6 พ.ค. 2021 เวลา 08:42 • กีฬา
แข่งขัน...เท่าเทียม...เหมาโหล
โดย วิธพล เจาะจิตต์
1
ในความหลากหลายของสังคม ความเท่าเทียมแบบไหนจึงเหมาะสม และต้องเท่าเทียมแค่ไหนจึงจะพอใจกันทุกคน
1
เร็วๆ นี้วงการอเมริกันฟุตบอลเพิ่งจัดงานคัดเลือกตัวนักกีฬาจากระดับมหาวิทยาลัยเข้าสู่ลีกระดับอาชีพ NFL ซึ่งโดยระบบแล้ว ทีมที่อันดับการแข่งขันฤดูกาลก่อนหน้าย่ำแย่รั้งท้าย ก็จะได้สิทธิ์คัดเลือกตัวก่อน เพื่อให้ทีมนั้นๆ สามารถคว้าดาวเด่นฝีมือดีมาเสริม สร้างทีมให้กลับมาแข็งแกร่ง มีสถิติการแข่งขันที่ดีขึ้นได้ หรือแม้กระทั่งยกระดับไปสู่ทีมลุ้นแชมป์กันเลยทีเดียว
10
ไม่เพียงลีกอเมริกันฟุตบอลอาชีพเท่านั้น กีฬาหลักๆ ในประเทศสหรัฐอเมริกาก็ใช้ระบบการคัดเลือกตัวนักกีฬาระดับมหาวิทยาลัยเข้าสู่ลีกอาชีพในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน ทั้งบาสเกตบอล เบสบอล หรือซอกเกอร์ แนวคิดดังกล่าวผสมผสานกับกฎการเงินที่ว่า ทีมจะต้องจ่ายเงินภาษีฟุ่มเฟือย (Luxury Taxes) เพิ่มเติมให้ลีก ในกรณีที่ค่าตอบแทนของนักกีฬาในทีมรวมแล้วเกินกว่าเพดานที่ลีกกำหนด ตลอดจนกรอบเวลาซื้อขายตัวนักกีฬา ล้วนแล้วแต่เพื่อสร้างกลไกให้การแข่งขันสูสีคู่คี่กันมากยิ่งขึ้น ความสามารถของทีมจะไม่ต่างกันจนเกินไป หากปราศจากกลไกดังกล่าว ทีมที่ฐานะการเงินดีก็จะเป็นทีมเจ้าบุญทุ่มซื้อตัวนักกีฬาเด่นระดับเทพเข้าสู่ทีม ทำให้ช่องว่างระดับความสามารถของแต่ละทีมในลีกยิ่งถ่างมากขึ้น
แนวคิด “ความเท่าเทียมกันของโอกาส/กระบวนการ” (Equality of Opportunity/Process) ของการเป็นแชมป์ดังกล่าว ก็ได้พิสูจน์ประสิทธิผลให้เห็นในหลายวาระแล้ว เช่น ใน NBA ชิคาโก บูลส์ ตอนเป็นทีมไม้ประดับ และได้คัดเลือกตัว ไมเคิล จอร์แดน เข้าสู่ทีมจนสร้างทีมระดับตำนานได้ถึง 6 แชมป์
1
ซานอันโตนิโอ สเปอร์ส ทีมชายขอบรัฐเท็กซัสที่ก่อนหน้านี้แข่งในลีกรอง CBA พอได้ตัว ทิม ดันแคน เข้ามาช่วยสร้างแชมป์ 5 ครั้งให้กับทีม
