อัลบั้มนี้บันทึกเสียงกันที่ Conway Studios ในลอสแอนเจลิส สมาชิกวงพักกันอยู่ที่โรงแรม Sunset Marquis โดยใช้เวลาประมาณ 4 เดือนในการทำงาน Bille Joe บอกว่าพวกเขาใช้เวลาว่างส่วนใหญ่ไปกับการเล่นพูลและฟุตบอลตั้งโต๊ะ ตารางการทำงานจะเริ่มตั้งแต่ช่วงบ่ายไปจนถึงตีสองของทุกวัน ทำให้วงเริ่มงอแงเนื่องจากพวกเขาดื่มกันหนักขึ้น มือเบส Mike Dirnt เล่าว่า "มีอยู่คืนหนึ่งใครซักคนในพวกเราเมาแล้วไล่เดินไปเคาะประตูห้องอื่นในสภาพเปลือยกาย" ส่วนมือกลอง Tre Cool นั้นก็เคยเขวี้ยงทีวีออกมาทางหน้าต่างโรงแรม Billie Joe บอกว่า "เศษกระจกเต็มพื้นไปหมด คุณต้องเคยใช้ชีวิตแบบยโสโอหังแบบนั้นสักครั้งในชีวิตแหละ" เพื่อให้วงกลับมาตั้งใจทำงานมากขึ้น Rob Cavallo โปรดิวเซอร์จึงขอให้ Pat Magnarella พ่อของเขาและผู้จัดการ เข้ามาช่วยดูแลความประพฤติของวง
การทำงานในอัลบั้มนี้ Green Day บอกว่า Cavallo อยากให้มีการทดลองสร้างอะไรใหม่ๆ เนื่องจากวงเริ่มโตขึ้นพอที่จะทำอะไรนอกเหนือจากเพลง 3 คอร์ดแบบที่เคยทำมาตลอดได้แล้ว Billie Joe บอกว่าเขาได้แรงบันดาลใจจากอัลบั้ม London Calling ของคณะ The Clash และบอกอีกว่าอัลบั้ม Nimrod คือ "งานที่ผมอยากทำมาตลอดตั้งแต่เริ่มตั้งวง" ในอัลบั้มนี้พวกเขาตั้งใจจะทำลายข้อจำกัดของเพลงแบบพังค์ร็อค เพื่อให้ได้คุณภาพที่ดีในการเขียนเพลง Billie Joe จะเริ่มแต่งเพลงทุกเพลงจากกีต้าร์อคูสติค ก่อนที่วงจะเพิ่มความหนักหน่วงจากเครื่องดนตรีและเร่งจังหวะให้เร็วขึ้นในภายหลัง Green Day บันทึกเสียงไปทั้งหมด 30 เพลงก่อนจะคัดเหลือ 18 เพลงลงในอัลบั้ม Mike Dirnt บอกว่าในตอนบันทึกเสียงนั้นค่อนข้างจะมีความยืดหยุ่นกว่าในอัลบั้มก่อนๆ ทำให้การแต่งเพลงโฟกัสไปที่ทำอย่างไรให้อัลบั้มไม่ดูเป็นแบบแผนจนเกินไป เขาเพิ่มเติมว่า "ที่ผ่านมาเราพยายามทดลองกับดนตรีหลายๆแนวตลอดตอนเราแจมกัน สุดท้ายเราก็จะบอกว่า 'โอเค งั้นกลับมาโฟกัสที่อัลบั้มกันก่อน' แต่ในตอนนี้เราแค่ปล่อยให้เพลงมันออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ"
Howie Klein ประธานของต้นสังกัด Reprise Records นั้นใช้เวลาอยู่ในสตูดิโอกับวงด้วย เขาสังเกตุเห็นว่า "วงมีการพัฒนาทิศทางของแนวเพลง มันมีหลายอย่างไม่เหมือนสิ่งที่พวกเขาเคยทำ เห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขาเติบโตขึ้นมาก" สิ่งที่ทำให้แนวเพลงของวงเริ่มเปลี่ยนไปส่วนหนึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากอัลบั้มของคณะ Bikini Kill ในปี 1996 ที่ชื่อ Reject All American ซึ่งทำให้ Billie Joe เริ่มจัดให้อัลบั้มมีการบาล้านซ์ระหว่างเพลงพังค์ร็อคดิบๆกับเพลงแบบปราณีตที่มีเมโลดี้ไพเราะ เขาแต่งเพลง "Good Riddance (Time of Your Life)" ตั้งแต่ปี 1993 ตอนทำอัลบั้ม Dookie แต่มันต่างจากเพลงอื่นและ Cavallo ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะอัดเสียงมันแบบไหน จนมาถึงอัลบั้ม Nimrod เพลงนี้ก็ถูกนำกลับมาใช้ Cavallo แนะนำให้ใส่พาร์ทเครื่องสายเข้าไปในเพลง เขาไล่ให้วงไปเล่นฟุตบอลตั้งโต๊ะที่ห้องอื่น แล้วใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงจัดการกับพาร์ทนั้น Cavallo ให้เหตุผลสำหรับการเพิ่มพาร์ทเครื่องสายเข้าไปว่า "ผมรู้ว่าเรากำลังทำในสิ่งที่ถูกต้อง ผมรู้ว่าเพลงนี้ต้องฮิตแน่ๆตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้ยิน"
นอกเหนือจากพาร์ทเครื่องสายในเพลง "Good Riddance (Time of Your Life)" หลายเพลงในอัลบั้มยังมีเครื่องดนตรีชิ้นอื่นที่ไม่เคยใช้ในงานของ Green Day อย่างในเพลง "Walking Alone" มีเสียงฮาร์โมนิกาที่เป่าโดย Bille Joe ซึ่งในความเป็นจริงคือเขาไม่รู้วิธีเล่นมันเลย เพลง "Hitchin' a Ride" ตอนอินโทรมีเสียงไวโอลินเมโลดี้แบบตะวันออกกลาง โดย Petra Haden จากคณะ That Dog ทางวงยังชวน Gabrial McNair และ Stephen Bradley ซึ่งเป็นทีมเครื่องเป่าของคณะ No Doubt มาช่วยในเพลงที่อิทธิพลของดนตรีสกาอย่าง "King for a Day" ด้วย