4 พ.ค. 2021 เวลา 08:36 • ธุรกิจ
ด้วยสิ่งที่เป็นอยู่ คนส่วนใหญ่คงมีระดับความเครียดสูงกว่าปกติ
แค่คิดว่ากูติดเชื้อหรือยังวะ? ก็บั่นทอนชีวิตมากพอแล้ว
ยังต้องยอมรับความจริงว่าเศรษฐกิจในครัวเรือนของเราจะถดถอยลงไปอีก
คนที่ว่างงานก็หางานยาก คนที่เป็นมนุษย์เงินเดือนก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะไม่มีเงินเดือน ไม่เว้นแม้แต่ผู้ประกอบการทั้งหลายที่ต้องดิ้นสุดชีวิตท่ามกลางกฏเกณฑ์ที่มากขึ้น
เรียกว่าคน 95% ในประเทศ(หรือแม้แต่ในโลก)ขาดความเสถียรทั้งกายทั้งใจ
4
จะหาทำ หามองอะไรเชิงบวกก็ยากเกิน
การเมืองก็พาเอาหลายคนอยากย้ายประเทศ
เลยนั่งคิดในฐานะคนผ่านงานหลายแบบ
เจอวิกฤตมาตั้งแต่ Oil Shock ต้มยำกุ้ง แฮมเบอร์เกอร์ จนมาถึงวันนี้
มันมีอะไรที่เราต้องทำเพื่อให้เป็น “ตัวจริงขององค์กร” (ยังไงก็ต้องเอากรูไว้)
เลยถือโอกาสปล่อยตะกอนความคิด ตามอารมณ์กันไป
#เห็นภาพใหญ่ ใส่ใจรายละเอียด สร้างความสัมพันธ์ระหว่างงาน
คนทำงานวันนี้ต้องรู้ให้จริงในสิ่งที่กำลังทำอยู่ทั้ง Value Chain
การเข้าใจงานของตนเองทั้งระบบจะทำให้คุณเข้าใจธุรกิจที่คุณเอาเงินเดือนเขา
เห็นความหมายหรือความสำคัญในเนื้องานที่ทำอยู่
ซึ่งย่อมทำให้คุณพัฒนางานของตนเองให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
สำคัญมากนะครับเพราะนี่คือวิธีที่ทำให้คุณเห็นและมีทางเลือกในสายอาชีพ
ยิ่งถ้าคุณอยากเปลี่ยนงานหรือสายงาน คุณยิ่งได้เปรียบ
บริษัทไหนๆก็อยากได้คนที่มีมุมมองกว้าง เข้าใจในสิ่งที่ตัวเองทำและพัฒนาต่อ
เขาจะจ้างคุณเพราะศักยภาพตรงนี้
โดยประสบการณ์, ผมเห็นคนจำนวนมากจมอยู่กับหน้างานของตนเอง
ไม่ใช่ไม่ดีนะครับ ปลายทางเขาคือ “ผู้เชี่ยวชาญ” หรือ “ผู้ชำนาญการพิเศษ”
แต่ต้องระวังว่าการจมกับงานตนเอง จะทำให้องค์กรขาดพลวัตรระหว่างหน่วยงาน
ผมถึงแนะนำให้คุณเงยหน้าจากสิ่งที่ทำแล้วมองไปรอบๆว่าเราทำอะไรได้อีกบ้าง
องค์กรขับเคลื่อนด้วยคน คนระหว่างฝ่ายจึงต้องมีปฏิสัมพันธ์อันดี
เกิดสิ่งที่เรียกว่า teamwork คือสำเร็จร่วมกัน ไม่ใช่แค่ทำงานของตนเองให้เสร็จๆ
เราต้องถามตนเองว่า เรามีส่วนส่งเสริมให้มีการทำงานแบบเปิดใจกันไหม
แน่นอนครับว่า การที่ผู้บริหารอยากจะผลักดันใครให้เติบโต
ย่อมเลือกคนที่สามารถเข้ากับคนอื่นได้ มีแรงผลักเพื่อขับเคลื่อนองค์กรได้
คนที่สร้างบรรยากาศที่ดี ที่เอื้อให้พนักงานคนอื่นสามารถแสดงศักยภาพออกมา
1
#ถ้าเปลี่ยนอะไรไม่ได้ ให้เปลี่ยนแปลงตนเอง
1
ประโยคนี้ Viktor E. Frankl จิตแพทย์ที่เคยถูกนาซีจับร่างกายของเขามาผ่าทดลองสดๆในค่ายกักกันสมัยสงครามโลก เป็นผู้สรุปไว้ในหนังสือ Man’s Search for Meaning ซึ่งต่อมากลายมาเป็น 7 Habits ที่คนทำงานต้องเรียนรู้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพตนเอง
โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงในระดับทัศนคติ เพราะเป็นตัวชี้นำพฤติกรรม
ลองนึกว่าถ้าคุณเริ่มต้นคิดลบกับออฟฟิศที่ขาดนั่นนี้
