3 พ.ค. 2021 เวลา 07:54 • ประวัติศาสตร์
ซามูไรจี้เครื่องบิน
"มึง เบื่อว่ะ อยากย้ายไปอยู่ประเทศอื่น"
ประโยคสั้นๆ อันบ่งบอกถึงความเบื่อหน่ายสิ่งรอบตัวจนเต็มประดานี้ ถูกพูดกันมากขึ้นเรื่อยๆ ในสังคมยุคปัจจุบัน
"มึง ประเทศไหนมันก็มีปัญหาเหมือนกันหมดนั่นแหละ"
อีกประโยคซึ่งใช้การได้ดีที่เพื่อนเราชอบพูดเพื่อให้เราผ่อนคลายยามเราทนไม่ไหว อยากหนีไปให้พ้นๆ
บทสนทนาข้างต้น อันที่จริงไม่ใช่เรื่องใหม่ มนุษย์ต่างโหยหาดินแดนแห่งเสรีภาพมาโดยตลอด และมันจะรุนแรงขึ้นต่อเมื่อเสียงของพวกเขาเหล่านั้นไม่เคยได้รับความสนใจจากผู้มีอำนาจ, สังคม และกรอบแห่งจารีต จนถึงจุดหนึ่ง ที่เขาหมดซึ่งความภาคภูมิใจแห่งการเป็นประชาชนของรัฐ และไม่รู้สึกว่าที่นี่คือบ้านอีกต่อไป
ณ จุดนั้นเอง
สิ่งเป็นไปไม่ได้
จึงเริ่มเป็นไปได้
.
.
31 มีนาคม 1970
"ยินดีต้อนรับผู้โดยสารทุกท่านสู่เที่ยวบินภายในประเทศ JAL-351 ค่ะ เราจะใช้เวลาการเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงจากสนามบินโตเกียว-ฮาเนดะ ไปสู่จุดหมายปลายทาง สนามบินฟุกุโอกะ ขอให้ทุกท่านผ่อนคลายไปกับการเดินทางนะคะ"
เสียงหวานๆ ของแอร์โฮสเตสร่างสะองช่วยทำให้บรรยากาศอึมครึมจากการ take-off ดูโอเคขึ้น เครื่องบิน Boeing 727-89 ลอยละล่องอยู่บนท้องฟ้าที่ความสูง 31,000 ฟีต สภาพอากาศปลอดโปร่ง ช่างเป็นวันที่เหมาะแก่การเดินทางยิ่ง
เที่ยวบิน JAL-351 เป็นการเดินทางภายในประเทศญี่ปุ่น มีผู้โดยสารทั้งหมด 122 คน และลูกเรืออีก 7 คน รวมเป็น 129 ชีวิต อันมีภูมิหลังและอาชีพหลากหลาย
แม่บ้านที่กำลังเดินทางไปหาสามีทางภาคใต้, คุณครูโรงเรียนมัธยมไปติดต่องานราชการ, นายแพทย์เดินทางไปเข้าร่วมงานเสวนาวิชาการ, นักศึกษามหาวิทยาลัยกลุ่มหนึ่งที่หยอกล้อกันโครมครามตามประสาวัยรุ่น, คนดังในแวดวงธุรกิจอย่าง Herbert Brill ผู้บริหารระดับสูงของ Pepsi, Shigeaki Hinohora นักฟิสิกส์ชื่อก้องโลกของญี่ปุ่น, บาทหลวง Stephen Hamao ตัวเก็งในการดำรงตำแหน่งอัครสังฆราชในอนาคต รวมถึงมือเบสวงร็อคที่กำลังดังในญี่ปุ่นขณะนั้น โมริอากิ วากาบายาชิ แห่งวง Les Rallizes Denudes ก็ร่วมเดินทางไปด้วยเช่นกัน
เวลา 07:33 น. หลังขึ้นบินมาได้ 20 นาที การเดินทางช่าง smooth as silk จนผู้โดยสารบางส่วนนอนหลับไปด้วยความสบาย ชายหนุ่มวัย 27 ปี นาม ทากามาโร่ ทามิย่า ซึ่งนั่งอยู่แถวหน้าสุดผุดลุกขึ้นและตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า
"ทุกคน อย่าขยับ นี่คือการจี้เครื่องบิน!"