หลังจากตกต่ำไปพักหนึ่งหลังยุคโชว์ไทม์ แอลเอ เลเกอร์สก็ได้ โคบี ไบรอันท์ มาช่วยพาทีมไปสู่แชมป์ 5 ครั้ง
เมื่อขึ้นสหัสวรรษใหม่ คลีฟแลนด์ คาวาเลียร์ส ก็ได้ดราฟต์อันดับ 1 ที่ชื่อ เลบรอน เจมส์ นำแชมป์แรกในประวัติศาสตร์ทีมมาสู่เมืองที่ร้างแชมป์มาตลอด
ฟากของโกลเดน สเตท วอร์ริเออร์ส ก็ใช้การดราฟต์รอบที่ 1 คัดเอาทั้ง สเตฟ เคอร์รี และ เคลย์ ทอมป์สัน คู่หูสแปลชบราเธอร์ส ที่ช่วยกันนำถ้วยแชมป์มาประดับเมืองหลังห่างหายไปหลายสิบปี แถมด้วยสถิติชนะฤดูกาลปกติสูงสุดตลอดกาลอีกต่างหาก
แต่เดี๋ยวก่อนครับ กลไก “ความเท่าเทียมกันของโอกาส/กระบวนการ” ที่กล่าวมาไม่ได้การันตีว่าทีมที่ได้ดราฟต์นักกีฬาตัวเด่นๆ เป็นทีมแรกๆ จะประสบความสำเร็จเสมอไปนะครับ
ฟิลาเดลเฟีย เซเวนตีซิกเซอร์ส ได้ตัว อัลเลน ไอเวอร์สัน ซึ่งเป็นดราฟต์อันดับ 1 ก็ไม่เคยได้แชมป์อีกหลังผ่านยุค ดอกเตอร์เจ จูเลียส เออร์วิง
ส่วนวอร์ริเออร์สก็ไม่ได้แชมป์ทันทีที่มีเคอร์รีและทอมป์สัน แต่ต้องรอจนโค้ช สตีฟ เคอร์ เข้ามาทำทีม
จอร์แดนและบูลส์ต้องใช้เวลาถึง 7 ปีกว่าจะได้แชมป์ กรณีของคลีฟแลนด์กับ เลบรอน เจมส์ ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะเจมส์ต้องพเนจรออกจากทีมไปได้แชมป์กับไมอามี ฮีท ก่อนแล้วจึงกลับมาพาทีมเถลิงแชมป์ในภายหลัง
และอีกหลายๆ ทีมที่ได้นักบาสดราฟต์อันดับ 1 ก็ไม่เคยได้แชมป์เลยเช่นกัน
ถึงแม้กระบวนการคัดเลือกตัวและกฎเกณฑ์ของลีกที่นำมาใช้เพื่อสร้างโอกาสให้ทีมที่ด้อยกว่า อ่อนกว่า ได้พัฒนาขึ้น แต่ในประวัติศาสตร์ของ NBA ทีมที่ได้แชมป์เป็นจำนวนสูงสุดก็ยังคงเป็นแอลเอ เลเกอร์ส และบอสตัน เซลติกส์ ทั้งๆ ที่สองทีมนี้ไม่ค่อยได้คัดเลือกตัวในลำดับต้นๆ บ่อยครั้งนัก
2
...ความเท่าเทียมของโอกาส อาจไม่ได้นำไปสู่ความเท่าเทียมของผลลัพธ์เสมอไป...