เปรียบเทียบสภาพแวดล้อมกับกูเกิล มีการเมืองตลอด เราเหนื่อยคนเดียว
ผลตามมาคือพฤติกรรมคุณจะเฉยชา เนือยนาย กลายเป็น burn out
ถึงตรงนั้น เขาอาจจะใช้เป็นเหตุผลไล่คุณออกก็ได้
ซึ่งผลลัพธ์สุดท้ายคือสิ่งที่คุณกลัวคือ ตกงาน ไม่มีรายได้ สงสัยในคุณค่าของตนเอง
2
แต่ถ้าคุณยอมรับความเป็นจริงรอบข้าง
แล้วพยายามใช้กลไกที่มีอยู่ เงื่อนไขที่เป็นอยู่ ขับเคลื่อนไปข้างหน้า
คุณจะไม่รู้สึกเปรียบเทียบเหยียดหยามว่าทำไมออฟฟิศเราไม่มีโน่นนี่นั่น
แต่จะเป็นการแก้ปัญหาเพื่อเน้นผลลัพธ์หรือเป้าหมาย
ในชีวิตเราจะเห็นคนไม่พึงใจอะไรสักอย่างแบบนี้เยอะนะครับ
แต่ทำไมมันมีคนที่ประสบความสำเร็จได้ ทั้งๆที่อยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกันกับเรา
อย่าบอกว่าคนเหล่านั้นเลียเก่ง เอาหน้าเอาผลงานเก่งครับ
นั่นเป็นแค่การยอมรับชะตากรรม หมายถึงมองตนเองเป็นเหยื่อ
ถ้าผลงานเราดีจริง สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้องค์กรได้จริง
ต้องมีสักช่องทางที่เราทำให้มันเกิดขึ้นให้ได้
ถามและตอบตัวเองให้ได้ว่าเราทำอะไรได้อีก เราทำอะไรได้บ้าง
นี่คือพื้นฐานของการสร้าง Growth Mindset
1
หนังสือ Man’s Search for Meaning หรือในชื่อไทย “ชีวิตไม่ไร้ความหมาย”
#เติมตัวเองสม่ำเสมอ และนำไปใช้ตลอดเวลา
จะเติมอะไรไม่สำคัญเท่าคุณเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง สะสมทีละน้อยนิด
แต่ลงมือทำ นำไปใช้ให้เกิดผลกระทบเชิงบวกในองค์กรอย่างมหาศาล
สร้างเป็นปัญญาหรือองค์ความรู้ที่คุณเชี่ยวชาญด้วยตนเอง
ไอแซค อาซิมอฟ นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ชื่อดังที่มีผลงานมากกว่า 500 เล่ม
มีคอลัมน์ในหนังสือต่างๆต่อเนื่องมา 33 ปี ในหลากหลายหัวข้อ
โดยก่อนตัดสินใจเป็นเป็นนักเขียนเต็มตัว
เขาทำงานเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยบอสตันพร้อมๆกับเขียนหนังสือ
เคล็ดลับคือเขาเรียนรู้ตลอดเวลา แล้วเอามันไปใช้ให้เกิดประโยชน์
ผมเห็นคนรุ่นใหม่หลายคนเฉียบแหลม เก่ง นำเสนอคม
แต่มักจะขาดความอดทนและพอใจในจุดที่เป็น
ทั้งๆที่ถ้าต่อยอดทุกวันๆ หามุมมองใหม่ๆมาใส่ในงาน
เชื่อในพลังของความสม่ำเสมอ วันหนึ่งเขาจะเป็นคนทำงานที่ใครๆก็อยากได้
ผมเห็นคนทำงานเข้าอบรมในคอร์สมากมาย เรียกได้ว่าอายุน้อยร้อยสถาบัน
แต่ก็พบว่าน้อยคนจะเอาเนื้อหา (content) ไปปรับใช้
บางคนอ้างด้วยซ้ำว่า สิ่งแวดล้อมที่ทำงานไม่เอื้อให้ทำอย่างที่อบรม
ผู้ประกอบการบางคนไม่เข้าใจว่าจะเอาไปใช้อย่างไรกับธุรกิจตนเอง
นอกจากโชว์ใบประกาศฯทาง FB IG กับรูปงานเลี้ยงที่สร้าง Connection
หนังสือแนะแนวสร้างแรงบันดาลใจการใช้ชีวิตโดยผู้มีประสบการณ์ทำงานกับคนญี่ปุ่น คือเซนเซเล็ก และ เซนเซแป๊ะ
การเป็นตัวจริงขององค์กรไม่ง่ายนะครับ
ยิ่งในยุคที่มีทั้งแรงกดดันทางเศรษฐกิจ และความก้าวหน้าของเทคโนโลยีแบบนี้
มีโอกาสทั้งเราที่หายไป อาจจะมีคนใหม่หรือ AI มาแทนที่ได้ทุกเมื่อ
มั่นหน้าและฝ่าไปครับ
โฆษณา