4 พ.ค. 2021 เวลา 00:00 • ท่องเที่ยว
เอาเรื่องใน clubhouse มาเมาท์ให้ฟัง 👄🗯
ตอน คุยสบาย ๆ เรื่องย้ายประเทศ... 🛫
กรุ๊ป “ย้ายประเทศกันเถอะ” ใน Facebook ที่กำลังจะทะลุ
6 แสนคนแล้ว ในระยะเวลาเพียงแค่ 3 วัน...
📍Moderator กล่าวในฐานะคนทำ marketing ว่า... ปรากฏการณ์นี้ เรียกว่า ไม่ธรรมดา!
และตอนแรกเขาคิดว่ากรุ๊ปนี้จะมีนัยยะทางการเมือง แต่พอเข้าไปแล้วกลับเน้นที่ Facts และข้อมูลที่เป็นประโยชน์ สำหรับผู้ที่ต้องการย้ายประเทศจริงๆ เช่น
1
1. การแนะนำว่า ประเทศไหนกำลังต้องการดึงสายอาชีพใด เข้าสู่ประเทศตัวเองบ้าง เพราะหลายประเทศกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และต้องการคนหนุ่มสาว เข้ามาทำงานให้ เช่น สายไอที แพทย์ พยาบาล ดูเป็นทักษะที่มีคนต้องการมาก
2. วิธีการเตรียมตัว วิธีการขอ Visa
3. ความเป็นอยู่
4. แนะนำอาชีพ โรงเรียน มหาวิทยาลัย
เป็นต้น
ซึ่งกรุ๊ปก็ matching คนที่อยู่ในประเทศนั้นๆแล้ว และคนที่ต้องการย้ายไปอยู่ มาแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน
โดยสร้าง # เช่น #ทีมอเมริกา #ทีมแคนาดา เพื่อให้หาข้อมูลกันได้สะดวกขึ้น
📍Moderator กล่าวว่า...
หากคนย้ายไปกันจริงๆ อาจเรียกได้ว่าเป็นเพราะ Lost Generation คนเก่งๆจึงหนีไปสู่ที่ๆดีกว่า
( Lost Generation เป็นคำเรียกผู้ที่เกิดในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และเติบโตสู่วัยผู้ใหญ่ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ความเชื่อและค่านิยมที่คนรุ่นนี้เคยยึดถือแตกสลายลงไปพร้อมกับสงคราม พวกเขาล้วนสูญสิ้นคุณค่าและค่านิยมที่คนรุ่นก่อนปลูกฝังให้พวกเขา ด้วยความเป็นจริงบนโลกนั้นเต็มไปด้วยความโหดร้าย พวกเขาถูกทำให้เฉยชาจากความรุนแรงในสงคราม พวกเขาเหล่าผู้หลงทางและสูญสิ้นความเชื่อและความดีงามบนโลก )
1
เหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นในประเทศอิหร่าน มาเลเซีย และกัมพูชา ผลคือ เศรษฐกิจในประเทศถดถอยลงไปหลายปี
3
📍Speaker คนแรก กล่าวว่า...
เข้าใจถึงความอึดอัดของคนรุ่นใหม่ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องใหญ่อย่างเรื่องการเมือง เอาแค่เรื่องคุณภาพชีวิตเล็กๆ น้อยๆ อย่างเรื่องถนน ฟุตบาท ฝาท่อ...
2
คุณ Speaker ลองให้คนที่อยากย้ายประเทศในตอนนี้ ยกมือ
...มีคน active ประมาณ 150 คน
และพอลองเปลี่ยนคำถามว่า “ถ้าประเทศไทยดีขึ้นกว่านี้”
ใครยังอยากย้ายประเทศอยู่บ้าง
...มีคน active ประมาณ 70 คน
จะเห็นว่าลดลงครึ่งๆ ก็หมายความว่า ถ้าประเทศไทยดี คนที่อยากย้ายออกไปก็น้อยลง
2
📍Speaker2 กล่าวว่า...
คิดว่าคนที่อยากย้ายออกไป ก็เพื่อเปิด opportunity ให้กับตัวเอง
📍Speaker3 กล่าวในฐานะของคนที่เคยทำงานในอเมริกา ว่า...