2
หันมามองฝั่งทุนนิยม ซึ่งเป็นอีกฝั่งหนึ่งที่แต่ก่อนไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆ เลย เพิ่งมีกฎการเงินกำกับเมื่อไม่นานมานี้เอง เช่น ในวงการฟุตบอลของยุโรป ทีมที่ทุนหนามักจะเชื่อในวิธีใช้เงินซื้อความสำเร็จ ทีมใหญ่อย่าง เรอัล มาดริด, บาร์เซโลนา, เอซี มิลาน, ยูเวนตุส, เชลซี, หรือสองทีมแดงฟ้าเมืองแมนเชสเตอร์ ทีมเหล่านี้มักจะได้แชมป์อยู่บ่อยครั้ง แต่ก็มีเรื่องน่าสนใจว่า เรอัล มาดริด ยุคที่มีนักฟุตบอลอันดับหนึ่งของโลกเกือบทุกตำแหน่งในสนาม ทีมที่ประกอบด้วย โรนัลโด, ซีดาน, เบ็คแฮม, คาร์ลอส, และอีก 7 นักเตะมือหนึ่งในตำแหน่งของตน ก็ไม่ได้แชมป์ในปีนั้น
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยุคที่ใช้เงินซื้อนักเตะระดับโลกเข้าสู่ทีม กลับประสบความสำเร็จน้อยกว่ายุคที่ใช้เด็กปั้นจากอะคาเดมีของตัวเอง
ยังไม่นับกรณีของเลสเตอร์ ซิตี้ ที่ได้แชมป์พรีเมียร์ลีก โดยไม่ได้มีนักเตะนามกระเดื่องโลกอยู่ในทีมเลย
1
กรณีตัวอย่างวงการฟุตบอลของยุโรปที่ทีมเจ้าบุญทุ่มไม่ได้ประสบความสำเร็จเสมอไปนั้น ก็ไม่ต่างจากใน NBA ที่หลายทีมพยายามใช้ช่องว่างของกฎเกณฑ์สร้างทีมตามแนวคิดบิ๊กทรี (Big Three) โดยสร้างทีมรอบๆ ผู้เล่นระดับพระกาฬ 3 คน ตัวอย่างเช่น ฮูสตัน ร็อกเก็ตส์ ยุครวมพล ฮาคีม โอลาจูวอน, สกอตตี พิพเพน และ ชาร์ลส์ บาร์คลีย์ ก็ไม่ได้แม้แต่เข้าชิง หรือเลเกอร์สยุคที่เจอแรงกดดันให้ทวงแชมป์คืนจนสร้างทีมที่ผู้เล่น 4 ใน 5 คนแรก คือผู้เล่นระดับเข้าสู่หอเกียรติยศทั้งสิ้น แต่ทีมที่มี ชาคีล โอนีล, โคบี ไบรอันท์, คาร์ล มาโลน และ แกรี เพย์ตัน กลับพ่ายแพ้ให้กับ ดีทรอยต์ พิสตันส์ ที่เงินเดือนของผู้เล่น 5 คนแรกรวมกัน ยังไม่เท่ากับเงินเดือนของโอนีลคนเดียวเลย
นี่คือเสน่ห์ของกีฬา สูตรของการได้ชัยชนะนั้นไม่เคยแปรเปลี่ยนไปเลย ไม่ว่าจะเป็นพื้นฐานสปิริตของทีม ความกลมเกลียวเป็นเนื้อเดียวกันทั้งนักกีฬาและสตาฟโค้ช ฝีมือของผู้บริหารที่สร้างทีมอยู่ภายนอกสนามกีฬา ทัศนคติของผู้เล่นที่ไม่ได้คิดว่าตัวเองสำคัญกว่าทีม ความเสียสละของผู้เล่นที่ตั้งใจลดผลสำเร็จส่วนตัวเพื่อความสำเร็จของทีมส่วนรวม ความเคร่งวินัยของผู้เล่นทั้งตัวหลักและผู้เล่นอาวุธลับที่พร้อมจะสำแดงฝีมือเมื่อโอกาสอำนวยให้
นี่คือแก่นของกีฬาที่สำคัญโดยเนื้อแท้ ไม่ต่างจากแก่นของไม้ที่ทรงคุณค่า และจะคงทนยาวนานกว่ากระพี้หรือเปลือกนอกที่สามารถขัดสี ลงแล็กเกอร์ให้สวยได้ดังใจนึก
...หันมามองที่ใกล้ตัว...