ผู้โดยสารส่วนใหญ่งุนงงและคิดว่าเป็นเรื่องอำกันเล่น อาจเพราะทามิย่ายังดูเด็กเกินกว่าจะเป็นอาชญากร จนกระทั่งชายหนุ่มชักดาบซามูไรยาวบรึ๋ยออกมา ตัวดาบคมกริบและแวววับจนผู้โดยสารมองเห็นชะตากรรมตนเองในใบมีด
"บันไซซซ!"
กลุ่มคนแผดเสียงดังลั่นมาจากทางท้ายเครื่อง สร้างความตื่นตระหนกในผู้โดยสารมากขึ้นไปอีก เอ หรือว่าจะเป็นพลเมืองดีลุกขึ้นมาสู้กับโจรก่อการร้าย?
ผิดถนัด! เสียงนั้นมาจากกลุ่มนักศึกษา 7 คนที่หยอกล้อเล่นกันมาตั้งแต่เครื่องขึ้น ท่าทางดูไม่มีพิษมีภัย ทว่าตอนนี้สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไป นักศึกษาทุกคนชักดาบซามูไรออกมาเช่นเดียวกัน เดินมาด้านหัวเครื่องเพื่อรับคำสั่งจากทามิย่า และมัดผู้โดยสารผู้ชายทุกคนติดกับเก้าอี้
แต่ที่น่าประหลาดใจที่สุดคือ โมริอากิ วากาบายาชิ มือเบสวงร็อคคนดังกลับไม่ถูกมัด เขายืนขึ้นและร่วมจี้เครื่องไปกับกลุ่มโจรด้วย?!
ไม่เกิน 10 นาทีผู้โดยสารผู้ชายก็ถูกมัดจนหมด กลุ่มสลัดอากาศจึงมุ่งหน้าไปยังห้องนักบินที่กำลังแตกตื่นกับเหตุการณ์ ทามิย่าหัวโจกใช้ดาบซามูไรเสียบประตูจนทะลุ พร้อมร้องตะโกนข่มขู่ให้เปิดประตูไม่อย่างนั้นเราจะเชือดผู้โดยสารทีละคน นักบินไม่มีทางเลือกจึงต้องยอมจำนน และเมื่อเข้าควบคุมห้องนักบินได้แล้ว ทามิย่า จึงออกคำสั่งในนามกลุ่ม Japanese Red Army แก่นักบิน
"พาเราไปประเทศคิวบา"
.
ในห้วงปี 1970 ขณะนั้นโลกอยู่ในยุคสงครามเย็นอันร้อนระอุ การต่อสู้ทางความคิดระหว่างเสรีนิยมกับคอมมิวนิสต์แผ่กระจายไปทุกภูมิภาค
ในประเทศญี่ปุ่นก็มีการรวมตัวของเยาวชนหัวรุนแรงที่ได้รับอิทธิพลจากลัทธิเหมาจนเข้าสู่โลกแห่งคอมมิวนิสต์ เพราะสังคมไม่เคยยอมรับความคิด ไม่เคยมีตัวตนในสายตาผู้ใหญ่ รวมกับความคับแค้นใจจนใกล้ปะทุ
เกิดเป็นแนวคิดการขับเคลื่อนสังคมไปในทิศทางที่ตัวเองต้องการด้วยความรุนแรง พวกเขาเรียกตัวเองว่ากลุ่ม "The Japanese Red Army" โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อเปลี่ยนประเทศญี่ปุ่นให้เป็นสวรรค์ของชนชั้นแรงงาน
กลุ่ม JRA ใช้วิธีการรวบรวมคนอย่างลับๆ โดยสมาชิกหลักมาจากนักศึกษาม.โตเกียว และม.เกียวโต เป็นต้นว่า รุ่นพี่ถ้าเห็นน้องคนไหนมีแวว ก็จะมีการหลังไมค์ไปชวนเข้าร่วมกลุ่มทันที ทำให้มีจำนวนสมาชิกเพียงพอสำหรับปฏิบัติการในเวลาไม่นาน
แต่ถึงจะมีใจสู้อย่างไร พวกเขาก็ยังเป็นเพียงเยาวชน ไม่มีความรู้ทางทหาร ไม่มีความรู้ด้านอาวุธ หลังทางกลุ่มประชุมกัน จึงเห็นว่าทางออกของเรื่องนี้คือเราต้องไปฝึกการรบในประเทศคอมมิวนิสต์เพื่อให้มีวิชาแก่กล้า ก่อนเดินทางกลับมาก่อสงครามกองโจรในประเทศญี่ปุ่น
แน่นอน คงไม่มีประเทศใดเหมาะไปกว่าคิวบาภายใต้การนำของฟิเดล คาสโตรในขณะนั้น เมืองแห่งซิการ์นี้จะเป็นดั่งสวรรค์ของสหาย กลางวันฝึกทหาร และผ่านค่ำคืนอันยาวนานด้วยเครื่องดื่มโมฮิโต้
"แล้วพวกเราจะไปคิวบาอย่างไรล่ะ?"