ถ้าคุณเป็นคนมีความสามารถ opportunity ก็จะเปิดให้คุณเอง ถึงแม้จะไม่เท่าเทียมกับคนอเมริกัน 100% เพราะบางครั้ง การจ้างงานคนที่ยังไม่ได้เป็น citizen นายจ้างก็ต้องยุ่งยาก วุ่นวายเรื่องเอกสาร แต่ถ้าเรามีความสามารถจริง ก็ไม่ต้องกลัว
สิ่งที่ต้องแลก คือ ครอบครัว และสาเหตุที่ตัดสินใจกลับเมืองไทย ก็ติดเรื่อง relationship อีกทั้งยังรู้สึกเสียดายมิตรภาพของคนไทย การให้ความช่วยเหลือกัน ยกตัวอย่าง ไปซื้อขนม แม่ค้าใจดี แถมให้ ...ยอมรับว่ายังติด feeling แบบนี้
และมองว่า ตอนนี้คนสิ้นหวังกับบุคคลระดับสูงในประเทศ ในวิกฤต แทนที่จะโชว์ศักยภาพในการแก้ปัญหา แต่ว่าไม่มี
2
📍Speaker4 กล่าวว่า...
สมาชิกในกลุ่มมีประมาณ 5 แสนคน แต่อาจย้ายได้จริง เพียงแค่หลักหมื่น เพราะต้องใช้ความพยายามมากเหมือนกัน
ซึ่งในกรุ๊ปก็มีการหา solution กันว่าย้ายอย่างไร ไปทำอะไร เตรียมตัวยังไง ละเอียดถึงขั้นว่า ลงจากเครื่องบินแล้วต้องนั่งรถไปที่ไหน เป็นต้น
มีคนตั้งคำถามว่า...
ทำไมไม่อยู่แล้วหาทางทำให้ประเทศไทยดีขึ้นกว่านี้ล่ะ...???
2
คำตอบที่ได้คือ...
พยายามยามเปลี่ยนแปลงมา 2 ปี แต่ไม่มีอะไรดีขึ้น การย้ายออกไปจึงเป็นทางออก
2
พร้อมยกบทสัมภาษณ์ของ อ. กนกรัตน์ ที่ให้สัมภาษณ์กับ
คุณเคน นครินทร์ ว่า... 👇🏻
📍Speaker5 แสดงความกังวลว่า...
สมมติว่าตัวเลข 5 แสนคน ไปได้หมดจริงๆ แล้วใครจะเป็นกำลังสำคัญอยู่ทำงาน จ่ายภาษี
พร้อมเล่าเหตุการณ์ในอดีต สมัยที่ไปเรียนที่อเมริกา คุณพ่อเคยบอกให้หางานทำไปเลย แล้วครอบครัวจะหาทางตามไปเอง เพราะเมืองไทยจะไม่น่าอยู่ นี่คือคำพูดของพ่อ เมื่อ 30 ปีที่แล้ว
3
แต่สุดท้ายก็ได้งาน แต่ไม่ใช่งานประจำ ในที่สุดเลยต้องกลับมาเมืองไทย พอตอนนี้อายุ 40 กว่าแล้ว มีครอบครัว และแม่ก็อายุ 70 กว่าแล้ว การย้ายไปไหนก็เป็นไปได้ยากแล้ว
1
📍Speaker1 กล่าวว่า...
ต้องดูด้วยว่าประเทศที่ไป เหมาะสมกับเรามากแค่ไหน ยกตัวอย่าง Perth เงียบมาก รถติด 5 คัน ถือว่าติดแล้ว แบบนี้อยู่ได้ไหม
2
📍Speaker6 กล่าวว่า...
ต่อไปเรื่องภาษาอาจไม่เป็น barrier อีกต่อไป เพราะคงมี AI คอยแปลภาษาให้
2
📍Speaker1 อธิบายว่า...