โลกทุกวันนี้แสดงความเคารพความแตกต่างในมิติต่างๆ ของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติ ศาสนา รสนิยมทางเพศ ความเป็นปัจเจกชน ตลอดจนความเห็นต่างทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการที่องค์กรจัดหาสถานที่ละหมาดให้แก่พนักงานชาวมุสลิม ลงปฏิทินวันสำคัญทางศาสนาต่างๆ ไว้ บางองค์กรให้ลาหยุดได้ในวันเกิด การไม่ปล่อยให้เรื่องเพศสภาพมากีดกั้นโอกาสก้าวหน้าตามสายงานอาชีพ รวมถึงการแสดงความเห็นทางการเมืองได้อย่างอิสระในขอบเขตที่ไม่กระทบต่อองค์กร
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ดีทั้งสิ้นหากปฏิบัติบนพื้นฐานความตั้งใจที่ดี กระบวนการที่โปร่งใส และไม่ปล่อยให้ความไม่เป็นกลางทางความรู้สึก พัฒนาไปสู่ความไม่เป็นธรรมในทางปฏิบัติ
ความไม่เป็นกลางทางความรู้สึกนี้ หลายครั้งก็พัฒนาไปสู่แนวคิด “เหมาโหล” ที่พิพากษาบุคคลหรือเหตุการณ์ไปก่อนจะรับรู้รับทราบข้อเท็จจริงครบถ้วน
หากเกิดเหตุการณ์พนักงานผู้ชายทำร้ายร่างกายพนักงานผู้หญิง ผู้ทำหน้าที่สอบสวนก็มักจะด่วนสรุปไปแล้วว่าจะต้องไล่พนักงานชายออก โดยไม่ลงโทษพนักงานหญิงเลย ทั้งๆ ที่ในข้อเท็จจริงพนักงานหญิงอาจจะด่าทอพนักงานชาย ใช้วาจาล่วงเกินถึงบุพการี จนทำให้พนักงานชายบันดาลโทสะ หรือกรณีร้องเรียนเรื่องการคุกคามทางเพศ หลายๆ ครั้งผู้ชายมักจะมีแนวโน้มถูกตัดสินว่าผิดโดยไม่มีการสอบถาม จนอาจจะตกหล่นบางข้อเท็จจริงไปว่าหญิงผู้ร้องเรียนนั้นอาจอยู่ในสถานะผู้ป่วยโรคจิตอ่อนๆ
ในอีกมุมหนึ่งผู้หญิงมีความสามารถไม่แตกต่างจากผู้ชายในหลายๆ ด้าน และในปัจจุบันคนที่มีอายุน้อยกว่าก็อาจจะมีความสามารถไม่ต่างจากคนอายุมากกว่า แต่เราก็มักพบเห็นประกาศรับสมัครงานที่บ่งชี้ช่วงอายุ หรือเพศเป็นเงื่อนไขการคัดเลือก ซึ่งนี่ก็เป็นสมมติฐานแบบเหมาโหลอีกแบบหนึ่ง
หลายประเทศกำหนดโครงสร้างคณะกรรมการของบริษัทมหาชนให้ต้องมีสัดส่วนของกรรมการเพศใดเพศหนึ่งตามจำนวนที่กำหนดไว้ แนวคิดเช่นนี้มองเผินๆ ก็แลดูเหมือนจะส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ และเมื่อมีกระแสเคารพความแตกต่างเช่นนี้ออกมา ก็มักจะมีงานวิจัยของสถาบันต่างๆ ช่วยสนับสนุนว่าการมีองค์ประกอบที่หลากหลายของกรรมการมันดีอย่างนั้นเด่นอย่างนี้ ทั้งที่องค์กรที่เป็นโจทย์วิจัยก็ไม่ได้กำหนดสัดส่วนองค์ประกอบคณะกรรมการไว้ก่อนหน้านี้เลย
นี่ยังไม่นับรวมข้อเท็จจริงที่ว่า เวลามีนักวิจัยไปสอบถามหรือวิเคราะห์ประสิทธิผลของคณะกรรมการบริษัท มันจะมีบริษัทไหนตอบไม่ดีเกี่ยวกับกรรมการบริษัทตัวเองหรือครับ
