผลให้การทำงานของสมองส่วนคอร์เทกซ์กลีบหน้าผากส่วนหน้าลดลง ทำให้คนที่นอนไม่เพียงพอหรืออดนอนมีปฎิกิริยาทางอารมณ์เพิ่มขึ้นโดยขาดความยับยั้งชั่งใจ เปรียบสเมือนว่า อะมิกดาลา เป็นคันเร่ง (อารมณ์) และ คอร์เทกซ์กลีบหน้าผากส่วนหน้า เป็นเบรก (การยับยั้งชั่งใจ) การอดนอนก็เหมือนคนที่ขับรถมาด้วยความเร็วสูงและเบรกแตกนั่นเอง
นั่นหมายความว่าถ้าเราอดนอนเพียงคืนเดียวสมองของเราก็ย้อนกลับไปมีรูปแบบที่ไร้การควบคุมเหมือนยุคดึกดำบรรพ์ และไม่สามารถควบคุมการแสดงออกของพฤติกรรมทางอารมณ์ที่ไม่เหมาะสมได้ คนที่ใช้อารมณ์เพียงอย่างเดียวและไม่สามารถควบคุมได้จึงมักถูกเรียกว่า “พวกคนป่าเถื่อน”
นอกจากนี้ การอดนอนยังส่งผลให้สมองเกิดการเหวี่ยงอย่างรุนแรงไปยังปลายขั้วของอารมณ์ทั้งสองด้าน นั่นก็คือ ด้านบวกและด้านลบอย่างสุดโต่ง ซึ่งก่อให้เกิดอารมณ์ลบมาก ๆ หรืออารมณ์บวกมาก ๆ อันเป็นสาเหตุของอาการทางจิตต่าง ๆ เช่น ไบโพลาร์ โรคซึมเศร้า หรือพฤติกรรมการเสพติดยาเสพติด
สรุป การอดนอนหรือนอนไม่เพียงพอเป็นประจำ จะส่งผลร้ายแรงต่อความสามารถในการควบคุมอารมณ์และการใช้เหตุผลของเรา ทำให้หงุดหงิดหรืออารมณ์เสียได้ง่าย ดังนั้นถ้าอารมณ์เสีย ก็สามารถซ่อมง่าย ๆ ได้ด้วยการ “นอนหลับอย่างเพียงพอ” เท่านั้นเอง
การนอนเกี่ยวข้องกับน้ำหนักอย่างไร ?
บางทีคุณอาจสังเกตเห็นว่าหลังจากคุณทำงานมาอย่างเหน็ดเหนื่อยคุณมักอยากกินมากขึ้น (โดยเฉพาะของหวาน) ทั้ง ๆ ที่ทราบดีอยู่แล้วว่ามันจะทำให้น้ำหนักตัวของคุณเพิ่มขึ้นก็ตาม แต่คุณมักไม่อาจต้านทานความอยากเหล่านั้นได้เลยเมื่อคุณรู้สึกอ่อนเพลีย
การนอนไม่เพียงพอในคืนก่อนหน้าจะส่งผลให้คุณมีพลังงานน้อยกว่าปกติเมื่อคุณตื่น และยังทำให้คุณอ่อนเพลียและเหน็ดเหนื่อยได้ง่ายขึ้น ทำให้คุณต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องกินอาหารที่จะให้พลังงาน (น้ำตาล) อย่างเร่งด่วน ซึ่งก็คงหนีไม่พ้นพวกของหวานหรืออาหารอ้วน ๆ เป็นแน่
การนอนหลับน้อยเกินไป จะไปเพิ่มการทำงานของ ”ฮอร์โมนความหิว” ในขณะเดียวกันก็จะไปลดการทำงานของ”ฮอร์โมนความอิ่ม” ส่งผลให้คุณอยากกินอีกแม้จะรู้สึกอิ่มก็ตาม และคุณคงจะทราบดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นตามมา
หากคุณพยายามลดน้ำหนักแต่ไม่นอนให้เพียงพอ น้ำหนักของคุณอาจจะลดลงก็จริงแต่ทว่าน้ำหนักที่ลดลงนั้นไม่ได้มาจากส่วนของไขมัน แต่เป็นมวลกล้ามเนื้อที่ลดลงไปต่างหาก นอกจากนี้ยังส่งผลให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรีได้ลดลงและมีไขมันสะสมมากขึ้น (ซึ่งตรงกันข้ามกับจุดประสงค์ของการลดน้ำหนัก) นั่นจะทำให้คุณดูเหมือนคนผอมแห้งแรงน้อยมากกว่าจะแข็งแรงหุ่นดี
1
สรุป การนอนหลับไม่เพียงพอจะส่งผลให้คุณมีความอยากอาหารมากเกินจำเป็น ระบบการเผาผลาญแย่ลง อันเป็นเหตุให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นอย่าละเลยการนอนหลับเป็นอันขาด ถ้าคุณไม่อยากเป็น “คนหุ่นหมีสุขภาพแย่”
ทำไมเราถึงต้องฝัน ?
เคยสงสัยกันไหมครับว่า “ทำไมเราถึงต้องฝัน ?” และความฝันของเราก็มักเป็นเรื่องราวที่ไม่ค่อยมีเหตุมีผลซะด้วยสิ
การฝันนั้นพบได้มากในการนอนหลับในช่วง REM (rapid eyes movement) ซึ่งเกิดขึ้นมากในช่วงก่อนรุ่งเช้า และการนอนหลับช่วง REM นั้น สมองในส่วนคอร์เทกซ์ซึ่งควบคุมตรรกะ การคิดเชิงเหตุผล จะถูกระงับการใช้งานไปชั่วคราว แต่สมองในส่วนอะมิกดาลาซึ่งควบคุมอารมณ์นั้นยังทำงานอย่างขยันขันแข็ง นี่เป็นเหตุผลที่เราฝันในเรื่องที่ไม่ค่อยสมเหตุสมผลนัก แต่ความรู้สึก อารมณ์ ในฝันของเรานั้นช่างดูสมจริงเหลือเกิน (เช่น ฝันว่าวิ่งหนีผี ก็จะรู้สึกว่าเหนื่อยและกลัว)
และที่สำคัญคือ เมื่อเราฝันร่างกายจะระงับเส้นประสาทกล้ามเนื้อและทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว เพื่อป้องกันไม่ให้เราขยับร่างกายในโลกแห่งความจริงไปตามความฝันด้วย หรือเราเรียกว่า การละเมอนั่นเอง ซึ่งการละเมอจะเกิดขึ้นเมื่อเส้นประสาทร่างกายไม่ได้ถูกระงับไว้เมื่อเราฝัน (มักเกิดกับเด็ก ผู้สูงอายุ และคนทั่วไปที่นอนหลับไม่สนิทหรือเปลี่ยนที่นอน)
"เวลาสามารถเยียวยาทุกบาดแผล" เป็นคำปลอบใจที่หลายคนคงเคยได้ยินมาบ้าง ซึ่งก็เป็นความจริงเพียงแต่ต้องเพิ่งคำนิดหน่อยเป็น “เวลานอนเยียวยาวทุกบาดแผล” ถึงจะถูกต้องสมบูรณ์
การฝันในระหว่างการหลับช่วง REM เป็นการบำบัดยามค่ำคืนรูปแบบหนึ่ง คือจะดึงเอาความรู้สึกเจ็บปวดไปจากเหตุการณ์ที่ยากลำบาก สะเทือนอารมณ์ในวันนั้น พร้อมกับมอบความมั่นคงทางอารมณ์เมื่อเราตื่นนอนในเช้าวันต่อมา โดยการฝันจะช่วยลดฮอร์โมนแห่งความเครียดที่เรียกว่า นอร์อะดรีนาลีน (noradrenaline) ภายในสมอง ทำให้เราเครียดน้อยลงตอนตื่นนอน
1
ทฤษฎีการบำบัดยามค่ำคืนของกระบวนการหลับฝันในช่วง REM มีจุดประสงค์อยู่ 2 อย่างนั่นก็คือ
1) นอนหลับเพื่อ จดจำ รายละเอียดประสบการณ์ใหม่ที่ได้รับและรวมเข้ากับความรู้ประสบการณ์เดิมที่มี
2) นอนหลับเพื่อ ลืม หรือสลายอารมณ์รุนแรงอันเจ็บปวดและอยู่เหนือเหตุผล ที่เคยห่อหุ้มความทรงจำเหล่านั้นไว้ก่อนหน้านี้
ดังนั้น เมื่อเรานึกถึงเหตุการณ์เก่า ๆ ที่เคยเกิดอารมณ์รุนแรงในอดีต ปัจจุบันเราจะยังจำเหตุการณ์นั้น ๆ ได้ เพียงแต่อารมณ์ ณ เหตุการณ์นั้น ๆ จะหายไปหรือลดน้อยลง ซึ่งเปรียบเหมือนการบำบัดทางจิตใจนั่นเอง
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านบทความของเรา ถ้าหากมีข้อแนะนำหรืออยากแลกเปลี่ยนความคิดเห็นก็สามารถคอมเมนต์มาได้เลย :)
สามารถติดตามเราเพิ่มเติมได้จาก
Facebook Page:
facebook.com
TK Read & Share
TK Read & Share. 77 likes · 41 talking about this. เพราะเราชอบอ่าน จึงอยากแบ่งปันสาระน่ารู้และเรื่องราวที่น่าสนใจให้กับทุกคน
15 บันทึก
11
2
7
15
11
2
7
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย