7 พ.ค. 2021 เวลา 02:15 • กีฬา
จากนักเตะที่โดนแซวว่าไอ้ตู้เย็น วันนี้โรเมลู ลูกากู กลายเป็นกองหน้าทีมแชมป์ลีกอิตาลี ชีวิตผกผันของเขาเกิดขึ้นได้อย่างไรวิเคราะห์บอลจริงจังจะเล่าให้ฟัง
3
ฮีโร่อันดับหนึ่ง ที่แฟนๆอินเตอร์ มิลาน เชิดชูว่าเป็นคีย์แมน ที่ทำให้สโมสรคว้าแชมป์เซเรียอาได้สำเร็จ คือโรเมลู ลูกากู
1
ผลงานในซีซั่นนี้ของเขา ถือว่ามหัศจรรย์มาก ลูกากูยิงไป 21 แอสซิสต์ไป 10 เป็นนักเตะที่มีส่วนร่วมกับการทำประตูมากที่ในลีก (31 ลูก) เหนือกว่าคริสเตียโน่ โรนัลโด้ของยูเวนตุสด้วยซ้ำ (มีส่วนร่วม 30 ลูก)
ทักษะการยิงประตูมีความเฉียบคมขึ้นเรื่อยๆ และที่สำคัญคือไม่ใช้โอกาสเปลืองเลย ลูกากูมีเปอร์เซ็นต์ยิงเข้ากรอบ 51.1% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมากๆ มันสื่อว่า กว่าที่เขาจะง้างเท้าแต่ละครั้ง เขาคิดคำนวณมาดีแล้ว ว่ามันมีโอกาสได้ประตูจริงๆ ไม่ใช่ซัดเปรี้ยงแบบพร่ำเพรื่อไร้จุดหมาย
1
นอกจากผลงานส่วนตัวจะดีแล้ว ลูกากู ยังยกระดับเพื่อนรอบข้างให้เก่งขึ้น อย่างเลาตาโร่ มาร์ติเนซ ตั้งแต่เล่นฟุตบอลอาชีพมา ไม่เคยยิงในลีกได้ถึง 15 ลูกต่อฤดูกาล ก็มาทำสำเร็จเอาในซีซั่นนี้
2
ที่อิตาลี เรียกสองคนนี้ Lukaku กับ Lautaro ว่าคู่หูลู-ล่า (Lu-La) กองหน้า 2 สไตล์ ช่วยทำให้อินเตอร์แข็งแกร่ง และยิงประตูรวมกันไปแล้ว 36 ลูกในลีก ถือว่าเป็น Deadly Duo ของจริง ฟอร์มของลู-ล่า ทำให้แฟนๆ อดไม่ได้ ที่จะคิดถึง ซามูแอล เอโต้ กับ ดีเอโก้ มิลิโต้ ของทีมชุดแชมป์ปี 2010 สองคนนั้นก็ต่างคนต่างสไตล์ แต่ก็เล่นร่วมกันได้สุดยอดเช่นกัน
1
กัซเซตต้า เดลโล่ สปอร์ต กล่าวสดุดีลูกากูว่า "ถ้าคุณมีลูกากูอยู่ในทีม รับรองได้เลยว่าคุณจะได้ร้องรำทำเพลงอย่างมีความสุขแน่ ไม่ใช่แค่ประตูและแอสซิสต์ แต่เขายังช่วยเพื่อนๆให้เล่นฟุตบอลได้ง่ายที่สุดอีกด้วย แม้จะเจอคู่แข่งที่สร้างความอึดอัดใจ แต่แทบไม่มีกองหลังสักคนที่สามารถต้านทานเขาได้อยู่ ย้อนกลับไปในครึ่งซีซั่นแรก เกมที่อินเตอร์ เจอโตริโน่ โตริโน่นำก่อน 2-0 แต่อินเตอร์ยิงแซงกลับมาชนะ 4-2 ลูกากูตะคอกใส่เพื่อนร่วมทีมว่า 'เราจะเล่นแบบนี้ไม่ได้ นี่มันไม่ใช่คาแรคเตอร์ของยอดทีม' จากนั้นเกมต่อมา อินเตอร์ถล่มซาสซูโอโล่แบบเพอร์เฟ็กต์ 3-0 ทุกอย่างที่ลูกากูเป็น มันบอกได้คำเดียวว่า เขาคือผู้นำที่สมบูรณ์แบบที่สุดในเกมฟุตบอล"
3
คำสรรเสริญมากมายหลั่งไหลมาหาลูกากู แต่ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 3-4 ปีก่อนหน้านี้ เรื่องราวไม่ใช่เป็นแบบนี้เลย เพราะ ณ เวลานั้นช่วงที่อยู่กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สายตาที่แฟนบอลทั่วๆไป มองเขา คือตัวโจ๊ก ตัวฮา ไม่ใช่ กองหน้าเพชฌฆาตเหมือนอย่างทุกวันนี้
ความจริงแล้ว ลูกากู มีโอกาสจะได้ร่วมงานกับอันโตนิโอ คอนเต้ ตั้งแต่ช่วงซัมเมอร์ 2017 แต่ก็คลาดกันไปในครั้งนั้น
2
ในซีซั่น 2016-17 ลูกากูยิง 25 ลูก ให้เอฟเวอร์ตันในพรีเมียร์ลีก ฟอร์มนับว่าร้อนแรงมาก จึงมีสองสโมสรคือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ เชลซี ยื่นข้อเสนอมาให้เอฟเวอร์ตันพร้อมกันที่ราคา 75 ล้านปอนด์
ตอนนั้นเชลซีอยากได้ลูกากูมาก เพราะคอนเต้มีปัญหาไปทะเลาะกับดีเอโก้ คอสต้า ส่วนโลอิก เรมี่ ก็โดนปล่อยพ้นทีมไปแล้ว ถ้าลูกากูย้ายมาเชลซี ก็การันตีได้เลยว่าได้ลงเล่นทุกนัดทุกนาที
1
สื่อมวลชนค่อนข้างมั่นใจว่า ลูกากูน่าจะกลับไปที่เชลซีอีกครั้ง เพราะดีกรีของเชลซี ก็เพิ่งเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกมา ในสโมสรก็มีนักเตะเบลเยี่ยมอยู่เพียบ ทั้งเอแด็น อาซาร์ ,ธีโบต์ กูร์กตัวส์ และ มิทชี่ บัตชูอายี่ น่าจะทำให้ลูกากูรู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน และอีกหนึ่งเหตุผลคือเชลซีเป็นทีมในฝันของลูกากูตั้งแต่เด็ก การได้กลับไปเล่นเป็นตัวจริงให้ทีมที่ตัวเองรัก มันคงเป็นอะไรที่เพอร์เฟ็กต์มากเลย
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายลูกากูหักปากกาเซียน เมื่อเลือกย้ายไปแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดแทน ที่เขาไม่เลือกเชลซี ไม่เกี่ยวอะไรกับคอนเต้ แต่ประเด็นคือเขาเคยอยู่กับเชลซีมาแล้ว 1 รอบ แล้วไม่ได้รับโอกาสจากทีมในเวลานั้น ก็เลยคิดว่ามูฟออนไปหาทีมใหม่ลงเล่นเลยดีกว่า
2
แม้จะไม่ได้มาอยู่เชลซีในวันนั้น แต่เอาจริงๆ ลูกากูก็ชอบพอกับคอนเต้อยู่ เขากล่าวว่า "ผมไม่สามารถร่วมงานกับเขาได้ที่เชลซีก็จริง แต่ในอนาคตถ้าผมจะย้ายจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เขาจะเป็นคนแรกที่ผมนึกถึง"
3
จากนั้นเชลซีก็เลยไปซื้ออัลบาโร่ โมราต้าแทน ส่วนแมนฯยูไนเต็ด ก็ทดลองจับลูกากูมาเล่นกองหน้าตัวเป้าหมายเลข 9 ในบทบาทสไตรเกอร์คลาสสิค
ลูกากูกับแมนฯยูไนเต็ด เริ่มต้นได้ดี ลงเล่น 10 เกมแรก ยิงไป 11 ลูก แต่จากนั้นมาเขาก็แผ่วลงเรื่อยๆ กลยุทธ์ในยุคของโชเซ่ มูรินโญ่ หลายๆนัด เล่นเกมรับแล้วใช้เกมเคาน์เตอร์ แอทแท็ก ซึ่งจริงๆลูกากูก็เล่นเกมโต้กลับได้ แต่จุดแข็งที่สุดของเขา อยู่ที่การโจมตีในกรอบ 18 หลา
ขณะที่ผลงานการเจอกับทีมใหญ่ของลูกากูก็น่าผิดหวัง ในการเจอ แมนฯซิตี้, ลิเวอร์พูล, อาร์เซน่อล, เชลซี และ สเปอร์ส ทั้งเหย้าและเยือน ลูกากูยิงได้แค่ 1 ลูกเท่านั้น จนเริ่มโดนคนแซวว่า เจอทีมเล็กก็งั้นๆ ทีมใหญ่ก็เล่นไม่ออก ไม่เห็นจะคุ้มกับราคา 75 ล้านปอนด์ตรงไหน
1
ปีแรก (2017-18) ลูกากูยิงได้ 16 ลูกในลีก ถ้าเป็นคนทั่วไปอาจจะมองว่าเยอะแล้ว แต่เมื่อคุณเป็นหัวหอกตัวความหวังของแมนฯยูไนเต็ด เลข 16 ก็ถือว่าไม่น่าพอใจ จากนั้นมาในปีที่สอง (2018-19) สถานการณ์ของลูกากูแย่ลงกว่าเดิม เพราะแมนฯยูไนเต็ดปลดมูรินโญ่ แล้วแต่งตั้งโอเล่ กุนนาร์ โซลชาขึ้นเป็นโค้ชคนใหม่ในวันที่ 18 ธันวาคม 2018
ในช่วงเดือนแรกของโซลชา ภรรยาของลูกากูให้กำเนิดลูกชายคนแรก ชื่อโรเมโอ นั่นทำให้ลูกากู ขอสโมสรไปอยู่กับครอบครัวราวๆ 2 วีก ในช่วงที่ลูกากูไม่อยู่ โซลชาทดลองใช้มาร์คัส แรชฟอร์ด ยืนเป็นกองหน้าตัวหลัก และทำได้ดีมากๆ คราวนี้พอลูกากูกลับมาเมื่อแรชฟอร์ดยึดตำแหน่งหน้าเป้าไปแล้ว เขาจึงโดนโยกไปเล่นริมเส้นแทน
การเล่นริมเส้นต้องใช้สกิลการครองบอลที่ดี ต้องมีทักษะการเลี้ยงเอาตัวรอดในสถานการณ์คับขัน ซึ่งลูกากูคือหัวหอกตัวใหญ่ สูง 191 ซม. เขาไม่ได้เลี้ยงคล่องอะไรขนาดนั้น จนมีช็อตจับบอลพลาด เลี้ยงบอลเสีย จ่ายบอลมั่วให้เห็นบ่อยๆ
เมื่อพลาดถี่ๆ คราวนี้แฟนบอลเริ่มตัดคลิปสั้นๆของลูกากูเอามาล้อเลียนเป็นมีม มันยิ่งบั่นทอนความมั่นใจของเขาเรื่อยๆ ตอนกลับมายืนกองหน้าตัวเป้าคราวนี้สมาธิหลุดไปเลย ยิงจ่อๆออก หลุดเดี่ยวเลี้ยงไม่ผ่านโกล์ สารพัดความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
แฟนแมนฯยูไนเต็ด ส่วนใหญ่ก็ปกป้องลูกากู แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ผิดหวังและด่าซ้ำว่า หัวหอกคนนี้ราคา 75 ล้านปอนด์จริงๆหรือ? ลูกากูไม่สามารถดึงสติกลับมาได้ สุดท้ายจบฤดูกาล 2018-19 เขายิงทุกรายการรวมกันไป 15 ลูก ซึ่งเป็นสถิติที่น้อยที่สุดในรอบ 7 ปีของตัวเอง
เรื่องสถิติไม่เท่าไหร่ แต่ที่ทำให้ลูกากูรู้สึกแย่ที่สุด คือคนมองว่าเขาเป็นตัวโจ๊กไปแล้ว ซึ่งเขารับไม่ได้ ดังนั้นจึงมองหาลู่ทางที่จะย้ายทีม และในจังหวะนั้นเอง อินเตอร์ มิลานก็ติดต่อมา
คอนเต้อยากได้ตัวลูกากูมานานมากแล้ว ตั้งแต่ปี 2013 สมัยที่เขาคุมยูเวนตุส แต่ก็คลาดกัน จากนั้นตอนเขาคุมเชลซีก็คลาดกันอีก มาคราวนี้คอนเต้เห็นโอกาสทองที่จะได้ตัวลูกากูซะที ช่วงเวลาที่นักเตะจิตใจอ่อนไหว เหมาะสมที่สุดที่จะดึงมาร่วมทัพด้วย
ทำไมอยากได้ลูกากู? นี่เป็นนักเตะที่เหมาะกับแผน 3-5-2 ของเขามากที่สุด เร็ว แข็งแรง โหม่งดี แต่มีบางอย่างที่ลูกากูต้องพัฒนาเช่นการจ่ายบอล การแอสซิสต์ และการรู้จักการยืนค้ำเอาแผ่นหลังชนกับแนวรับคู่แข่ง แต่แน่นอน เรื่องเหล่านั้นมาฝึกสอนกันได้
3
ฝั่งแมนฯยูไนเต็ดนั้น พร้อมจะขายอยู่แล้วถ้าได้ราคาดีพอ พวกเขาตั้งราคาไว้ที่ 75 ล้านปอนด์ (83 ล้านยูโร) ซึ่งเป็นราคาเดียวกับที่ซื้อมาจากเอฟเวอร์ตันเมื่อ 2 ปีก่อน
1
ตัวเลขนี้ทำให้อินเตอร์ต้องสะดุ้งเหมือนกัน เพราะพวกเขาไม่เคยใช้เงินซื้อผู้เล่นแพงขนาดนี้ สถิติสูงสุดที่เคยซื้อคือ คริสเตียน วิเอรี่ เมื่อปี 2000 ด้วยค่าตัว 46 ล้านยูโรเท่านั้น
จูเซ็ปเป้ มาร็อตต้า ผู้อำนวยการกีฬาของอินเตอร์ ยื่นราคาไปที่ 63 ล้านปอนด์ (70 ล้านยูโร) แต่แมนฯยูไนเต็ดปฏิเสธ เพราะสัญญากับนักเตะเหลืออีกตั้งหลายปี ถ้าขายแล้วขาดทุนเก็บไว้ใช้เป็นอะไหล่สำรองก็ได้ การดีลกันจึงยื้อกันไปมาอยู่นาน
แต่คอนเต้ยืนยันกับ จูเซ็ปเป้ มาร็อตต้า ผู้อำนวยการกีฬาของอินเตอร์ว่า นี่คือนักเตะความสำคัญอันดับ 1 ที่ทีมต้องคว้ามาร่วมทัพให้ได้ ถ้าอยากไล่ล่าแชมป์กับยูเวนตุส ดังนั้นจะเท่าไหร่ก็ต้องยอมสู้ราคา ทั้งสองคนบินไปที่เมืองนานจิง ในประเทศจีน เพื่อคุยกับสตีเว่น จาง ประธานสโมสรอินเตอร์ และแสดงจุดยืนในเรื่องนี้ ก่อนที่สุดท้ายประธานจางจะยอมไฟเขียว ถ้าคอนเต้จะเอา มันก็ต้องตามนั้น
อินเตอร์ มิลาน ยื่นข้อเสนออีกครั้งที่ 65 ล้านยูโร บวกอ็อปชั่น 15 ล้านยูโรในอนาคต รวมเป็น 80 ล้านยูโร (73.7 ล้านปอนด์) ซึ่งใกล้เคียงกับตัวเลขที่แมนฯยูไนเต็ดตั้งเอาไว้ คราวนี้แมนฯยูไนเต็ด ไม่ปฏิเสธอีกแล้ว เพราะชื่อเสียงของลูกากูชั่วโมงนั้นถูกล้อเลียนเยอะ คงไม่มีทีมไหนกล้ายื่นตัวเลขนี้ให้อีกแล้ว สรุปเคาะขายที่ 73.7 ล้านปอนด์ ขาดทุนเล็กน้อยแต่ก็รับได้
3
สำหรับคอนเต้เองก็แฮปปี้ที่ได้ตัวนักเตะที่เขาต้องการเสียที แม้จะมีเสียงวิจารณ์ว่าอินเตอร์จ่ายแพงเกินไป กับนักเตะขาลง แต่คอนเต้ตอบโต้ว่า "คนพูดกันเยอะว่าเราจ่ายเงินก้อนโต แต่เอาจริงๆผมว่า มันไม่ได้แพงขนาดนั้น"
2
วันที่ย้ายทีม ลูกากูกล่าวว่า "สโมสรในดวงใจของผมเสมอมาคืออันเดอร์เลตช์ทีมแรกของผมเอง จากนั้นผมได้ย้ายไปเชลซีทีมที่ผมเชียร์ตอนเด็ก และได้ประสบการณ์ดีๆมากมายจากพวกรุ่นพี่ในห้องแต่งตัว จากนั้นต้องขอบคุณเวสต์บรอมวิช ที่ให้โอกาสเด็กหนุ่มวัย 19 ได้แจ้งเกิดเต็มตัวกับเวทีพรีเมียร์ลีก จากนั้นก็เป็นเอฟเวอร์ตัน สโมสรที่ผมเป็นหนี้พวกเขาจริงๆ เป็นเกียรติอย่างมากที่ได้เล่นกับสโมสรแห่งนี้ และสุดท้ายกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขอบคุณที่ทำให้ผมได้ฝึกจิตใจของตัวเอง และทำให้ผมแข็งแกร่งขึ้นเพื่อรับมือกับเส้นทางอาชีพในอนาคต"
สรุปคือทุกทีมที่ผ่านมา สำหรับลูกากูมีโมเมนต์ดีๆหมด แต่กับแมนฯยูไนเต็ด กล่าวขอบคุณที่ทำให้จิตใจแข็งแกร่งเพราะโดนด่าเยอะ คือเหมือนจะชม แต่ก็ดูจะหลอกด่ามากกว่า
ตอนนี้ทุกคน Move on แมนฯยูไนเต็ดก็เดินหน้าหาสูตรแนวรุกใหม่ ส่วนลูกากู ก็พร้อมเรียนรู้กับสไตล์การเล่นในเวทีเซเรียอา
สิ่งที่ลูกากูได้เรียนรู้จากคอนเต้ตั้งแต่วันแรกคือ เขามีร่างกายแข็งแกร่งก็จริง แต่ความฟิตยังไม่มากพอ
"ในการซ้อมวันแรก ผมเริ่มต้นจากการเน้นที่เรื่องพละกำลังก่อน" ลูกากูกล่าว ซึ่งจะว่าไปแล้วก็น่าแปลก เพราะตามหลักคิดถึงกัลโช่ การฝึกซ้อมก็น่าจะเน้นพวกแท็กติกต่างๆ แต่ไม่เลย คอนเต้ฝึกซ้อมเรื่องพื้นฐานอย่างการวิ่ง เพื่อทำให้นักเตะฟิตสมบูรณ์ยิ่งกว่านี้
"ผมไม่ค่อยคุ้นชินกับความโหดขนาดนี้เท่าไหร่ คือปกติผมเล่นในพรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นลีกที่ต้องใช้พลังงานเยอะอยู่แล้ว แต่ช่วงตอนซ้อม ก็ไม่เคยซ้อมหนักขนาดที่อินเตอร์มาก่อนเลย คือที่นี่คุณต้องมีความฟิตสูงมากจริงๆ ผมคุยกับเอเยนต์แล้วบอกว่า 'ผมทรมานกับการซ้อม เพราะผมไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนเลย' แต่พอผมบ่นไป แล้วเหลือบตาไปดูนักเตะคนอื่นรอบตัว ไม่มีใครบ่นอะไรสักคำ ทุกคนก้มหน้าก้มตาซ้อม"
"ยิ่งกับตัวโค้ช เขาไม่ใช่คนตลก คอนเต้จะไม่ยืนข้างสนามแล้วเล่นมุก แต่เขาจะกระตุ้นคุณให้ยกระดับตัวเองขึ้นไปอีก มันทำให้คุณเหนื่อยที่สุดเท่าที่คุณจินตนาการได้ แต่ไม่มีนักเตะคนไหนยอมแพ้ เพราะคุณก็เห็นได้เลยว่าโค้ชเขาจริงจังมากเหมือนกัน"
การสร้างร่างกายให้ฟิตขึ้นของลูกากูเป็นส่วนสำคัญมาก เพราะคอนเต้ ต้องการใช้งานเขาในสไตล์ใหม่ นั่นคือ Play with your back to goal นั่นคือการยืนค้ำในแดนหน้าโดยเอาแผ่นหลังกระแทกกองหลังคู่แข่ง แล้วจ่ายบอลออกซ้าย-ขวา ให้เพื่อนร่วมทีม
"คอนเต้บอกผมตรงๆเลยว่า ถ้าผมไม่ซ้อมให้หนัก ผมจะเล่นไม่ได้ สิ่งสำคัญคือผมต้องเข้าใจวิธีการเป็นกองหน้าสไตล์หันหลังชนคู่แข่งก่อน"
นอกจากฝึกซ้อมตามรูทีนแล้ว ลูกากูยังมีโปรแกรมพิเศษ คือให้ลูกากูหันหลังหาโกล์คู่แข่ง จากนั้นจะเอาเครื่องยนต์ยิงลูกบอลที่ความเร็ว 30-40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พุ่งมาหาเขา ซึ่งลูกากูก็ต้องฝึกจับบอลให้ดี แล้วเลือกจ่ายออกซ้าย ออกขวา ให้เพื่อนที่เติมขึ้นมาด้านข้าง
2
"เมื่อก่อน ผมชอบยืนอยู่ด้านหลังกองหลัง ยืนห้อยในเขตโทษ แต่เดี๋ยวนี้ผมสปรินท์ตัวมาที่จุดนัดพบอย่างรวดเร็วมาก หลายๆครั้งเร็วกว่ากองหลังคู่แข่งเกือบ 2 วินาที" การฟิตร่างกายทำให้ลูกากูสปรินท์ตัวในระยะสั้นได้ดี เมื่อมาถึงจุดนัดพบได้เร็ว เอาหลังบังบอลไว้ ก็เปิดทางในการทำประตูได้หลากหลายขึ้น
1
"การฝึกหนักแบบคอนเต้ ไม่ใช่ของที่ผมชอบเลย แต่มันก็เติมเต็มผมในการรับบทบาทสำคัญ มันคือสไตล์ของชาคิล โอนีล ในบาสเกตบอลนั่นแหละ ใช้ร่างกายยืนค้ำในเขตโทษแล้วเลือกเองได้ ว่าจะเข้าทำเอง หรือจะจ่ายให้เพื่อนที่อยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่า"
ไม่ใช่แค่เรื่องการซ้อม แต่เรื่องโภชนาการ คอนเต้จับลูกากูเข้าคอร์ส Bresaola Diet บังคับเรื่องการกิน ให้กินแต่เนื้อสัตว์และผักเป็นหลัก จนน้ำหนักลดลงจากช่วงอยู่แมนฯยูไนเต็ดถึง 3 กิโลกรัม เขาผอมเพรียว และ มีความเร็วมากขึ้นกว่าเดิมโดยธรรมชาติ
 
สถิติต่างๆของลูกากูดีขึ้นอย่างชัดเจนแบบคนละเรื่อง ถ้าเทียบกับตอนอยู่แมนฯยูไนเต็ด เช่น เลี้ยงหลบคู่แข่งได้บ่อยขึ้น, สร้างโอกาสบ่อยขึ้น, แอสซิสต์บ่อยขึ้น, ยิงประตูบ่อยขึ้น
1
ที่แมนฯยูไนเต็ด ลูกากู จะเป็นกองหน้าดั้งเดิมหมายเลข 9 เน้นที่ลูกกลางอากาศไว้ก่อน แต่เมื่อมาอินเตอร์ เขาเป็นหัวหอกที่สมบูรณ์มาก ตัวใหญ่ คล่อง ใช้สองเท้าได้ดี
สิ่งที่ลูกากู ประทับใจในตัวคอนเต้มากที่สุด คือเรื่องความแฟร์ หมายถึงถ้าคุณซ้อมดี คุณจะได้ลงเล่นเสมอ โค้ชไม่มีอคติกับใครเลย ทุกคนใช้ชีวิตในสโมสรด้วยบรรทัดฐานเดียวกัน
"มันไม่สำคัญเลยว่าคุณเป็นใคร เขาปฏิบัติกับทุกคนเท่าเทียมหมด ผู้จัดการทีมจะเดินมาบอกคุณตรงๆต่อหน้าเลยว่าคุณทำดีหรือทำไม่ดี" ลูกากูเล่า
2
เมื่อย้ายมาอินเตอร์ ลูกากูเล่นได้อย่างสบายใจ เขาเป็นที่รักของเพื่อนร่วมทีม นอกจากนั้นยังตั้งใจเรียนภาษาอิตาเลียนอย่างหนัก เพื่อการสื่อสารกับโค้ช และเพื่อนๆได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยลูกากูใช้เวลาแค่ 3 เดือน สามารถพูดภาษาอิตาเลียนได้คล่องแคล่วระดับเจ้าของภาษา
ขณะที่เรื่องโดนด่าโดนว่า คราวนี้ไม่ใช่เรื่องฟอร์ม แต่เป็นเรื่องเหยียดผิว เพราะที่อิตาลีจะมีการเหยียดผิวแรง และลูกากูก็โดนบ่อยมาก แต่เขายังมีจิตใจเข้มแข็ง ไม่เก็บมาเป็นอารมณ์แต่ใช้ผลงานในสนามเป็นคำตอบแทน
1
ซีซั่นแรก (2019-20) ลูกากูยิงไป 23 ลูก อินเตอร์ จบด้วยการเป็นรองแชมป์ที่มีแต้มน้อยกว่าแชมป์ ยูเวนตุสแค่ 1 คะแนนเท่านั้น และมาในซีซั่น 2 (2020-21) คราวนี้เขายิงปรับตัวได้ดีขึ้น ทั้งยิง ทั้งจ่าย จนพาอินเตอร์เป็นแชมป์ลีกครั้งแรกในรอบ 11 ปีได้สำเร็จ
1
หลังคว้าแชมป์ มัสซิโม โมรัตติ อดีตประธานสโมสร ออกมากล่าวว่า "ลูกากูเป็นนักเตะที่ทำให้ผมตื่นตาตื่นใจมากที่สุด ตอนอยู่กับแมนฯยูไนเต็ด ผมเคยคิดว่าเขาคงไม่พัฒนาไปกว่านี้แล้ว แต่ที่เห็นมันไม่ใช่ สิ่งที่ยอดเยี่ยมที่ได้เห็น คือเขาถอยลงมาต่ำถึงกลางสนามเพื่อช่วยเชื่อมเกม นอกจากนั้นในจังหวะ 50-50 คุณคิดในใจว่าเขาจะผ่านคู่แข่งได้ไหม สุดท้ายมีถึง 90% ที่เขาทำได้ รู้ไหม ผมคิดว่าเขามีจิตวิญญาณของนักสู้อินเตอร์อย่างเต็มเปี่ยม"
1
สำหรับลูกากูนั้น คนที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จในซีซั่นนี้ ส่วนสำคัญคืออันโตนิโอ คอนเต้ โดยเขากล่าวว่า "สำหรับผม ผมพร้อมจะสู้ให้เขาจนตัวตาย" คือถ้าคอนเต้ไม่ดึงเขามาจากแมนฯยูไนเต็ด ป่านนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าจะไปอยู่ตรงไหนในโลกฟุตบอล
1
เรื่องของลูกากู ก็ทำให้เห็นว่า คนทุกคน ไม่ได้ประสบความสำเร็จในทุกๆที่เสมอไป นักเตะบางคนเล่นแย่สุดๆ กับอีกที่หนึ่ง แต่อาจไปเปล่งประกายกับอีกที่ก็ได้
อย่างลูกากู โดนแซวโดนล้อว่าเป็นไอ้ตู้เย็น ตอนอยู่แมนฯยูไนเต็ด คือเล่นยังไงก็ไม่เวิร์ก ไม่เข้ากับแผนทีม แต่พอย้ายไปอินเตอร์ปั๊บ กลายเป็น "สุดยอดผู้นำ" , "อสูรกาย", "กองหน้าปีศาจ" คือฉายาเปลี่ยนไปเป็นคนละเรื่องกันเลย
1
จริงๆแล้ว ฟุตบอลก็แบบนี้ ถ้าอยู่ที่ไหนแล้วเราไม่สามารถเปล่งประกายได้ การจมอยู่กับที่เดิมตลอดไป อาจไม่ทำให้อะไรดีขึ้น สู้เดินหน้าไปหาความท้าทายใหม่ อาจเป็นคำตอบที่ดีกว่า
และสำหรับลูกากู ด้วยผลงานขนาดนี้ แน่นอนว่า คงไม่มีใครกล้าล้อเขาว่าไอ้ตู้เย็นอีกต่อไป
#LUKAKU
1
โฆษณา