ดังนั้นหากดูในรายละเอียด กฎเกณฑ์เหล่านี้ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมกันของผลลัพธ์มากกว่าความเท่าเทียมกันของโอกาส และความโปร่งใสของกระบวนการ
ผู้หญิงหลายคนเก่งเรื่องคำนวณและคิดเป็นระบบมากกว่าผู้ชายส่วนใหญ่ ก็ควรจะได้โอกาสเป็นกรรมการในบริษัทวิศวกรรม ในทางตรงกันข้าม ผู้ชายหลายคนที่รสนิยมและความสามารถด้านแฟชั่นดีเด่น ก็ควรได้โอกาสในการเป็นผู้บริหารระดับสูงหรือกรรมการบริษัทผลิตเสื้อผ้าแฟชั่นได้เช่นกัน
แล้วทำไมไม่ดูที่ความสามารถและให้ความสำคัญกับมันมากกว่าสัดส่วนจำนวนคนและเพศที่กำหนดไว้ นี่ก็แนวคิดเหมาโหลอีกรูปแบบหนึ่ง และการกำหนดโควตาสัดส่วนก็เป็นเสมือนการยอมรับกลายๆ ว่ากระบวนการคัดเลือกกรรมการกำลังมีปัญหา
กระแสบางอย่างที่อาจจะเกิดขึ้นจากความไม่เป็นธรรมในบางจุด กลับถูกกระพือให้เป็นกระแสระดับโลก ก็ด้วยทัศนคติเหมาโหลนี่ล่ะครับ กระแส Black Lives Matter กระจายไปทั่วโลก จนลามไปถึงแนวคิดการเปลี่ยนผู้แสดงภาพยนตร์ เจมส์ บอนด์ ให้เป็นผู้ชายผิวสีหรือผู้หญิง แถมยังมีการร้องขอให้มีตอนที่ เจมส์ บอนด์ มีรสนิยม LGBT เพิ่มมาอีก นี่ก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะ เอียน เฟลมมิง ผู้ประพันธ์นวนิยายเรื่องนี้เสียชีวิตไปแล้วหรือเปล่านะครับ เลยให้ความเห็นเรื่องนี้ไม่ได้
1
การสร้างความเท่าเทียมในบางเรื่องก็ไม่ทราบว่าดีหรือไม่นะครับ ที่ก้าวล้ำเข้าไปถึงในเรื่องสันทนาการซึ่งควรเป็นสิ่งจรรโลงใจมากกว่า อันที่จริงก็มีภาพยนตร์จำนวนไม่น้อยที่ยกย่องวีรบุรุษวีรสตรีผิวสี ไม่ว่าจะเป็น Miles Davis: Birth of the Cool สารคดียกย่องอัจฉริยะทางดนตรีแจ๊ซ หรือภาพยนตร์ Hiddden Figures ที่ยกย่องสตรีผิวสีในองค์การนาซา เป็นต้น
กระแสลามไปถึงการเรียกร้องเปลี่ยนแปลงบทเรียนประวัติศาสตร์ ขอทุบทิ้งทำลายอนุสาวรีย์บุคคลสำคัญบางคนที่อาจมีประวัติเกี่ยวโยงกับการค้าทาส รวมถึงกระแสความไม่พึงพอใจในชาติตนเอง จนกระทั่งนายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน ของอังกฤษถึงกับเหลืออด ต้องออกมาปรามแกมขอร้องว่า อย่าไปโฟโตช็อป (Photoshop) ประวัติศาสตร์เลย
ท่านนายกฯ บอริส คงเจตนากระแซะๆ เหน็บๆ ว่าหากเห็นปัญหาในปัจจุบันก็พึงหาทางแก้ไขเพื่ออนาคต ดีกว่าจะไปบิดเบือนอดีตเพื่อให้ได้ดังใจในปัจจุบัน
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ก็ไม่ต่างจากความต้องการสร้างความเท่าเทียมของผลลัพธ์โดยไม่สนใจกระบวนการ และบางครั้งยังจะมีแนวโน้มว่าบิดเบือนข้อเท็จจริงอีกต่างหาก