เพราะอะไรคนระดับสูงของประเทศจึงไม่แคร์ในสิ่งที่คนรุ่นใหม่เรียกร้อง ก็เพราะ คนที่อยู่ในอำนาจไม่เคยมองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริง
4
ยกตัวอย่างตอนที่ Boris Yeltsin เดินทางเยี่ยมเยียนอเมริกา และได้มีโอกาสเข้า super market ได้เห็นว่าอเมริกามีนมเป็นร้อยๆยี่ห้อให้เลือก ในขณะที่โซเวียตมีเพียงยี่ห้อเดียว
เขาเข้าไปถามหญิงสาวคนหนึ่งว่า เวลาได้เงินเดือนมา ใช้เงินไปกับการซื้อหาอาหารประมาณกี่ % คำตอบที่ได้คือ ประมาณ 15% ในขณะที่คนโซเวียตต้องใช้เงินซื้อหาอาหารกว่า 60% ของรายได้
ในขณะที่ประชาชนกำลังใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก แต่ผู้นำของโซเวียตกลับใช้เงินสนับสนุนไปกับการซื้ออาวุธของกองทัพ
3
📍Speaker2 เสริมว่า...
ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปทำงาน ยกตัวอย่าง ค่า BTS วันละ 100บาท กับเงินเดือน 15,000 บาท มันไม่สมเหตุสมผล
2
เคยมีคนเถียงว่า... ทำไมไม่ไปหางานทำใกล้ๆบ้านล่ะ หรือไม่ย้ายบ้านไปอยู่ใกล้ๆที่ทำงานล่ะ
คุณspeakerก็พยายามจะอธิบายว่า โอกาสของคนไม่ได้เท่ากันทุกคน ไม่ใช่ว่างานดีๆจะมาอยู่ใกล้บ้านได้ หรือจะสามารถย้ายบ้านตามที่ทำงานได้
จนเพื่อนอีกคนบอกว่า... อย่าไปเถียงเลย เขารวยมาทั้งชีวิต เขาไม่เข้าใจคนจนหรอก
1
📍Speaker1 เสนอว่า...
ต้องลองให้ รมต. คมนาคม มาลองนั่งรถเมล์ไปทำงานทุกวันสัก 6 เดือน หรือ รมต. ศึกษาฯ ห้ามส่งลูกเข้าโรงเรียนอินเตอร์ ให้เรียนในโรงเรียนไทย จะได้มองเห็นปัญหาอย่างที่ประชาชนเจอ
6
แต่มันคงไม่น่าจะเกิดขึ้น...
ในช่วงหลัง Moderator ได้เชิญคนที่อาศัยในต่างประเทศ ขึ้นมาแลกเปลี่ยนข้อมูลในด้าน “ข้อเสีย” ของประเทศต่างๆบ้าง
📍ตัวแทนจากสเปน
ควรรู้ภาษาสเปน แค่ภาษาอังกฤษอย่างเดียวไม่พอ และสเปนมีปัญหาการเมืองท้องถิ่นและปัญหาพวกยิปซี ที่แก้ไม่ได้สักที ในด้านการเหยียดคนเอเชีย ยังไม่เคยเจอ มีแค่คนจีนที่คิดว่าเป็นคนจีนด้วยกันและมาพูดภาษาจีนด้วย
...เมาท์...
(เรื่องยิปซี อิฉันเคยเจอกับตัวค่ะ แต่เป็นที่เบลเยี่ยม อิฉันกำลังยืนกิน waffle ก่อนจะถึงรูปปั้นจู๋เด็ก ยิปซีแม่ลูกก็มาปล้น waffle ไปจากมืออิฉันเลยค่ะ)
2
📍ตัวแทนจากฝรั่งเศส
ต้องรับมือกับการโดนเหยียดให้ได้ โดยเฉพาะในฝรั่งเศส เพราะคนฝรั่งเศสบางคนยังมีความ proud อยู่ และมองเรามาจากประเทศด้อยพัฒนา
📍ตัวแทนจากอเมริกา
ตอนอยู่ Tennessee ก็เคยโดนเรื่องเหยียด มีตลอด แต่พอย้ายไปอยู่ CA ก็ไม่เจอเลย จะเห็นว่าเป็นเรื่องของท้องถิ่นและมุมมอง การศึกษา และความหลากหลายของคนด้วย
📍ตัวแทนจากญี่ปุ่น
ภาษาญี่ปุ่นจำเป็นมาก ต้องพูดได้ และที่ญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมคนนอกคนใน ลักษณะของคนญี่ปุ่นเป็นคนเข้าถึงยาก รวมถึงการจ่ายภาษีที่หนักมาก และปัญหาภัยพิบัติต่างๆ
1L... ตัดจบการ Lecture แต่เพียงเท่านี้ กระดาษหมดแล้วค่ะครูอังคณาคะ 🤣
1
โฆษณา