สหายคนหนึ่งในกลุ่มโพล่งขึ้นมา ซึ่งมันเป็นคำถามที่ดีทีเดียว เพราะทุกคนยังเป็นเยาวชน ไม่ได้มีเงินเพียงพอจะนั่งเครื่องบินข้ามโลกไปยังอเมริกากลาง
"ในเมื่อเราไม่มีตังค์นั่งเครื่องบิน เราก็จี้เครื่องบินมันซะเลย!"
ทุกคนเห็นด้วยกับแผนการสุดระห่ำนี้และเข้าใจดีถึงอันตราย มันจะเป็น One way ticket คือมีแต่ตั๋วไปไม่มีตั๋วกลับอย่างแน่นอน กระนั้น มันก็เป็นการประกาศกร้าวให้โลกรู้ว่ากลุ่ม Japanese Red Army คือของจริง และคาดหวังให้เหล่าสหายในชาติอื่นเกิดกำลังใจ ลุกฮือขึ้นมาเช่นเดียวกัน
หลังจากวางแผนกันอย่างรัดกุม JRA ก็พบกับบททดสอบแรก คือหัวหน้าใหญ่นาย ชิโอมิ ทากายะ ดันมาโดนจับก่อนจี้เครื่องบินไม่กี่วันจากการสมรู้ร่วมคิดในแผนการโคตรบ้าอีกแผนหนึ่ง คือการลักพาตัวนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นไปเรียกค่าไถ่ ทิ้งให้ JRA กลายเป็นมังกรไร้หัว ก่อนที่ ทากามาโร่ ทามิย่า จะก้าวขึ้นมารับบทผู้นำ ดำเนินการตามแผนต่อไป
และด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ค่อนข้างหละหลวมเมื่อ 50 ปีก่อน ทำให้กลุ่ม JRA ลักลอบเอาอาวุธขึ้นไปบนเครื่องบินได้โดยไม่ถูกตรวจจับ
.
"คุณจะบ้าหรอ?! นี่มันสายการบินในประเทศนะ เครื่องเราก็ลำเล็ก น้ำมันก็ไม่พอ ขืนให้เราบินข้ามมหาสมุทรไปคิวบา เราคงไปตกอยู่กลางแปซิฟิคนั่นแหละ"
นักบินโต้แย้งอย่างเผ็ดร้อนแม้จะมีปลายดาบจ่ออยู่ที่คอหอย สลัดอากาศรับฟังและคิดตาม ก่อนจะยอมรับความผิดพลาดว่าพวกเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย
ถึงแม้จะควบคุมเครื่องทั้งลำไว้ได้โดยละม่อม แต่ตอนนี้แรงกดดันกลับมาตกอยู่ที่กลุ่ม JRA ทำให้หัวหน้าทามิย่าต้องคิดหา plan B อย่างเร่งด่วน เวลายิ่งกระชั้นเข้ามา ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก อีกไม่นานก็จะถึงสนามบินฟุกุโอกะแล้ว
เมื่อตรองดูทุกทาง ไม่ว่าอย่างไรเครื่องก็ต้องไปลงจอดที่ฟุกุโอกะเพื่อเติมน้ำมัน แต่สลัดอากาศยังมองในแง่ดี อย่างน้อยพวกเขาก็มีตัวประกัน 122 ชีวิตเอาไว้ต่อรอง หัวหน้าทามิย่าสั่งให้นักบินต่อสายหา นายยามามูระ ชินจิโร่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมทันที
"พวกเราต้องการน้ำมันเต็มถังทันทีที่เราลงจอด ณ สนามบินฟุกุโอกะ และจะต้องไม่มีปฏิบัติการช่วยเหลือตัวประกันโดยเด็ดขาด"
"ถ้าเราให้ตามที่ขอ เราต้องการตัวประกันทั้งหมดลงจากเครื่อง" รัฐมนตรีชินจิโร่สวนทันควัน
"เป็นไปไม่ได้ อย่าลืมสิว่าเราถือไพ่เหนือกว่า เอาอย่างนี้แล้วกัน เราจะปล่อยตัวประกันให้ 23 คน แลกกับน้ำมัน"
"แล้วจะเอาน้ำมันบินไปไหน?" รัฐมนตรีชินจิโร่ถามต่อ
"เปียงยาง, เกาหลีเหนือ"
.
ไฟลท์ JAL 351 ลงจอดที่สนามบินฟุกุโอกะอย่างปลอดภัย ท่ามกลางบรรยากาศอึกทึกครึกโครมของทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ, หน่วยดับเพลิง และกองทัพสื่อมวลชน
เหตุการณ์จี้เครื่องบินครั้งนี้มีชื่อญี่ปุ่นว่า Yodo-Go Hijacking โดยคำว่า Yodo มาจากชื่อเล่นของเครื่องบิน และนับเป็นการจี้เครื่องบินครั้งแรกในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ทำให้ได้รับความสนใจจากประชาชนทั้งประเทศ
และแน่นอน CIA ก็ติดต่อเข้ามาหารัฐมนตรีชินจิโร่เช่นเดียวกัน เพราะมีผู้โดยสารชาวอเมริกันหลายรายอยู่บนเครื่อง เช่น ผู้บริหาร Pepsi และบาทหลวง โดยทาง CIA ต้องการใช้กำลังของหน่วยรบพิเศษเข้าคลี่คลายสถานการณ์ แต่ได้รับคำปฏิเสธจากรัฐมนตรี
จุดมุ่งหมายใหม่ของการเดินทางคือกรุงเปียงยาง, เกาหลีเหนือ โดยกลุ่ม JRA เชื่อมั่นว่าจะได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากประธานาธิบดี คิม อิล ซัง ผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกคอมมิวนิสต์ และถ้าหากปฏิบัติการนี้สำเร็จ จะเป็นการตบหน้ารัฐบาลญี่ปุ่น รวมถึงโลกเสรีนิยมฉาดใหญ่
การเจรจาขณะเครื่องบินอยู่ที่ท่าอากาศยานฟุกุโอกะเป็นไปอย่างเข้มข้น หน่วยรบพิเศษของญี่ปุ่นและสหรัฐเตรียมพร้อมจู่โจมอยู่ไม่ไกล รอเพียงแค่ไฟเขียวจากรัฐมนตรีชินจิโร่ แต่ถึงแม้จะถูกกดดันจากกลุ่มโจรสลัดมากเพียงใด ก็ยังสามารถครองสติและคิดหาแผนสำรองออกจนได้
รัฐมนตรีชินจิโร่ออกคำสั่งให้เข้าไปเติมน้ำมันแก่เครื่องบิน และให้หน่วยรบพิเศษจำนวนหนึ่งไปรอรับผู้โดยสาร 23 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กและคนชราออกมา
การแลกเปลี่ยนเป็นไปอย่างราบรื่น เครื่อง Boeing พร้อมจะขึ้นบิน ตัวประกันยังคงเหลืออยู่บนเครื่อง 97 คน โดยทางสลัดอากาศให้สัญญาว่า ทันทีที่ถึงสนามบินเปียงยาง พวกเขาจะลงจากเครื่องและให้นักบินพาตัวประกันกลับญี่ปุ่นโดยทันที ทุกอย่างฟังดูโอเค วิน-วิน ทั้งสองฝ่าย
แฮปปี้ได้ไม่นานปัญหาต่อไปก็มาถึง เมื่อนักบินทั้งสองคนไม่เคยบินไปเกาหลีเหนือมาก่อน เนื่องจากทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ทางการทูตเข้าขั้นเลวร้าย แล้วจะทำอย่างไรให้ไปถึงเกาหลีเหนือได้ล่ะ?
เหลือเวลาไม่กี่นาทีก่อนจะขึ้นบิน รัฐมนตรีชินจิโร่สั่งให้เจ้าหน้าที่ไปหาแผนที่ประเทศเกาหลีจากแถวๆ สนามบินมาโดยเร่งด่วน ซึ่งก็ได้มาเป็นแผนที่กระดาษแบบลวกๆ ฉีกมาจากหนังสือเรียนเด็กม.ต้นที่ยืนมุงอยู่แถวนั้น และสั่งให้แปะกระดาษแผ่นเล็กๆ เป็นพิกัดคลื่นวิทยุ 121.5 ใช้ในการติดต่อสื่อสารกับหอบังคับการเกาหลีเหนือไว้ด้วย
ผู้เขียนบอกตรงๆ ว่าโอกาสไปถึงที่หมายมีน้อยกว่า 5% ด้วยแผนที่กระดาษใบนั้น และนักบินก็คงคิดแบบเดียวกัน แต่ทำอย่างไรได้ มาถึงจุดนี้แล้วก็ต้องพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อรักษาชีวิตของทุกคนเอาไว้ตามจรรยาบรรณของนักบิน
ฟิ้วววว ... ในที่สุด JAL-351 ก็พุ่งทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้าอีกครั้ง
1
.
นักบินทั้งสองออกบินไปด้วยเหงื่อโทรมกาย ไม่ใช่เพราะอากาศร้อน แต่เพราะนี่คือการบินแบบตาบอดมากที่สุดที่เขาเคยบินมา
ไม่มีเรดาร์, ไม่มีแผนที่ (ดีๆ), ไม่มีการติดต่อจากหอบังคับการณ์ แถมยังต้องบินผ่านเส้น DMZ หรือ Korean Demilitarized Zone ซึ่งเป็นเส้นปลอดทหารเกาหลี เขตแดนแบ่งระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้อีก โดยวัตถุใดๆ ก็ตามที่ข้ามแผ่นดินหรือน่านฟ้าเส้น DMZ เข้าสู่เกาหลีเหนือ จะถูกทำลายทันทีโดยไม่มีการสอบถามก่อน
ชีวิตของทุกคนแขวนอยู่บนเส้นด้ายอย่างแท้จริง
ฟ้าววววว
นักบินทั้งสองคนสังเกตเห็นจุดดำๆ สองจุดจากระยะไกล และค่อยๆ ใหญ่ขึ้น จนเห็นถนัดตา มันคือเครื่องบินรบสองลำนั่นเอง!!
ปัง ปัง ปัง!
เสียงกระสุนปืนกลพาดผ่านตัวเครื่องไปอย่างฉิวเฉียด นักบินและสลัดอากาศก้มหลบกระสุนกันอุดตลุด ผู้โดยสารกรีดร้องกันจ้าละหวั่น ความตายอยู่ใกล้เพียงเอื้อม
ด้วยสติที่ยังมีเหลืออยู่บ้าง กัปตันเริ่มจูนคลื่นวิทยุด้วยมืออันสั่นเทาเพื่อพูดคุยกับหอบังคับการของเกาหลีเหนือ ขออนุญาตเอาเครื่องลงจอด
หลังจากพูดคุยกันสักพัก ทางการเกาหลีเหนือก็อนุมัติให้ลงจอดได้ โดยให้เครื่องบินรบสองลำก่อนหน้านี้ประคองปีก JAL-351 มาจนถึงสนามบินเปียงยาง ยังความปีติแก่ทุกคนบนเครื่อง
ผู้โดยสารบางคนร่ำไห้ด้วยความดีใจ ในขณะที่บางคนก็ยังวิตกกังวลกับการแลนดิ้ง เพราะอย่างที่ทราบกัน เกาหลีเหนือนั้นเกลียดคนญี่ปุ่นและอเมริกันยิ่งกว่าอะไรทำให้นี่ไม่ต่างจากการลงจอดในถ้ำเสือ ตรงกันข้ามกับเหล่าสลัดอากาศที่ดูจะเก็บอาการลิงโลดไว้ไม่อยู่
ไม่นานเครื่องบินก็ลงจอดด้วยความนิ่มนวล สลัดอากาศเปิดหน้าต่างออกไปดูภายนอกก็ต้องตกใจเมื่อเห็นขบวนพาเหรดมารอต้อนรับกันอย่างมืดฟ้ามัวดิน มีการตกแต่งสนามบินเปียงยางไปด้วยธงชาติเกาหลีเหนือและธงชาติญี่ปุ่นเคียงคู่กัน เด็กนักเรียนร้องเพลงชาติเกาหลีเหนืออย่างงูๆ ปลาๆ จนฟังไม่ได้ความ ทุกอย่างเสมือนความฝันสำหรับสหายน้อย
บนลานบินเต็มไปด้วยทหารในยูนิฟอร์มของเกาหลีเหนือเต็มยศ บางคนเนี้ยบ บางคนไม่เรียบร้อย แต่ก็พอเข้าใจเพราะเป็นกรณีฉุกเฉิน เมื่อล้อหยุดหมุน ก็มีเสียงประกาศออกลำโพงดังลั่น
"ยินดีต้อนรับสหายชาวญี่ปุ่นทุกท่านสู่กรุงเปียงยาง เราจะดูแลพวกท่านเยี่ยงวีรบุรุษ"
สลัดอากาศนักศึกษาทยอยเดินออกจากเครื่องบินทีละคนด้วยความสุขล้น มีเพียงหัวหน้าทามิย่าเท่านั้น ที่รู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก...
"พวกเรา กลับขึ้นเครื่องมาให้หมด ปิดประตูหน้าต่างทุกบานเดี๋ยวนี้!"
หัวหน้าทามิย่า ออกคำสั่งด้วยการตวาดเสียงดังลั่น
ปรากฏว่า ก่อนที่จะลงจากเครื่อง มีแอร์โฮสเตสของเกาหลีเหนือขึ้นมาต้อนรับบนเครื่องบินและเชิญสลัดอากาศลง ในตอนนั้นเองที่หัวหน้าทามิย่าเริ่มเอะใจ และด้วยความรู้รอบตัวว่าคนเกาหลีเหนือทุกคนจะต้องพกรูปของผู้นำสูงสุด ท่านคิม อิล ซังไว้กับตัวตลอดเวลา ทามิย่า จึงเอ่ยปากถามจากแอร์โฮสเตสว่ามีรูปไหม แต่สิ่งที่ได้มา กลับเป็นอาการอึกอักและตอบว่าไม่มี
จากนั้นทามิย่ามองไปรอบๆ เขาไม่เห็นภาพของท่านผู้นำสูงสุดเลยโดยรอบสนามบิน ซึ่งค่อนข้างผิดวิสัย และเมื่อเขาเหลือบไปเห็นทหารในกองเกียรติยศ ก็สังเกตว่าการแต่งกายไม่ค่อยเรียบร้อย ด้วยข้อมูลเหล่านี้ ก็มากเพียงพอให้เขาสรุปได้ว่า
ที่นี่หาใช่กรุงเปียงยางไม่ หากแต่เป็นสนามบินสักแห่งในเกาหลีใต้ต่างหาก!
.
แน่นอนครับ นี่เป็นปฏิบัติการที่ร่วมมือกันระหว่าง 3 ชาติ คือญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และเกาหลีใต้
โดยเริ่มจาก รัฐมนตรีชินจิโร่ โทรสายตรงไปหาประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ปาร์ก จุง ฮี แจ้งเรื่องการจี้เครื่องบินและขอใช้สนามบินกิมโป (Gimpo Airport) เป็นสนามบินลงจอดฉุกเฉินเพื่อคลี่คลายสถานการณ์
ประธานาธิบปาร์ก ลังเลอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะตอบรัฐมนตรีชินจิโร่ว่า
"ได้ แต่หลังจากนี้ถ้าเครื่องบินจะออกจากสนามบินเราไป เราต้องแน่ใจว่าบนเครื่องไม่มีตัวประกันเหลืออยู่ เราจะไม่ยอมให้เกาหลีเหนือได้ตัวประกันไปในดินแดนของตน เพราะเกาหลีเหนืออาจใช้เป็นข้อต่อรองกับเกาหลีใต้ในอนาคต ถ้าไม่ตกลงตามนี้ ก็เตรียมพบกับหน่วยรบพิเศษเราได้เลย"
สถานการณ์เริ่มยุ่งยากมากขึ้น ตอนนี้มีชาติที่เกี่ยวข้องถึง 4 ชาติ และก็เป็นทางฝั่ง CIA ที่เสนอแผนการประหลาดมาในที่ประชุม
คือการเปลี่ยนสนามบินกิมโป ให้เป็นสนามบินเปียงยางเสียเลย เพื่อล่อให้สลัดอากาศออกมาจากเครื่อง แต่ความยากคือ พวกเขามีเวลาเพียง 2 ชั่วโมงในการตระเตรียมงานทั้งหมด
เริ่มจากให้นักบินติดต่อกับการท่าของเกาหลีใต้ผ่านทางคลื่น 121.5 ที่นักบินเข้าใจว่าเป็นทางการของเกาหลีเหนือ ตามด้วยส่งเครื่องบินรบขึ้นไปสองลำ แสร้งทำเป็นยิงขู่ใส่ JAL-351 เพื่อให้สลัดอากาศตายใจ ก่อนจะพยุงปีกมาลงที่สนามบินกิมโป ซึ่งได้รับการตกแต่งอย่างสวยภายในเวลาอันสั้น
2
ก็ต้องบอกว่าเป็นแผนที่เหนือชั้นและได้พยายามเต็มที่แล้วจริงๆ สำหรับชาติพันธมิตร แม้ท้ายที่สุดแผนการจะล้มเหลว และด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ทุกอย่างกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง
การเจรจารอบใหม่เริ่มต้นขึ้น ฝ่าย JRA สูญสิ้นความไว้ใจทั้งหมดไปแล้ว ทำให้การพูดคุยยากขึ้นหลายเท่าตัว ทางเกาหลีใต้ก็ยังคงยืนยันว่าจะต้องปล่อยตัวประกันทั้งหมดก่อน แน่นอนดีลนี้ถูกปฏิเสธทันควัน เพราะ JRA มองว่าเครื่องบินเปล่าก็ไม่ต่างอะไรกับเป้านิ่ง
จากใจเย็น ไปสู่โทสะ สลัดอากาศเริ่มใช้น้ำเสียงแข็งกระด้าง เช่นเดียวกับฝ่ายพันธมิตรที่ยื่นคำขาดให้ปล่อยตัวประกัน และทันใดนั้นเอง
พรึ่บ!
ไฟทั้งเครื่องบินก็ดับลง มันถูกตัดโดยหน่วยรบพิเศษอย่างแน่นอน ผู้โดยสารสวดภาวนากันระงม ตอนนี้สิ่งที่น่ากลัวที่สุด หาใช่การไปเปียงยางกับ JRA ไม่ แต่เป็นการบุกชาร์จของหน่วยรบพิเศษเกาหลีใต้ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความเฉียบขาด ไร้ปราณี มากกว่า แน่นอน การสูญเสียเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ในสถานการณ์แบบนี้
ผู้โดยสารบางคนพยายามอ้อนว้อน JRA ให้อ่อนข้อลง พูดกับเขาดีๆ หน่อย เพราะตอนนี้มีเพียงเส้นบางๆ ระหว่างการได้กลับบ้านไปหาครอบครัว หรือตายคาเบาะเพราะคมกระสุนของหน่วยรบพิเศษ
ทุกนาทีคือชีวิต ในห้องโดยสารเงียบกริบจนได้ยินเสียงหัวใจของคนข้างๆ
.
"เราจะยอมปล่อยผู้โดยสารทั้งหมด โดยแลกกับชีวิตของรัฐมนตรีชินจิโร่เป็นตัวประกัน
นี่คือข้อเสนอสุดท้ายของเรา หากไม่ทำตามนี้ เราพร้อมตายกับผู้โดยสารทุกคน"
ซามูไรอากาศ JRA ยื่นข้อเสนอสุดท้ายให้ชาติพันธมิตรพิจารณา ซึ่งไม่นานก็ได้รับการตอบรับ
"ตกลง ฉันจะยอมเป็นตัวประกันเดินทางไปกรุงเปียงยางกับพวกนายเอง"
ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมาก ตัวประกันทั้งหมดถูกปล่อยออกมาทีละคน เด็กหนุ่มสลัดอากาศหลายคนตัวสั่นเทา กลัวว่าจะถูกจู่โจม พวกเขามีแค่ดาบซามูไร ในขณะที่อีกฝั่งมีอาวุธครบมือ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาก็เป็นเพียงเด็กมหาลัยที่อยากย้ายประเทศอยู่ พร้อมกับอุดมการณ์อันตั้งมั่นเท่านั้นเอง
เวลาแต่ละนาที ยาวนานเหมือน 1 ปีสำหรับ JRA ตอนนี้รัฐมนตรีชินจิโร่อยู่บนเครื่องแล้ว และนั่งตรงข้ามประจันหน้ากับ หัวหน้าทากามาโร่ ทามิย่าโดยตรง ทั้งสองเริ่มพูดคุยกัน แต่ยังไม่มีวี่แววว่าล้อเครื่องบินจะหมุน
สลัดอากาศคนอื่นๆ เริ่มสติแตกว่าทำไมถึงยังไม่ออกบินเสียที บ้างก็ร้องไห้ จนเพื่อนต้องเข้ามาช่วยปลอบ และในที่สุด
เวลา 18:10 น. เครื่องบิน Boeing 727 ก็ทะยานสู่ท้องฟ้า มุ่งหน้าสู่สนามบินเปียงยาง
.
.
ไม่น่าเชื่อว่าเหตุการณ์จี้เครื่องบิน Yodo-go Hijacking จะจบลงโดยปราศจากการสูญเสีย
กลุ่ม JRA แลนดิ้งที่สนามบินเปียงยางโดยสวัสดิภาพ และได้รับการต้อนรับอย่างดีตามที่หวังไว้จากรัฐบาลเกาหลีเหนือ เด็กหนุ่มทั้ง 9 ถูกยกให้เป็นวีรบุรุษ และท่านผู้นำคิมก็จัดบ้านพักสุดหรูไว้ให้อยู่ริมแม่น้ำ
แม้ว่าชะตากรรมหลังจากนั้นของชาวญี่ปุ่นในเกาหลีเหนือจะเป็นไปด้วยความหลากหลาย บางคนก็ดีมียศมีตำแหน่งในกองทัพเกาหลีเหนือ บางคนก็แย่ ถูกบังคับให้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย แต่ก็ถือว่าเป็นการเดินทางที่โลดโผนและเป็นการจี้เครื่องบินที่ประสบความสำเร็จครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์
3
รัฐมนตรีชินจิโร่เดินทางกลับญี่ปุ่นในฐานะวีรบุรุษ จากเหตุการณ์นี้เเองทำให้ชื่อเสียงของเขาขจรขจาย ยังผลให้ได้รับตำแหน่งสำคัญอีกหลายตำแหน่งในกาลต่อมา
1
.
ท่านผู้อ่านครับ เรื่องนี้เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสำหรับบางคน คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก
เมื่อเราไม่รู้สึกภาคภูมิใจในฐานะประชากรของรัฐแล้ว มันก็ยากนักที่จะรั้งให้เราอยู่ สิ่งสำคัญคือตัวรัฐเองจะต้องปกครองด้วยความยุติธรรมแก่ทุกฝ่าย สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ว่าเสียงเขาของจะถูกได้ยิน แม้ว่ามันอาจจะไม่น่าฟังสำหรับผู้มีอำนาจก็ตาม
การใช้กำลังเข้าปราบปรามไม่เคยเป็นผลดีแก่ฝ่ายใด การนั่งคุยกันด้วยใจที่เปิดกว้างต่างหาก คือการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน
ไม่เช่นนั้นแล้ว มันก็เหมือนตัดสายชนวนของระเบิดให้มันสั้นลงจนเกิดสภาวะ
ไปตายเอาดาบหน้า
ดีกว่าความอิสระจอมปลอม
.
เกร็ดเล็ก: ชาวแก๊ง JRA ไม่เคยได้เดินทางไปต่อยังประเทศคิวบาอย่างใจหวัง ถูกกักตัวอยู่แต่ในเกาหลีเหนือและห้ามเดินทางออกนอกประเทศตลอดชีวิต
เกร็ดน้อย: สมาชิกส่วนใหญ่อยู่สบายตามอัตภาพในเกาหลีเหนือ จะมีก็แต่บางคนที่ทำผิดกฏหมายและต้องโทษประหารชีวิต
กาลต่อมาท่านผู้นำคิมเล็งเห็นว่าควรจะหาภรรยามาให้ชายหนุ่มเหล่านี้เสียหน่อย จึงใช้วิธีการล่อลวงหญิงสาวชาวญี่ปุ่นให้มาทำงานในเกาหลีเหนือ และกลายมาเป็นภรรยาของบรรดาชายหนุ่มจนมีลูกมีหลานสืบทอดในเกาหลีเหนือมาอีกหลายชั่วอายุคน
ปัจจุบันมีชาวญี่ปุ่นลูกหลานของ JRA อยู่ในเกาหลีเหนือประมาณ 30 คน
- Xyclopz
โฆษณา