การพยายามสร้างการเปลี่ยนแปลงในลักษณะที่ขาดสมดุล และไม่ได้เอาประโยชน์สุขของสังคมส่วนรวมเป็นตัวตั้งนี้มักจะไม่ยั่งยืน เพราะสุดท้ายแล้วคนจะเห็นว่า ระบบ กระบวนการ และผลลัพธ์ที่ตั้งอยู่บนหลักการ คุณค่า ความดี และการกระทำสิ่งที่ดีหรือที่เรียกว่า Merit System มีเหตุและผลดีกว่า ตลอดจนที่มาที่ไปที่เหมาะสมกว่า
นี่ก็ถือว่ายังดีนะครับที่การเรียกร้องดังกล่าวไม่ได้ลามมาถึงวงการกีฬาและดนตรี เพราะยังไม่มีใครเรียกร้องให้ทีมกรีฑาจากจาไมกาออกสตาร์ตหลังนักแข่งชาติอื่นสัก 20 เมตร ไม่มีใครมาร้องเรียนให้ทีมใน NBA ต้องมีผู้เล่นห้าคนแรกเป็นคนผิวขาวสัก 2 คน เพราะส่วนใหญ่เป็นผู้เล่นผิวสี ไม่มีใครกดดันให้ จอห์น เมเยอร์ กลับไปเล่นเพลงป๊อบแบบ Your Body is a Wonder Land เพราะเพลงบลูส์เป็นของคนผิวสี ไม่มีใครร้องเรียนให้ แลร์รี คาร์ลตัน เลิกเล่นเพลงแจ๊ซเพราะมันพัฒนามาจากเพลงบลูส์
โดยธรรมชาติแล้วคนเราแตกต่างกันตั้งแต่กำเนิด และมนุษย์เป็นสายพันธุ์ที่อยู่รวมกันเป็นสังคม ความคิดความเห็นที่ต่างกันก็เป็นเรื่องธรรมชาติ และในทุกสังคมก็มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ข้อขัดแย้งจึงถือเป็นเรื่องธรรมดา
ข้อขัดแย้งนั้นไม่ว่าจะเป็นในระดับบุคคล ศาสนา (เช่น สงครามครูเสด) หรือระดับโลก (เช่น สงครามโลก) ก็ล้วนแล้วแต่มีข้อดีของมันอยู่คือเป็นบทเรียนให้สังคมได้เรียนรู้และพัฒนาจากข้อขัดแย้งนั้นๆ หากเพียงเราจะต้องมองย้อนและสะท้อนความคิดผ่านเลนส์ที่ไม่บิดเบี้ยว และตรรกะที่ไม่บิดเบือน
ในโลกนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์ ขนาดสันฐานของโลกยังไม่กลมดิกเลยครับ ทุกคนทุกสังคมล้วนมีข้อดีข้อเสีย คนเราจน รวย เก่ง ไม่เก่ง แข็งแรง อ่อนแอ มีความสุข ความทุกข์ไม่เท่ากัน เราจึงมีความไม่เป็นกลางโดยธรรมชาติ แต่หากเรามีความเป็นธรรมและพร้อมเข้าใจผู้อื่น ทั้งเราและสังคมก็จะมีสุขไม่น้อยเลยนะครับ
ทำนองเดียวกันกับการมุ่งเป้าที่ความเท่าเทียมของผลลัพธ์อย่างเดียว โดยไม่ใส่ใจกับกระบวนการอันชอบธรรมและโปร่งใส หรือใช้ผลลัพธ์เป็นตัวตัดสินความชอบธรรมของกระบวนการ (End justifies Means) นอกจากปัญหาที่ต้องแก้จะไม่ลุล่วงแล้ว ยังกลับจะสร้างปัญหาใหม่ขึ้นมาอีกด้วย
ข้อเรียกร้องหลายอย่างในปัจจุบัน ตั้งต้นมาจากสิ่งไม่ชอบธรรม แต่ที่น่าเศร้ากว่านั้นคือ คนที่ออกมาเรียกร้องก็ไม่ได้ใช้วิธีการอันชอบธรรมเช่นกัน แถมยังเหมาโหลว่าคนคิดต่างเป็นฝั่งตรงข้ามอีกต่างหาก
ตั้งสติกันสักนิดก็คงดีครับ คนเราไม่เป็นกลางหรอกครับ แต่ขอให้เป็นธรรมก็พอ
#NBA #NFL #ความเท่าเทียม #PlayNowThailand #KhelNowThailand

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา